ปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕ ว่าด้วยผลแห่งจิตที่ตั้งไว้ผิดเป็นต้น
โดย บ้านธัมมะ  16 ต.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 38279

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 93

ปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕

ว่าด้วยผลแห่งจิตที่ต้งไว้ผิดเป็นต้น 42/93

อรรถกถาปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕ 96

อรรถกถาสูตรที่ ๑ 96

อรรถกถาสูตรที่ ๒ 97

อรรถกถาสูตรที่ ๓ 98

อรรถกถาสูตรที่ ๔ 99

อรรถกถาสูตรที่ ๕ 99

อรรถกถาสูตรที่ ๖ 101

อรรถกถาสูตรที่ ๗ 102

อรรถกถาสูตรที่ ๘ 102

อรรถกถาสูตรที่ ๙ 104

อรรถกถาสูตรที่ ๑๐ 105


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 93

ปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕

ว่าด้วยผลแห่งจิตที่ตั้งไว้ผิดเป็นต้น

[๔๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหางแหลมของเมล็ด ข้าวสาลีหรือหางแหลมของเมล็ดข้าวเหนียว ที่บุคคลตั้งไว้ผิด มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะหางแหลมของ เมล็ดข้าวอันบุคคลตั้งไว้ผิด ฉันใด ภิกษุนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยจิตที่ตั้งไว้ผิด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะจิตตั้งไว้ผิด.

[๔๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหางแหลมของเมล็ดข้าวสาลี หรือหางแหลมของเมล็ดข้าวเหนียว ที่บุคคลตั้งไว้ถูก มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือจักให้ห้อเลือด ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเดือยข้าวอันบุคคล ตั้งไว้ถูก ฉันใด ภิกษุนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จำทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยจิตที่ตั้งไว้ถูก ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตตั้งไว้ถูก.

[๔๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดใจด้วยใจอย่างนี้แล้ว ย่อมรู้ชัดบุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตอันโทษประทุษร้ายแล้วว่า


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 94

ถ้าบุคคลนี้พึงทำกาละในสมัยนี้ พึงตั้งอยู่ในนรกเหมือนถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตของเขาอันโทษประทุษร้ายแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แหละเพราะเหตุที่จิตอันโทษประทุษร้าย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.

[๔๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดใจด้วยใจอย่างนี้แล้ว ย่อมรู้ชัดบุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตผ่องใสว่า ถ้าบุคคลนี้พึงทำกาละในสมัยนี้ พึงตั้งอยู่ในสวรรค์เหมือนที่เขานำมาเชิดไว้ฉะนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตของเขาผ่องใส ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แหละเพราะเหตุที่จิตผ่องใส สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.

[๔๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำขุ่นมัว เป็นตม บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนฝั่ง ไม่พึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบบ้าง ก้อนกรวดและกระเบื้องถ้วยบ้าง ฝูงปลาบ้าง ซึ่งเที่ยวไปบ้าง ตั้งอยู่บ้าง ในห้วงน้ำนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะน้ำขุ่น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักรู้ประโยชน์ตนบ้าง จักรู้ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง จักรู้ประโยชน์ทั้งสองบ้าง จักกระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษ คือ อุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถได้ด้วยจิตที่ขุ่นมัว ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตขุ่นมัว.

[๔๗] ก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนห้วงน้ำใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนฝั่ง พึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 95

บ้าง ก้อนกรวดและกระเบื้องถ้วยบ้าง ฝูงปลาบ้าง ซึ่งเที่ยวไปบ้าง ตั้งอยู่บ้าง ในห้วงน้ำนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะน้ำไม่ขุ่น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักรู้ประโยชน์ตนบ้าง จักรู้ประโยชน์ผู้อื่นบ้าง จักรู้ประโยชน์ทั้งสองบ้าง จักกระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษ คือ อุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ ได้ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตไม่ขุ่นมัว.

[๔๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม้จันทน์ บัณฑิตกล่าวว่าเลิศ กว่ารุกขชาติทุกชนิด เพราะเป็นของอ่อน และควรแก่การงาน ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่อบรมแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติอ่อนและควรแก่การงาน เหมือนจิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตที่อบรมแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นธรรมชาติอ่อนและควรแก่การงาน ฉันนั้นเหมือนกัน.

