ธัมมจักษุ หรือดวงตาเห็นธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะนั้น เป็นอย่างไร
ในชีวิตประจำวัน เราก็ได้รู้และเข้าใจในสภาพธรรมมากมาย จะเรียกว่า มีดวงตาเห็นธรรม
ได้หรือไม่ดวงตาเห็นธรรมนี้ จะเกี่ยวกับปัญญาที่พูดกันโดยมากหรือไม่อย่างไร
ทางเกิดมีขึ้นแห่งดวงตาเห็นธรรมเป็นอย่างไร
ขอได้โปรดชี้แนะ สิ่งที่เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรม ตามที่จะพออนุเคราะห์ได้ด้วยครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ธัมมจักษุ หรือดวงตาเห็นธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะนั้น เป็นอย่างไร------------------------------------------------------------------------------------------
ปกติในชีวิตประจำวัน ขณะที่ตาก็กำลังเห็น คน เห็นสัตว์ เห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็น
โลก เป็นสิ่งต่างๆ นี่คือการเห็นปกติของปุถุชนผู้มีความไม่รู้ มีตาก็เหมือนไม่มีเพราะมืด
บอด มืดบอดด้วยอะไร มืดบอดด้วยความไม่รู้ครับ ดังนั้นดวงตาของสัตว์โลกจึงเต็มไป
ด้วยธุลีคือกิเลส มีความไ่ม่รู้ จึงไม่เห็นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการเห็นตามความ
เป็นจริง คือไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่คือ ด้วยจักษุด้วยตาที่เป็นปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่
จะเห็นตามความเป็นจริง ดังนั้นดวงตาเห็นธรรม ที่เป็นธรรมจักษุของท่านพระอัญญา-
โกณฑัญญะเมื่อได้ฟังพระธรรมคือปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ดวงตาเห็น
ธรรมเกิดขึ้น คือ ปัญญาที่ประจักษ์พระนิพพาน และ เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง และเห็นถึง
สภาพธรรมที่ประจักษ์ด้วย ดวงตาคือปัญญา เห็นถึงความไม่เที่ยงของสภาพธรรมว่าสิ่ง
ใดเกิดขึ้น ก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา และประจักษ์ตัวสภาพธรรมที่เ่กิดดับด้วย และที่
สำคัญ ประจักษ์พระนิพพานนั่นเองครับ ถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล
(ตามลำดับ) เป็นผู้มีตา คือปัญญาเกิดขึ้นแล้วครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒- หน้าที่ 422
[๑๖๗๑] ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตา
เห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล ล้วนมีความดับ
เป็นธรรมดา------------------------------------------------------------------------------------------------
ในชีวิตประจำวัน เราก็ได้รู้และเข้าใจในสภาพธรรมมากมาย จะเรียกว่า มีดวงตาเห็น
ธรรมได้หรือไม่ดวงตาเห็นธรรมนี้ จะเกี่ยวกับปัญญาที่พูดกันโดยมากหรือไม่-----------------------------------------------------------------------------------------------
ปัญญาของปุถุชน ยังไม่ได้ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรมและ
รูปธรรม ยังไม่เห็นความเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ยังไม่ใช่ผู้มีดวงตาเห็น-ธรรมจริงๆ เพราะเป็นความคิดนึกถึงสภาพธรรม ไม่ได้ประจักษ์ลักษณะของสภาพ-ธรรมครับ
และแม้ประจักษ์ตัวสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมแล้ว ก็ยังไม่ถึงความเป็นพระโสดาบัน เพราะว่า จะต้องผ่านปัญญาไป แต่ละระดับอีกมาก กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน คือ เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมครับ เพราะการเห็นธรรม ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงเฉพาะสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม และการเกิดดับเท่านั้น แต่รวมถึงการประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ที่เป็นธรรมอันเลิศ ประเสริฐที่สุด จึงชื่อเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม คือ เห็นพระนิพพาน ด้วยปัญญาครับ ซึ่งพระโสดาบัน ประจักษ์พระนิพพาน และ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ด้วยดวงตา คือ ปัญญา จึงชื่อเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมครับ
ดังนั้น ปัญญาของเรายังไม่ถึงดวงตาเห็นธรรม แต่ค่อยๆ อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ ก็สามารถถึงความเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม คือ ธรรมจักษุ ได้ครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------
ทางเกิดมีขึ้นแห่งดวงตาเห็นธรรมเป็นอย่างไร-----------------------------------------------------------------------------------------------
