มารมีหลายความหมาย เป็นกิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมารและเทวบุตรมาร มาร เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม เป็นอภิธรรม ในพระสูตร มารเป็นเทวบุตรมาร เป็นจิต เจตสิกและรูป ที่เกิดดับสืบต่อมาจนถึงขณะที่เป็นเทวบุตรมาร มาทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน จิตของ มาร เป็นอย่างไร? ก็ตามการสะสมมาเป็นอย่างนั้น มารไหนสำคัญที่สุด มารที่อยู่ภายในใจ มารที่น่ากลัวที่สุดก็คือ กิเลสมาร มีเพียงพระธรรมเท่านั้นที่ทำให้ดับความไม่รู้ ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา อบรมความเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อขัดเกลากิเลสที่อยู่ในจิตซึ่งหนาแน่นมาก การฟังธรรมเล็กๆ น้อยๆ จะขัดเกลากิเลส หรือดับกิเลสไม่ได้เลย ฟังธรรมเพื่อค่อยๆ ละความไม่รู้ จะดับกิเลสอกุศลเลยไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สุขหรือเปล่า? ชีวิตง่อนแง่นเหลือเกิน จิตที่เกิดดับสืบต่ออยู่ในชีวิตประจำวัน ก็สะสมกิเลสอกุศลพอกพูนต่อไป... ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังต้องเกิดต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด การเกิดเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ จิต เจตสิก และรูป ที่เกิดดับสืบต่อจึงเป็นทุกข์ เป็นขันธมาร [มารสูตร] ชาติหน้าจะไปไหน การฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม การฟังที่สะสมความเข้าใจจะเป็นอุปนิสัย ค่อยๆ สะสมเล็กผสมน้อยไม่ไปหาอารมณ์อื่น เพราะขณะฟังธรรมเป็นขณะที่มีค่าที่สุดที่จะไม่ไปหาอารมณ์อื่น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจว่า อารมณ์ที่ขณะนี้กำลังปรากฏ เป็นอารมณ์ ที่ควรรู้ยิ่ง
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ไหนๆ ได้พูดถึงเรื่องมารแล้วขอเรียนถามเลยว่า มารคือสุคติภูมิไหม ผู้มีกิเลสน้อยเกิดเป็นมารได้ไหม มารฟังธรรมเจริญปัญญาได้ไหมในภูมิมารโลกุตตรจิตเกิดได้ไหม พระอริยบุคคลเกิดเป็นมารได้ไหม ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียน ความคิดเห็นที่ ๑ ครับ
มาร มีหลายประเภท แต่ไม่พ้นไปจากความเป็นธรรม ซึ่งบางนัยแสดงว่า วัฏฏะเป็นมาร เพราะยังเป็นไปกับด้วยสภาพธรรมที่เกิดดับ
มาร ๕ ประเภท ได้แก่
๑. ขันธมาร คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป
๒. กิเลสมาร มาร คือ กิเลสต่างๆ มี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ที่เกิดขึ้นเมื่อใดก็คอยตัดโอกาสของกุศล กุศลเกิดไม่ได้ในขณะที่กิเลสเกิดขึ้น
๓. อภิสังขารมาร มาร คือ เจตนาเจตสิก อันได้แก่ กุศลกรรมและอกุศลกรรม อันเป็นไปในวัฏฏะ ทำให้มีการเกิดในภพต่างๆ ต่อไป ยังไม่พ้นจากทุกข์
๔. มัจจุมาร คือ ความตาย เมื่อความตายเกิดขึ้น ก็หมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลในชาตินี้
๕. เทวบุตรมาร มาร คือ เทวดาผู้ขัดขวางความดีของผู้อื่น คอยส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้อื่นอยู่ในวัฏฏะ
ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้น ก็ยังคงมีกิเลสมาร เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรมหรือไม่ ถ้าเห็นประโยชน์ก็ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไปได้ แต่ถ้าไม่สนใจก็ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เลย ซึ่งในฝ่ายหลังนี้มีเป็นส่วนมาก น้อยคนจริงๆ ที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
การเกิด ไม่ว่าจะเป็นสุคติภูมิ หรือ อบายภูมิ ก็ยังไม่พ้นจากมาร คือ สังสารวัฏฏ์ฏะ ส่วนโลกุตตรธรรม ได้แก่ มรรคจิต ๔ ผลจิต ๔ และ นิพพาน ไม่ใช่มาร เพราะเป็นสภาพธรรมที่เป็นไปในฝ่ายพ้นจากวัฏฏะ พ้นจากมาร
พระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