[๔๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว เหมือนจิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใดนั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้มิใช่ง่าย.

[๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมา.

[๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว จากอุปกิเลสที่จรมา.

จบ ปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 96

อรรถกถาปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕

อรรถกถาสูตรที่ ๑

วรรคที่ ๕ สูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

ศัพท์ว่า เสยฺยถาปิ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า อุปมา. ในอรรถ ที่ว่าด้วยอุปมานั้น บางแห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเอาข้อความ ประกอบอุปมาเหมือนในวัตถสูตร และในปริฉัตตโกปมสูตร และอัคคิขันโธปมสูตร ในที่บางแห่ง ทรงแสดงเอาอุปมาประกอบข้อความ เหมือนในโลณัมพิลสูตร และเหมือนในสุวัณณการสูตร และสุริโยปมสูตร เป็นต้น แต่ในสาลิสูโกปมสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเอาอุปมาประกอบข้อความ จึงตรัสคำมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ดังนี้ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาลิสูกํ แปลว่า เดือยแห่งเมล็ดข้าว สาลี แม้ในเดือยแห่งข้าวเหนียวก็นัยนี้เหมือนกัน วา ศัพท์ มีอรรถว่า วิกัปป์ ไม่แน่นอน. บทว่า มิจฺฉาปณิหิตํ แปลว่า ตั้งไว้ผิด อธิบายว่า ไม่ตั้งให้ปลายขึ้น โดยประการที่อาจจะทิ่มเอาได้ บทว่า ภิชฺชิสฺสติ ความว่า จักทำลาย คือจักเฉือนผิว.

บทว่า มิจฺฉาปณิหิเตน จิตฺเตน แปลว่า ด้วยจิตที่ตั้งไว้ผิด คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาจิต ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจวัฏฏะ บทว่า อวิชฺชํ ได้แก่ ความไม่รู้อย่างใหญ่ มากด้วยความทึบ เป็นความไม่รู้ในฐานะ ๘. บทว่า วิชฺชํ ในคำว่า วิชฺชํ อุปฺปาเทสฺสติ นี้ ได้แก่ ญาณ อันสัมปยุตด้วยอรหัตตมรรค. บทว่า นิพฺพานํ ได้แก่ อมตะ คุณชาติ


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 97

ที่ไม่ตายที่ท่านกล่าวไว้อย่างนั้น ก็โดยเป็นคุณชาตออกจากกิเลส เครื่องร้อยรัด คือ ตัณหา. บทว่า สจฺฉิกริสฺสติ ได้แก่ กระทำให้ประจักษ์.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑

อรรถกถาสูตรที่ ๒

ในสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า สมฺมาปณิหิตํ ความว่า ตั้งไว้ดี เพราะกระทำให้ปลายขึ้น โดยที่สามารถจะทิ่มได้. ในบทว่า อกฺกนฺตํ (เหยียบ) นี้ย่อมชื่อว่า เหยียบด้วยเท้าเท่านั้น (ถ้าเป็นมือก็ต้อง) เอามือบีบ. แต่ที่กล่าวว่า "เหยียบ" เหมือนกันก็เนื่องด้วยเป็นศัพท์ที่ใช้กันจนชิน. ก็ในสูตรนี้ มีอริยโวหารเพียงเท่านี้.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ถือเอาสิ่งอื่นๆ ที่ใหญ่ มีหนามไม้มะรื่น เป็นต้น ถือเอาแต่เดือยข้าวสาลี เดือยข้าวเหนียว เท่านั้น ซึ่งเป็นของอ่อน ไม่แข็ง. แก้ว่า เพื่อแสดงว่า อกุศลกรรม แม้มีจำนวนน้อยก็สามารถฆ่ากุศลกรรมได้. เหมือนอย่างว่า เดือยข้าวสาลี หรือเดือยข้าวเหนียว ที่อ่อนไม่แข็ง หรือหนามของไม้มะรื่น และหนามของไม้มีหนามเป็นต้น อันใหญ่ๆ ก็ตามที ในบรรดาหนามเหล่านั้น หนามชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ตั้งไว้ผิด ไม่สามารถที่จะตำมือหรือเท้า หรือทำให้ห้อเลือด แต่ที่ตั้งไว้ถูกทางย่อมสามารถ ฉันใด กุศลมีจำนวนน้อย ไม่ว่าจะเป็นการให้ใบไม้ประมาณกำมือ