ก็โดยอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปตามลำดับ ปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น
จากขั้นการฟังพระธรรมทีละเล็กทีละน้อย แต่ช้ามากจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ คมกล้าเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรม จนถึงการประจักษ์ความไม่เที่ยง การเกิดดับของสภาพธรรม และปัญญาค่อยๆ คมกล้าขึ้น จนถึงความเป็นพระอริยบุคคล ซึ่งประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ที่เป็นสิ่งที่มีจริง คือ ประจักษ์แจ้งพระนิพพานถึงความเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม แต่ต้องอดทน และอีกยาวนาน นับชาติไม่ถ้วน เพราะสะสมความไม่รู้ และสะสมกิเลสมามาก เพียงแต่อย่าถูกโลภะหลอกที่จะไปหาทาง หาวิธีที่รวดเร็ว ไปปฏิบัติ ฯลฯ เพราะที่สำคัญ คือ ปัญญาสามารถเจริญได้ จนถึงความเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม หรือ ธรรมจักษุ ก็โดยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ดวงตาเห็นธรรม เป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา อบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ จนถึงความสมบูรณ์พร้อม ทำให้ผู้นั้นได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ดวงตาเห็นธรรม ในบางแห่งหมายถึง โสดาปัตติมรรค บางแห่งหมายถึงมรรคเบื้องต่ำ ๓ และบางแห่งก็ทรงหมายถึง มรรคทั้ง ๔ คือ โสดาปัตติ-มรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค และ อรหัตตมรรค พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ทรงถึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐทีสุดในโลกพระองค์ทรงแสดงหนทางเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูก เป็นต้น จึงมีพระอริยสงฆ์สาวก ผู้บรรลุอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้เป็นจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นต้นมา สืบต่อมาจนตราบเท่าที่มีผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และได้ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดตลอด ๔๕ พรรษา พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้วนั้น สุขุม ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่ทรงตรัสรู้ โดยทรงประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมตามที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ให้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมจะไม่สามารถที่มีปัญญาเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถมีดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นได้เลย แต่ถ้าอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็สามารถมีดวงตาเห็นธรรมรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า การจะไปถึงตรงนั้น ได้ นั้น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมปัญญาไปตามลำดับ จะขาดการศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ธรรมจักขุเป็นหนึ่งในปัญญาจักขุ หมายถึงญาณปัญญาของพระอริยบุคคลเบื้องต่ำทั้งสามคือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 335 ความคิดเห็นที่ 2 โดย study
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 178 คำว่า ธมฺมจักขุ นี้เป็นชื่อ ของมรรค ๓ ในพรหมายุสูตร ข้างหน้าและอาสวักขยญาณในจุลลราหุโลวาทสูตร. ส่วนในที่นี้ ทรงประสงค์เอาโสดาปัตติมรรค. เพื่อทรงแสดงอาการเกิดขึ้นของธรรมจักษุนั้น จึงตรัสว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดก็มีความดับไปเป็นธรรมดา. ก็ธรรมจักษุนั้น ทำนิโรธ ให้เป็นอารมณ์แล้ว แทงตลอดสังขตธรรมทั้งปวง ด้วยอำนาจกิจนั่นแลเกิดขึ้น.อริยสัจธรรมอันผู้นั้นเห็นแล้ว เหตุนั้นผู้นั้นชื่อว่า มีธรรมอันเห็นแล้ว.
(ปัญญาจักขุ ได้แก่ พุทธจักขุ สมันตจักขุ ญานจักขุ ธรรมจักขุ ทิพจักขุ) (จักขุ หมายถึง มังสจักขุ ปัญญาจักขุ (ดวงตาเห็นธรรม))
ดวงตาเห็นธรรม หมายถึง ผู้มีปัญญา ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว บรรลุเป็น
พระโสดาบัน และเป็นผู้มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย ส่วนปุถุชนเป็นผู้หนาแน่นด้วย
กิเลส ก่อนที่จะมีดวงตาเห็นธรรมยังอีกไกลแสนไกล จุดเริ่มต้น คือความเข้าใจ
หนทางการอบรมเจริญปัญญา คืออริยมรรคมีองค์แปดเท่านั้น ที่จะเป็นทางนำไปสู่
การพ้นทุกข์ มีดวงตาเห็นธรรมค่ะ