[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 510
๕. คังคมาลชาดก
ว่าด้วยกามทั้งหลาย เกิดจากความดําริ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 510
๕. คังคมาลชาดก
ว่าด้วยกามทั้งหลาย เกิดจากความดำริ
[๑๑๕๕] แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดารดาษไปด้วยทราย อันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ?
[๑๑๕๖] ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ไม่ แต่ว่าวัตถุกาม และกิเลสกาม ย่อมเผาข้าพระองค์ เพราะว่า ความประสงค์หลายๆ อย่าง มีอยู่ ความประสงค์เหล่านั้น ย่อมเผาข้าพระองค์ แดดหาได้เผาข้าพระองค์ไม่.
[๑๑๕๗] ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 511
[๑๑๕๘] กามแม้น้อย ก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยกาม แม้มาก น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด.
[๑๑๕๙] การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราช ถึงความเป็นใหญ่ นี่เป็นผลแห่งกรรม มีประมาณน้อยของเรา มาณพใด ละกามราคะ ออกบวชแล้ว มาณพนั้น ชื่อว่า ได้ลาภดีแล้ว.
[๑๑๖๐] สัตว์ทั้งหลาย ย่อมละธรรมชั่ว ด้วยตบะ แต่สัตว์เหล่านั้น จะละความเป็นคน ผู้ใช้หม้อตักน้ำ ให้เขาอาบได้หรือ แน่ะ คังคมาละ การที่ท่านข่มขี่ด้วยตบะ แล้วร้องเรียก โอรสของเรา โดยชื่อว่า พรหมทัต ในวันนี้นั้น ไม่เป็นการสมควรเลย.
[๑๑๖๑] ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลาย พร้อมทั้งพระราชา และอำมาตย์ พากันไหว้พระปัจเจก-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 512
พุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เป็นผู้อันชนทั้งปวงไหว้แล้ว เชิญเสด็จแม่ ทอดพระเนตร ดูผลแห่งขันติ และโสรัจจะ ในปัจจุบันเถิด.
[๑๑๖๒] ท่านทั้งหลาย อย่าได้กล่าวอะไรๆ กะท่านคังคมาละ ผู้เป็นพระปัจเจกมุนี ศึกษา อยู่ในคลองมุนี ความจริงพระปัจเจกพุทธเจ้า คังคามาละนี้ ข้ามห้วงน้ำที่พระปัจเจกมุนี ทั้งหลายข้ามแล้ว หมดความเศร้าโศกเที่ยวไป.
จบ คังคมาลชาดกที่ ๕
อรรถกถาคังคมาลชาดกที่ ๕
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ อุโบสถกรรม จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า องฺคารชาตา ดังนี้.
ความย่อมีว่า วันหนึ่งพระศาสดา ตรัสเรียก พวกรักษาอุโบสถมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย ทำอุโบสถกรรมให้สำเร็จดีแล้ว ผู้ที่รักษาอุโบสถ ควรให้ทาน รักษาศีล ไม่โกรธ เจริญเมตตา อยู่รักษาอุโบสถ ก็บัณฑิตครั้งก่อน ให้ยศใหญ่ เพราะอาศัยอุโบสถกรรม ที่รักษาครึ่งวัน ดังนี้ พวกอุบาสกเหล่านั้น กราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 513
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี ในพระนครนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่า สุจิบริวาร มี สมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นผู้ยินดีในบุญกุศล มีให้ทาน เป็นต้น. บุตรภรรยาก็ดี บริวารชนของเขาก็ดี โดยที่สุด แม้เด็กเลี้ยงโค ในเรือนนั้นก็ดี ทั้งหมดพากันอยู่รักษาอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูล คนจนตระกูลหนึ่ง รับจ้างเขาเลี้ยงชีพ เป็นอยู่ด้วยความลำบาก. พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักทำงานรับจ้าง จึงได้ไปยังเรือน ของสุจิบริวารเศรษฐี ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง เมื่อท่านเศรษฐี ถามว่า ท่านมาทำไม จึงกล่าวว่า มาเพื่อรับจ้างทำงาน ในเรือนของท่าน. ท่านเศรษฐีได้เคยพูด บอกแก่ลูกจ้างคนอื่นๆ ไว้ ในวันที่มาถึงว่า ผู้ที่ทำงานในเรือนนี้ รักษาศีลทุกคน เมื่อท่านอาจรักษาศีลได้ ก็จงทำงานเถิด. แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ ท่านเศรษฐี ไม่ได้บอกให้รักษาศีล. กล่าวรับพระโพธิสัตว์ว่า ดีแล้วพ่อ ท่านจงอยู่รับจ้างทำงานเถิด.
นับแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ เป็นคนว่าง่าย ทุ่มเทชีวิต มิได้คิดเห็นแก่ความเหนื่อยยาก ของตน ทำงานทุกอย่างให้ท่านเศรษฐี. พระโพธิสัตว์ไปทำงานแต่เช้าตรู่ ในตอนเย็นจึงกลับมา. อยู่มาวันหนึ่ง เขาป่าวประกาศมหรสพในพระนคร. มหาเศรษฐีเรียกนางทาสี มาสั่งว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ เจ้าจงหุงข้าว ให้พวกกรรมกรในเรือน แต่เช้าทีเดียว ถึงเวลาเขาจักได้กิน แล้วรักษาอุโบสถ. พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 514
ไปทำงาน. ไม่มีใครบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า วันนี้ท่านพึงรักษาอุโบสถ. พวกกรรมกรที่เหลือ บริโภคอาหารแต่เช้า แล้วรักษาอุโบสถ. แม้ท่านเศรษฐี พร้อมด้วยลูกเมียบริวารชน ได้อธิษฐานอุโบสถ. พวกที่รักษาอุโบสถแม้ทั้งหมด ไปที่อยู่ของตนๆ นั่งนึกถึงศีล. พระโพธิสัตว์ทำงานตลอดวัน กลับมาในเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้ว. ลำดับนั้น พวกจัดอาหารได้ให้น้ำล้างมือ แก่พระโพธิสัตว์ แล้วคดข้าวใส่ถาดส่งให้. พระโพธิสัตว์ ถามว่า วันอื่นๆ ในเวลาเช่นนี้ ได้มีเรื่องอื้ออึง แต่วันนี้ เขาไปไหนกันหมด เมื่อได้ฟังว่า ทุกคนสมาทานอุโบสถ ไปที่อยู่ของตนๆ จึงคิดว่า เราเป็นคนทุศีลคนเดียว จักอยู่ไม่ได้ ในกลุ่มของคนผู้มีศีล เหล่านี้ เมื่อเราอธิษฐานองค์อุโบสถเดี๋ยวนี้ จักเป็นอุโบสถกรรม หรือไม่หนอ คิดดังนี้แล้ว จึงไปถามท่านเศรษฐี. ลำดับนั้น ท่านเศรษฐี กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ จะเป็นอุโบสถกรรมไปทั้งหมด ไม่ได้ เพราะไม่ได้อธิษฐานแต่เช้า แต่ก็เป็นเพียงกึ่งอุโบสถกรรมเท่านั้น. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เพียงเท่านี้ ก็ช่างเถอะ ได้สมาทานศีล ในสำนักของท่านเศรษฐี อธิษฐานอุโบสถแล้วเข้าที่อยู่ของตน นอนนึกถึงศีลอยู่. ครั้นราตรีล่วงเข้าปัจฉิมยาม ลมสัตถกวาตก็เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ เพราะอดอาหารมาตลอดวัน. แม้ท่านเศรษฐีจะประกอบเภสัชต่างๆ นำมาให้บริโภค พระโพธิสัตว์ก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าสมาทานอุโบสถแล้ว โดยยอมสละชีวิต ด้วยคิดว่า จักไม่ทำลายอุโบสถ. เวทนากล้าแข็งได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 515
เกิดขึ้น. เวลารุ่งอรุณ พระโพธิสัตว์ ไม่อาจดำรงสติไว้ได้. คนทั้งหลายคิดว่า พระโพธิสัตว์จักตายในบัดนี้ จึงได้นำไปให้นอนอยู่ ณ ที่โรงเก็บอาหาร.