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 98

หนึ่ง หรือกุศลใหญ่ๆ เช่น การให้ของเวลามพราหมณ์ เป็นต้น ก็ตามเถิด ถ้าปรารถนาวัฏฏสมบัติ จิต ชื่อว่า ตั้งไว้ผิด ด้วยอำนาจอิงวัฏฏะ สามารถนำวัฏฏะเท่านั้นมาให้ หาสามารถนำวิวัฏฏะมาให้ไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน. แต่เมื่อบุคคลปรารถนาวิวัฏฏะอย่างนี้ว่า ขอทานของเรานี้ จงนำมาซึ่งความสิ้นอาสวะ ชื่อว่า ตั้งไว้ชอบด้วยอำนาจวิวัฏฏะ ย่อมสามารถให้ทั้งพระอรหัต ทั้งปัจเจกโพธิฌาณทีเดียว. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า

ปฏิสมฺภิทา วิโมกฺขา จ ยา จ สาวกปารมี

ปจฺเจกโพิ พุทฺธภูมิ สพฺพเมเตน ลพฺภติ.

ปฏิสัมภิทา ๑ วิโมกข์ ๑ สาวกปารมี ๑ ปัจเจกโพธิ ๑ พุทธภูมิ ๑ ทั้งหมดนั้น บุคคลย่อมได้ ด้วยจิตที่ตั้งไว้ชอบนั้น.

ก็ในสูตรทั้งสองนี้ ท่านกล่าว ทั้งวัฏฏะและวิวัฏฏะ.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๒

อรรถกถาสูตรที่ ๓

ในสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ปทุฏฺจิตฺตํ ได้แก่ จิตอันโทษประทุษร้ายแล้ว. บทว่า เจตสา เจโต ปริจฺจ ความว่า กำหนดจิตของเขา ด้วยจิตของตน. บทว่า ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต ความว่า พึงเห็นว่า ตั้งอยู่ในนรก นั่นแล


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 99

เหมือนถูกนำมาทิ้งไว้ คือวางไว้. บทว่า อปายํ เป็นต้นทั้งหมด เป็นคำไวพจน์ของนรก. จริงอยู่ นรกปราศจากความสุขคือความเจริญ จึงชื่อว่า อบาย. ภูมิเป็นที่ไป คือเป็นที่แล่นไปแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุคคติ. ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นที่ที่บุคคลผู้มักทำชั่วตกไปไร้อำนาจ. ชื่อว่า นรก เพราะอรรถว่า ไม่มีคุณที่น่ายินดี.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๓

อรรถกถาสูตรที่ ๔

ในสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ปสนฺนํ ได้แก่ ผ่องใส โดยความผ่องใส ด้วยศรัทธา. บทว่า สุคตึ ได้แก่ ภูมิเป็นที่ไปแห่งสุข. บทว่า สคฺคํ โลกํ ได้แก่ โลกอันเลอเลิศด้วยสมบัติ มีรูปสมบัติ เป็นต้น.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔

อรรถกถาสูตรที่ ๕

ในสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า อุทกรหโท แปลว่า ห้วงน้ำ. บทว่า อาวิโล ได้แก่ ไม่ใส่. บทว่า ลุฬิโต ได้แก่ ไม่สะอาด. บทว่า กลลีภูโต แปลว่า มีเปือกตม.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 100

พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า สิปฺปิสมฺพุกํ เป็นต้นดังต่อไปนี้.

