ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาธรรม
ที่คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา ทุกคำ เป็นสิ่งที่ทำให้จากความไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนตายกี่ภพกี่ชาติมาแล้ว ได้เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะว่า มีบุคคลที่มีพระปัญญาและพระบริสุทธิคุณเหนือบุคคลใดที่ได้ตรัสคำที่ทำให้เรา จากความไม่รู้อะไรเลยมานานแสนนานได้เริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ ต่อๆ ไปก็จะมืดสนิทเหมือนเดิม ซึ่งไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เลย
~ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้ความจริงเลย เพราะแต่ละคำของพระองค์เหมือนแสงสว่างที่จะนำไปสู่การเข้าใจสิ่งที่กำลังมีทุกอย่างในขณะนี้จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ได้
~ เวลานี้ ใครๆ ก็ไม่รู้ว่ามีกิเลสมากน้อยแค่ไหน แต่ความจริง กิเลสทั้งวันก็ไม่รู้ แล้วก็ทุกวัน แล้วก็ทั้งชาติ แล้วก็กี่ชาติ? มากมายมหาศาล แต่ไม่ได้ปรากฏให้รู้เลยถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการขัดเกลาละลายกิเลสซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง นำมาซึ่งความประพฤติทางกาย ทางวาจาซึ่งเป็นโทษ
~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน
~ ต้องฟัง (พระธรรม) แล้ว ฟังอีก ไม่ใช่แค่วันนี้ไม่ใช่แค่ชาตินี้ แต่ฟังจนกว่าความเข้าใจจะเกิดขึ้น
~ ธรรมที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศล เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมที่เป็นอกุศล ก็เป็นอกุศลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล ก็จะเป็นกุศลและอกุศลไม่ได้
~ เสียง เป็นกุศลได้ไหม? เสียง มีจริง เสียง ไม่รู้อะไร เสียง ทำบุญได้ไหม? เสียง เป็นบุญได้ไหม? เสียง เป็นบาปได้ไหม? ในเมื่อเสียงไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น เสียง ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล เสียง เป็นอัพยากตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล
~ ที่ว่าเป็นเรา ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็คือ สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) กับ นามธรรม (สภาพรู้ ได้แก่ จิต กับ เจตสิก) เท่านั้น
~ ต้องเริ่มต้น ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ด้วย ถ้าบังคับบัญชาได้ ทุกคนไม่มีความทุกข์เลย จริงไหม? มีแต่ความสุข อยากได้อะไรก็ได้หมดอยู่ในบังคับบัญชา แต่ความจริงแล้ว ธรรม ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย
~ สิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย รู้ไหมว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน บังคับบัญชาได้ไหม? แล้วคนที่จากไปโดยที่ไม่เข้าใจธรรมเลย กับ คนที่ค่อยๆ รู้ความจริง (ก็ย่อมต่างกัน) บุคคลที่เข้าใจธรรม เมื่อรู้ความจริงแล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ให้โทษ อะไรเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ที่รู้ความจริง จะไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ จะไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศล แต่ว่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำสิ่งที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น โลกนี้จะเป็นสุขขึ้น เพราะธรรม คือ ความเข้าใจความจริง
~ ถ้าหากไม่มีความเข้าใจความจริง ไม่มีทางที่ใครที่จะสามารถแก้ปัญหาใดๆ ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น โลกจึงเต็มไปด้วยปัญหาซึ่งใครๆ ก็แก้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง
~ สิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ดับ ไม่มี ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงเป็นอย่างนี้ เห็นเมื่อกี้ ก็ดับไปแล้ว ได้ยินเมื่อกี้ ก็ดับไปแล้ว ความรู้สึก ก็ดับไปแล้ว
~ ทุกคนที่ได้ศึกษาธรรมแล้ว ก็จะรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า ไม่มีคำของใครที่สามารถที่จะกล่าวถึงความจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง จึงสามารถที่จะได้รับสาระจากพระธรรม
~ ใครอยู่วัด? ชาวบ้านไม่อยู่วัดแน่ แต่ต้องเป็นผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรม สละชีวิตเพื่อที่จะศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น วัดเป็นที่อยู่ของผู้สงบจากชีวิตของคฤหัสถ์ ไม่ทำกิจใดๆ ของคฤหัสถ์อีกต่อไป
~ ชีวิต สั้น จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ก็ได้ ไม่ว่าใคร เพราะฉะนั้น เวลาที่ยังเหลืออยู่ จะพอไหมกับการที่จะได้เข้าใจธรรม? ... ใครก็ตามที่ฟังธรรม เห็นคุณของพระธรรม คนนั้น ก็จะไม่ละเลยในการที่จะฟังธรรม
~ จะเป็นคนในชาตินี้ ได้เพียงชาตินี้เท่านั้น เป็นคนนี้ ชาตินี้ ได้เพียงแค่ก่อนตาย พอจากโลกนี้ไปแล้วจะกลับมาเป็นคนนี้อีกไม่ได้เลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชาตินี้ จะปรุงแต่งให้คนที่จะเกิดสืบต่อ ไม่ใช่คนนี้อีก แต่ก็มาจากคนนี้แหละ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) เกิดดับสืบต่อ ไม่มีวันหยุดเลย เป็นสังสารวัฏฏ์
~ ชาติหน้า จะเป็นอะไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้ (แต่) ตายเมื่อไหร่ เกิดเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้น
~ ทรัพย์สินเงินทอง (ที่มี) (พอ) จากโลกนี้ไปแล้ว ก็เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายที่เราเข้าใจว่าเป็นเรา ก็ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้เลย เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะติดตามไปได้เลย นอกจากกุศลและอกุศลที่มีอยู่ในจิต สะสมอยู่ในจิต ทุกขณะที่เกิดขึ้น ก็จะสะสมสืบต่อไป
~ ทุกคนที่กำลังฟังธรรมอยู่ในขณะนี้ กำลังเริ่มต้น ซึ่งหนทางที่จะเดินต่อไปอีกยาวไกลมาก เพราะความลึกซึ้งของธรรม แต่ว่า ถ้าไม่เริ่มเลย ก็จะไม่มีวันถึง เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเริ่มต้นเท่าที่มีปัจจัยที่จะเป็นไปได้ในแต่ละชีวิต ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
~ ถ้าเราเข้าใจผิด เราจะดำรงพระพุทธศาสนา ไม่ได้ เพราะเหตุว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะดำรงอยู่ได้ ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก เท่านั้น ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตที่ได้กระทำแล้วในวันนี้ค่ะ สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และกราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกขณะที่ท่านเมตตากล่าวแสดงพระธรรมคำจริงค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยเกล้า กราบอาจารย์วิทยากรทุกท่านด้วยความเคารพอย่างสูง และกราบอนุโมทนาธรรมที่ท่านนำมาแสดงและอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ทำไม ถึงได้ร้อยเรียง ประโยค ได้ไพเราะเช่นนี้
กราบขอบพระคุณ ที่ทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