อ.สุจินต์ : เพราะฉะนั้น กว่าจะมีปัจจัยถึงปฏิปัตติ ซึ่งถึงแน่นอนด้วยความเข้าใจขึ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีทางเลย และจากปริยัติ ก็จะถึงปฏิเวธ ทุกคำที่ได้ฟังนี้ จริง เมื่อถึง แต่ต้องเป็นปัญญาระดับที่ถึงด้วยการอบรม จนกระทั่งละคลายความติดข้อง กว่าจะเป็นการที่สามารถประจักษ์แจ้ง ซึ่งถูกกั้นไว้ ด้วยความไม่รู้และความติดข้อง
การฟังธรรมะจึงต้องละเอียดและมั่นคงจริงๆ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ และทรงแสดงกำกับไว้อีก สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ไม่ให้หลงผิด เพราะฉะนั้น ปริยัติ เพียงขั้นฟัง เพิ่งรู้หนทางที่จะนำไปสู่การเข้าใจธรรมะ ซึ่งกำลังอยู่ในความมืด ก็ต้องรู้ว่า ขณะนั้นยังไม่ใช่ปฏิบัติ ต้องฟังต่อไป เข้าใจต่อไป เป็นความเข้าใจที่มั่นคง-สัจจญาณ ปัญญาจึงเริ่มทำกิจญาณอีกระดับหนึ่ง คือไม่ใช่เพียงเข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ แล้วเข้าใจ เช่น เข้าใจว่า เห็นมี เห็นเกิด-ดับ นี่คือปริยัติ
แต่ว่า เมื่อถึงการที่มีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ต้องไปรอคอย ไม่ต้องไปหวังอะไรเลย เพราะนั่นคือเครื่องกั้น โลภะแนบเนียนมาก แยบยลมาก ไม่มีใครเห็น นอกจากปัญญา ปัญญาเท่านั้น ที่รู้ว่า ขณะไหนถูก ขณะไหนผิด และเริ่มเห็นโลภะ จึงสามารถละโลภะ ความติดข้องและความเห็นผิดได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย
ติดตามบันทึกการสนทนาฉบับเต็มได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