หอยโข่งและหอยกาบ ชื่อว่า สิปปิสัมพุกะ ก้อนกรวดและกระเบื้อง ชื่อว่า สักขรกถละ. ฝูง คือกลุ่มแห่งปลาทั้งหลาย เหตุนั้นจึงชื่อว่า มัจฉคุมพะ ฝูงปลา. บทว่า จรนฺตมฺปิ ติฏฺมฺปิ นี้มีอธิบายว่า ก้อนกรวดและกระเบื้องหยุดอยู่อย่างเดียว นอกนี้ หยุดอยู่ก็มี ว่ายไปก็มี เหมือนอย่างว่าระหว่างแม่โค ที่ยืนอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี โคนอกนั้น ก็ถูกเรียกว่า เที่ยวไป เพราะอาศัยโคตัวที่กำลังเที่ยวไปว่า โคเหล่านี้เที่ยวไปอยู่ ฉันใด ก้อนกรวดและกระเบื้องทั้งสองแม้นอกนี้ เขาเรียกว่า หยุด เพราะอาศัยก้อนกรวดและกระเบื้องที่หยุด แม้ก้อนกรวดและกระเบื้องที่เขาเรียกว่า ว่ายไป ก็เพราะอาศัยฝูงปลา ซึ่งกำลังว่ายไป ฉันนั้น. บทว่า อาวิเลน ได้แก่ ถูกนิวรณ์ ๕ หุ้มห่อไว้. ประโยชน์ของตนอันคละกัน ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ. อันเป็นไปในปัจจุบัน ชื่อว่า ประโยชน์ของตน ในคำมีอาทิว่า อตฺตตฺถํ วา ประโยชน์ของตนที่คละกันทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ. ในสัมปรายภพ ชื่อว่า ประโยชน์ภายหน้า แม้ประโยชน์ภายหน้า ชื่อว่า ปรัตถะ เพราะประกอบด้วยประโยชน์ของบุคคลอื่น. ประโยชน์ทั้ง ๒ นั้น ชื่อว่า อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้ง ๒. อีกอย่างหนึ่ง ประโยชน์ส่วนโลกิยะและโลกุตตระ ที่เป็นไปในปัจจุบัน และสัมปรายภพ ของตน ชื่อว่าประโยชน์ตน. ประโยชน์เช่นนั้นนั่นแล ของผู้อื่น ชื่อว่า ประโยชน์ของผู้อื่น. แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ นั้น ก็ชื่อว่า อุภยัตถะประโยชน์ทั้ง ๒.

บทว่า อุตฺตรึ วา มนุสฺสธมฺมา ได้แก่ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ กล่าวคือ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ. จริงอยู่ธรรม ๑๐


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 101

ประการนี้ แม้ไม่มีคนอื่นชักชวน ท่านก็เรียกว่า มนุษยธรรม เพราะเป็นธรรมที่มนุษย์ผู้เกิดความสังเวช มาทานด้วยตนเองในท้าย แห่งสันถันตรกัปป์ (กัปป์ที่ฆ่าฟันกันด้วยศาตราวุธ). แต่ฌานและวิปัสสนา มรรคและผล พึงทราบว่ายิ่งไปกว่ามนุษยธรรมนั้น.

บทว่า อลมริยญาณทสสฺนวิเสสํ ความว่า คุณวิเสส กล่าวคือ ญาณทัสสนะ อันควรแก่พระอริยะทั้งหลาย หรือที่สามารถทำให้เป็นอริยะ. จริงอยู่ ญาณนั่นแล พึงทราบว่า ญาณเพราะอรรถว่า รู้ ว่าทัสสนะ เพราะอรรถว่าเห็น. คำว่า อลมริยญาณทสฺสนวิเสสํ นี้เป็นชื่อของทิพพจักขุญาณ วิปัสสนาญาณ มรรคญาณ ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕

อรรถกถาสูตรที่ ๖

ในสูตรที่ ๖ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า อจฺโฉ แปลว่า ไม่มีมลทิน. บาลีว่า ปสนฺโน (ใส) ดังนี้ก็ควร. บทว่า วิปฺปสนฺโน แปลว่า ใสดี. บทว่า อนาวิโล แปลว่า ไม่ขุ่นมัว อธิบายว่าบริสุทธิ์. ท่านอธิบายไว้ว่า เว้นจากฟองน้ำ สาหร่าย และจอกแหน. บทว่า อนาวิเลน ได้แก่ ปราศจากนิวรณ์ ๕. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในสูตรที่ ๔ นั่นแล. ในสูตรทั้ง ๒ นี้ ท่านกล่าวทั้งวัฏฏะทั้งวิวัฏฏะ นั่นแล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๖