ขณะนั้น พระเจ้าพาราณสี ทรงรถพระที่นั่ง ทำประทักษิณพระนคร ด้วยบริวารใหญ่ เสด็จถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ ได้เห็นสิริราชสมบัติ ของพระเจ้าพาราณสี เกิดความโลภ อยากได้ราชสมบัติ เมื่อดับจิตแล้ว ได้ไปปฏิสนธิ ในครรภ์อัครมเหสี ของพระเจ้าพาราณสี ด้วยอานิสงส์แห่ง อุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง. พระอัครมเหสีได้ครรภบริหารแล้ว พอถ้วนทศมาส ก็ประสูติพระราชโอรส. พระประยูรญาติทั้งหลาย พากันถวาย พระนามว่า อุทัยกุมาร. อุทัยกุมารนั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว สำเร็จ การศึกษาศิลปะทุกอย่าง ระลึกถึงบุพพกรรมของตน ได้ด้วยญาณ เครื่องระลึกชาติ จึงเปล่งอุทานเนื้อๆ ว่า นี้เป็นผลแห่งกรรม เล็กน้อยของเรา ดังนี้. ครั้นพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ ทอดพระเนตร ดูสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ ของพระองค์ แล้วเปล่าอุทานเช่นนั้นอีก.
อยู่มาวันหนึ่ง ชาวเมืองเตรียม การเล่นมหรสพในพระนคร. มหาชนพากันสนใจ ดูการเล่น. ครั้งนั้น บุรุษรับจ้างคนหนึ่ง อยู่ใกล้ประตูทิศอุดร เมืองพาราณสี เก็บทรัพย์กึ่งมาสก ที่ได้มาด้วยการรับจ้างตักน้ำ ไว้ที่ซอกอิฐกำแพงเมือง ได้อยู่ร่วมกับหญิงกำพร้าคนหนึ่ง ซึ่งเลี้ยงชีพ ด้วยการรับจ้างตักน้ำ เหมือนกัน ในพระนครนั้น. หญิงนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 516
กล่าวกะเขาว่า นาย ในพระนครเขามีมหรสพกัน ถ้าท่านพอมีทรัพย์ อยู่บ้าง แม้เราทั้งสอง ก็จะไปเที่ยวเล่นกัน. เขาตอบว่า จ๊ะ เราพอมีทรัพย์.
มีเท่าไรนาย?
มีอยู่กึ่งมาสก
ทรัพย์นั้นอยู่ไหน?
ฉันเก็บไว้ในซอกอิฐ ใกล้ประตูทิศอุดร ที่เก็บทรัพย์ ไกลจากที่เราอยู่นี้ ๑๒ โยชน์ ก็ทรัพย์ในมือของเจ้า มีบ้างหรือ?
มีจ๊ะ.
มีเท่าไร?
มีอยู่กึ่งมาสกเหมือนกัน
ทรัพย์ของเธอกึ่งมาสก ของฉันกึ่งมาสก รวมเป็นหนึ่งมาสก เราจักเอาทรัพย์นั้น ส่วนหนึ่งซื้อดอกไม้ ส่วนหนึ่งซื้อของหอม ส่วนหนึ่งซื้อสุรา แล้วไปเที่ยวเล่นกัน ท่านจงไปนำทรัพย์ กึ่งมาสกที่เก็บไว้ มาเถิด.
