ถ้าสอนให้ลูกปฏิบัติตามธรรมะแล้ว ลูกจะทำธุรกิจได้อย่างไร?
ดิฉันฟังธรรมะของอ.สุจินต์บรรยายทุกวันและลูก 3 คน ก็ฟังด้วย เมื่อเพื่อนเห็น ก็ยอมรับในพฤติกรรมของลูก แต่เค้าก็มีคำถามกับดิฉันว่า "ถ้าสอนให้ลูกปฏิบัติ ตามธรรมะแล้ว ลูกจะทำธุรกิจได้อย่างไร เพราะในสังคมธุรกิจมีคนไม่มีศีล"
ในสมัยครั้งพุทธกาล อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นพระอริยบุคคล ท่านก็ทำธุรกิจ ในสังคมก็มีทั้งคนมีศีลและทุศีล ในสมัยปัจจุบันสังคมก็มีทั้งคนมีศีล และทุศีล อุบาสกอุบาสิกาที่มีศีลธรรม ย่อมทำธุรกิจได้ และ ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริตยุติธรรม ธุรกิจของเขาอาจไปได้ดีกว่า
ไม่ว่าใครจะมีอาชีพอย่างไร แม้แต่ทหาร ตำรวจ คนขายปลา ขายเนื้อสัตว์ ย่อมเป็นไปตามการสะสมอุปนิสัยมาแต่อดีตชาติ แม้การเป็นคนดี มีศีลธรรม เป็นผู้ ขัดเกลากิเลสตน ก็เพราะสั่งสมอุปนิสัยเช่นกัน ไม่ว่าประกอบอาชีพใดท่านก็แวดล้อม อยู่ด้วยคนทุศีลเป็นอันมาก แม้อยู่ในผ้ากาสาวพัตร์ยังไม่เว้น ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นข้อพิสูจน์ที่ดี การเป็นนักธุรกิจที่ค่อยๆ เจริญปัญญา รู้เท่าทันความเป็นจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ จะเป็นเหตุของความล้มเหลวในอาชีพธุรกิจได้อย่างไร ตรงข้าม ย่อมเป็นปัจจัยให้เห็นเหตุผล ตามความเป็นจริง สามารถขัดเกลาความ "ไม่รู้" ซึ่ง เคยหนาแน่นมาก ก่อนการศึกษาพระธรรมได้ ความรู้นี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้ประพฤติ ปฏิบัติ แต่สิ่งที่เป็นความดีงาม ชื่อเสียงของท่านจะไม่หอมไกลไปทั่วทุกทิศได้อย่างไร หอมด้วยศีล ด้วยความดีนั้นหอมไม่จางตราบนานเท่านาน ในพระไตรปิฎก ได้แสดงเรื่องของการค้าขายที่ซื่อตรง และไม่ซื่อตรงไว้ เหมือนกัน
ความดี ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ เป็นต้น ทุกยุคทุกสมัยทุกสังคมต่างก็เรียกร้องหา ถ้าคุณเป็นคนดี เป็นคนมีศีลธรรมประจำใจ บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ แม้แต่ พาลชนยังต้องการความยุติธรรม เพราะฉะนั้นการประพฤติธรรมจึงเป็นความดีตลอดไป ไม่มีการล้าสมัย โปรดตั้งมั่นในธรรมะ ธรรมะนั่นแหละจะรักษาผู้ประฤติธรรม
เรียนถามท่านผู้รู้ แทรกคำถามข้างต้นเล็กน้อยว่า เราทำธุรกิจ ก็เพื่อหวังกำไรสูงสุด ในความหมายของระบบทุนนิยม จะขัดแย้งกับคำสอนที่ว่าให้ละ โลภ รัก เกลียด หลง หรือไม่ เพราะแนวความคิดหลักของธุรกิจในระบบทุนนิยม เป้าหมายสูงสุดคือกำไร สูงสุด ส่วนวิธีการเป็นเรื่องรอง เพราะดูเหมือนว่า เป้าหมายหลักทางธุรกิจต่างกัน โดยสิ้นเชิงกับคำสอนทางศาสนา
พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ทรงสอนผู้ฟังหลาย ระดับทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แม้คฤหัสถ์ก็มีหลายอัธยาศัย ทั้งครองเรือนและไม่ ครองเรือน ผู้ที่ครองเรือนย่อมมีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำและรับผิดชอบมากมาย การทำ การค้าขายเพื่อหวังผลกำไร ย่อมเป็นของธรรมดาของผู้ค้าขาย และไม่ขัดต่อศีลและ ธรรมของคฤหัสถ์ ถ้าคฤหัสไม่ทำกิจการงาน ชื่อว่าขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ถ้าบรรพชิตเป็นผู้คิดหรือทำการค้าหวังผลกำไร ย่อมขัดต่อคำสอนที่ทรงแสดงแก่ ผู้ที่เป็นบรรพชิต เพราะฉะนั้น ควรแยกคำสอนที่เหมาะสมกันฐานะของตน
ขอเรียนถามเพิ่มเติม ที่ท่านกรุณาแสดงความเห็นให้ทราบแล้วนั้น หมายความว่า คฤหัสถ์กับบรรพชิต ย่อมปฏิบัติแตกต่างกันได้โดยไม่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธองค์ ใช่หรือไม่ครับ
ถูกแล้วครับ คฤหัสถ์กับบรรพชิตมีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ข้อปฏิบัติเพื่อการ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเหมือนกัน คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือสติปัฏฐาน แต่บรรพชิตต้องอยู่ในระเบียบวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ถ้าหากไม่เคารพในพระวินัยย่อมไม่อาจ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ขออนุโมทนาครับ