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 102

อรรถกถาสูตรที่ ๗

ในสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า รุกฺขชาตานํ เป็นฉัฏฐีวิภัติ ใช้ในอรรถ ปฐมาวิภัติ อธิบายว่า รุกฺขชาตานิ ต้นไม้ทั้งหลาย. บทว่า รุกฺขชาตานิ นี้เป็น ชื่อของต้นไม้ทั้งหลาย. บทว่า ยทิทํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า มุทุตาย ได้แก่ เพราะเป็นไม้อ่อน. ทรงแสดงว่าต้นไม้บางชนิด เลิศแม้ด้วยสี บางชนิดเลิศด้วยกลิ่น บางชนิดเลิศด้วยรส บางชนิดเลิศด้วยเป็นของแข็ง. ส่วนไม้จันทน์เป็นเลิศ คือประเสริฐ เพราะเป็นไม้อ่อน และเหมาะแก่การงาน.

ในคำว่า จิตฺตํ ภิกฺขเว ภาวิตํ พหุลีกตํ นี้ ท่านประสงค์เอาจิตที่อบรม และกระทำบ่อยๆ ด้วยอำนาจสมถะและวิปัสสนา. ส่วนท่านกุรุนทกวาสีปุสสมิตตเถระ กล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ จิตในจุตตถฌาน อันเป็นบาทของอภิญญาเท่านั้น ชื่อว่า จิตอ่อนโยนและเหมาะแก่การงานโดยส่วนเดียว.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๗

อรรถกถาสูตรที่ ๘

ในสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า เอวํ ลหุปริวตฺตํ ความว่า เกิดเร็ว ดับเร็ว ด้วยอาการอย่างนี้ ศัพท์ว่า ยาวฺจ เป็นนิบาตใช้ในอรรถเท่ากับอธิมัตตะ มี


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 103

ประมาณยิ่ง. อธิบายว่า มิใช่ทำได้อย่างง่ายนัก. บทว่า อิทํ เป็นเพียงนิบาต. ในบทว่า จิตฺตํ ก่อนอื่น อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เป็นภวังคจิต. แต่ท่านปฏิเสธคำนั้นแล้วกล่าวว่า จิตดวงใดดวงหนึ่ง โดยที่สุดแม้จักขุวิญญาณ ก็ประสงค์เอาว่าจิตในที่นี้.

แต่ในที่นี้ พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามพระนาคเสนเถระ ผู้เป็น พระธรรมกถึกว่า ท่านพระนาคเสน จิตตสังขารที่เป็นไปชั่วขณะ ลัดนิ้วมือเดียว ถ้าเป็นรูปร่างจะเป็นกองใหญ่เท่าไร? พระนาคเสน ตอบว่า มหาบพิตร ข้าวเปลือกร้อยวาหะ หย่อนครึ่งวาหะ ๗ อัมพนะ และ ๒ ตุมพะ ย่อมไม่ถึงแม้การนับ ย่อมไม่ถึงแม้การคำนวน ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนของการคำนวนแห่งจิต ที่เป็นไปชั่วขณะลัดนิ้วมือเดียว. ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า แม้ข้ออุปมา ก็ทำได้มิใช่ง่าย. แก้ว่า ก็แม้ท่านปฏิเสธอุปมา ด้วยข้าวเปลือกก็ได้กระทำอุปมา ความยาวของกัปป์ โดยเปรียบเทียบกับภูเขาโยชน์หนึ่ง กับพระนคร เต็มไปด้วยเมล็ดพันธ์ผักกาด ยาวโยชน์หนึ่ง เปรียบทุกข์ของสัตว์นรกโดยเปรียบด้วยถูกแทงด้วยหอก ๑๐๐ เล่ม เปรียบความสุขในสวรรค์ โดยเปรียบเทียบกับสมบัติ พระเจ้าจักรพรรดิ์ ฉันใด แม้ในที่นี้ก็พึงกระทำอุปมา ฉันนั้น. ในมิลินทปัญหานั้น ท่านกระทำอุปมา ด้วยอำนาจคำถามอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้าทำอุปมาได้ไหม? ในสูตรนี้ ท่านไม่กระทำอุปมาไว้ เพราะไม่มีการถาม. จริงอยู่ พระสูตรนี้ ท่านกล่าวไว้ในตอนจบ พระธรรมเทศนา. ในพระสูตรนี้ ท่านเรียกชื่อว่า จิตตราสี (กองจิต) ด้วยประการฉะนี้.

จบ อรรรถกถาสูตรที่ ๘


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 104

อรรถกถาสูตรที่ ๙

ในสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ปภสฺสรํ ได้แก่ ขาวคือบริสุทธิ์. บทว่า จิตฺตํ ได้แก่ ภวังคจิต. ถามว่า ก็ชื่อว่าสีของจิตมีหรือ? แก้ว่าไม่มี. จริงอยู่ จิตจะมีสีอย่างหนึ่งมีสีเขียวเป็นต้น หรือจะเป็นสีทองก็ตาม จะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านก็เรียกว่า ปภัสสร เพราะเป็นจิตบริสุทธิ์. แม้จิตนี้ ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะปราศจากอุปกิเลส เหตุนั้น จึงชื่อว่า ปภัสสร. บทว่า ตญฺจ โข ได้แก่ ภวังคจิต นั้น. บทว่า อาคนฺตุเกหิ ได้แก่ อุปกิเลส ที่ไม่เกิดร่วมกัน หากเกิดในขณะแห่งชวนจิตในภายหลัง. บทว่า อุปกิเลเสหิ ความว่า ภวังคจิตนั้น ท่านเรียกว่า ชื่อว่า เศร้าหมองแล้ว เพราะเศร้าหมองแล้วด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น. เศร้าหมองอย่างไร? เหมือนอย่างว่า บิดามารดา หรืออุปัชฌาย์ อาจารย์มีสมบูรณ์ด้วยความประพฤติ ไม่ดุว่า ไม่ให้ศึกษา ไม่สอน ไม่พร่ำสอน บุตร หรืออันเตวาสิก และสัทธิวิหาริกของตน เพราะเหตุที่บุตร และสัทธิวิหาริกอันเตวาสิก เป็นผู้ทุศีล มีความประพฤติไม่ดี ไม่สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติ ย่อมได้รับการติเตียน เสียชื่อเสียงฉันใด พึงทราบข้ออุปไมยนี้ ฉันนั้น. พึงเห็นภวังคจิต เหมือนบิดามารดา และอุปัชฌาย์ อาจารย์ ผู้สมบูรณ์ด้วยความประพฤติ. ภวังคจิต แม้จะบริสุทธิ์ตามปกติ ก็ชื่อว่าเศร้าหมอง เพราะอุปกิเลสที่จรมา อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่เกิดพร้อมด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งมีความกำหนัดขัดเคือง และความหลงเป็นสภาวะ


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 105

ในขณะแห่งชวนจิต เหมือนบิดามารดาเป็นต้นเหล่านั้น ได้ความเสียชื่อเสียง เหตุเพราะบุตรเป็นต้น ฉะนั้นแล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๙

อรรถกถาสูตรที่ ๑๐

แม้ในสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

จิต ก็คือภวังคจิตนั่นเอง. บทว่า วิปฺปมุตฺตํ ความว่า ภวังคจิตนั้น ไม่กำหนัด ไม่ขัดเคือง ไม่หลง ในขณะแห่งชวนจิต เกิดขึ้นด้วยอำนาจกุศลจิต ที่เป็นญาณสัมปยุตประกอบด้วยไตรเหตุเป็นต้น ย่อมชื่อว่า หลุดพ้นจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา. แม้ในที่นี้ ภวังคจิต นี้ท่านเรียกว่า หลุดพ้นแล้วจากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา ด้วยอำนาจกุศลจิตที่เกิดขึ้นในขณะแห่งชวนจิต เหมือนมารดาเป็นต้น ได้รับความสรรเสริญและชื่อเสียงว่า พวกเขาช่างดีแท้ ยังบุตรเป็นต้น ให้ศึกษาโอวาท อนุสาสน์ อยู่ดังนี้ เหตุเพราะบุตรเป็นต้น เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ด้วยความประพฤติ ฉะนั้น.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑๐

จบ อรรถกถาปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