บุรุษรับจ้างร่าเริงยินดีว่า ภรรยาเชื่อถือถ้อยคำของเรา จึงกล่าวว่า น้องรักเจ้าอย่าวิตกไปเลย ฉันจักนำทรัพย์นั้นมา ดังนี้ แล้วหลีกไป บุรุษรับจ้าง มีกำลังเท่าช้างสาร เดินล่วงมรรคาไปได้ ๖ โยชน์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 517
ครั้นเวลาเที่ยง เดินเหยียบทรายร้อน ราวกะว่าถ่านไฟ เขาร่าเริงยินดี เพราะอยากได้ทรัพย์ นุ่งห่มท่อนผ้ากาสาวะ ประดับใบตาลที่หู เดินขับร้องเพลง เฉื่อยเรื่อยไปผู้เดียว เดินผ่านไปทางพระลานหลวง.
พระเจ้าอุทัยราช เปิดสีหบัญชร ประทับยืนอยู่ ทอดพระเนตร เห็นบุรุษรับจ้าง เดินมาอย่างนั้น ทรงพระดำริว่า อะไรหนอที่ทำให้บุรุษนี้ ไม่ย่อท้อต่อลม และแดดเห็นปานนั้น มีความร่าเริงยินดีเดินร้องเพลงไป เราจักถามเขาดู ดังนี้ แล้วทรงส่งบุรุษไปคนหนึ่ง ให้เรียกมา. เมื่อบุรุษนั้น ไปบอกว่า พระราชาตรัสเรียกท่าน เขาตอบว่า พระราชาเป็นอะไรกับเรา เราไม่รู้จักพระราชา ดังนี้. จึงถูกนำตัวไป โดยการใช้กำลัง ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัส ถามเขา ได้ตรัสคาถา ๒ คาถา ความว่า :-
แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดารดาษไปด้วยทราย อันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคารชาตา ความว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ แผ่นดินนี้ร้อนระอุ ประดุจถ่านเพลิง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 518
บทว่า กุกฺกุฬานุคตา ความว่า ดาษไปด้วยทรายร้อน ราวกะเถ้ารึง กล่าวคือ เถ้าอันร้อนทั่วแล้ว.
บทว่า วตฺตานิ ความว่า เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงขับอยู่ได้.
บุรุษรับจ้างนั้น ได้ฟังดำรัสของพระราชาแล้ว ได้กราบทูลเป็น คาถาที่ ๓ ความว่า :-
ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ ไม่ แต่ว่าวัตถุกาม และกิเลสกาม ย่อมเผาข้า พระองค์ เพราะว่าความประสงค์หลายๆ อย่าง มีอยู่ ความประสงค์เหล่านั้น ย่อมเผาข้าพระองค์ แดดหาได้เผา ข้าพระองค์ไม่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาตปฺปา ได้แก่ วัตถุกาม และกิเลสกาม ก็วัตถุกาม และกิเลสกามเหล่านั้น ย่อมแผดเผาบุรุษ เพราะเหตุนั้น บุรุษรับจ้าง จึงเรียกวัตถุกาม และกิเลสกามเหล่านั้นว่า อาตัปปา.
บทว่า อตฺถา หิ วิวิธา ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ความประสงค์หลายอย่าง กล่าวคือ กิจการต่างๆ ที่จะต้องทำ เพราะอาศัยวัตถุกาม และกิเลสกาม ของข้าพระองค์มีอยู่ วัตถุกาม และกิเลสกามเหล่านั้น เผาข้าพระองค์ ส่วนแดด ไม่ชื่อว่า เผาข้าพระองค์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 519
ลำดับนั้น พระราชาตรัสถาม บุรุษรับจ้างว่า ความประสงค์ของเจ้า เป็นอย่างไร?
เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์อยู่ร่วมกับหญิงกำพร้า ใกล้ประตูทิศทักษิณ นางนั้นถามข้าพระองค์ว่า นาย เราจักไปดูการเล่นมหรสพ ท่านมีทรัพย์อยู่ในมือบ้างไหม? ข้าพระองค์ ได้กล่าวกะนางว่า ทรัพย์เราฝังเก็บไว้ที่ซอกกำแพง ใกล้ประตูด้านทิศอุดร นางกล่าวว่า ท่านจงไปนำทรัพย์นั้นมา เราทั้งสองจักไปดูการเล่นมหรสพ แล้วส่งข้าพระองค์มา ถ้อยคำของนางนั้น จับใจข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึง ถ้อยคำของนางนั้น ความร้อน คือกามย่อมเผา เอาความประสงค์ของข้าพระองค์ เป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ถ้าเมื่อเจ้าไม่ย่อท้อ ต่อลม และแดดเห็นปานนี้ อะไรเป็นเหตุ ให้เจ้ายินดี เดินร้องเพลง. บุรุษนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์นำทรัพย์ที่ฝังไว้นั้น มาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางนั้น ด้วยเหตุดังกราบทูลมานี้ ข้าพระองค์จึงยินดี ขับเพลงขับ. พระราชาตรัสถามว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ ก็ทรัพย์ที่ฝังเก็บไว้ ที่ประตูด้านทิศอุดร มีประมาณ แสนหนึ่งได้ไหม? เขากราบทูล ไม่มีถึงดอก พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาตรัสถาม โดยลำดับว่า ถ้าเช่นนั้น มีห้าหมื่น สี่หมื่น สามหมื่น สองหมื่น หนึ่งหมื่น ห้าพัน ห้าร้อย สี่ร้อย สามร้อย สองร้อย หนึ่งร้อย ห้า สี่ สาม สอง หนึ่งกหาปณะ ครึ่งกหาปณะ หนึ่งบาท
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 520
สี่มาสก สาม สอง หนึ่งมาสก. บุรุษรับจ้างปฏิเสธทุกขั้นตอน เมื่อพระราชาตรัสว่า ครึ่งมาสก เขากราบทูลว่า ใช่แล้ว พระเจ้าข้า ทรัพย์ของข้าพระองค์มีเพียงเท่านี้ ข้าพระองค์เดินมา ด้วยนึกในใจว่า นำทรัพย์มาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนาง ดังนี้ ด้วยปีติโสมนัสนั้น ลม และแดดนั้น จึงไม่ชื่อว่า แผดเผาข้าพระองค์.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะบุรุษนั้นว่า แน่ะ บุรุษผู้เจริญ แดดร้อนถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าไปที่นั้นเลย เราจะให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่เจ้า. เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์จักตั้งอยู่ ในพระดำรัสของพระองค์ รับเอาทรัพย์ครึ่งมาสกนั้น และจักไม่ทำทรัพย์ ที่ฝังไว้ให้เสียไป ข้าพระองค์จักไปถือเอาทรัพย์นั้น ไม่ยอมให้เสียเป้าหมาย ของการเดินทาง. พระราชาตรัสว่า แน่ะ บุรุษผู้เจริญ เจ้าจงกลับเถิด เราจักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งมาสก สองมาสก พระองค์ตรัสพระราชทานเพิ่มขึ้น โดยทำนองนี้จนถึงโกฏิ ร้อยโกฏิ และทรัพย์กำหนดนับไม่ได้ แล้วตรัสให้เขากลับเสีย เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ขอรับทรัพย์ ที่พระราชทาน แม้ทรัพย์ที่ฝังไว้ ก็จักไปเอา. ต่อจากนั้น พระราชาได้ตรัสเล้าโลม ด้วยฐานันดรมีตำแหน่งเศรษฐี เป็นต้น จนถึงจะให้ดำรงตำแหน่งอุปราช ด้วยพระดำรัสว่า เราจักได้ ท่านครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง จงกลับเสียเถิด ดังนี้ เขาจึงยินยอมรับ พระดำรัส.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 521
พระราชาทรงบังคับ อำมาตย์ทั้งหลายว่า พวกเจ้าจงไปแต่งหนวด ให้สหายของเรา แล้วให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วนำมาหาเรา. พวกอำมาตย์ ได้กระทำตามรับสั่งนั้น. พระราชาแบ่งราชสมบัติ ออกเป็นสองส่วน พระราชทาน ให้บุรุษรับจ้างนั้น ครอบครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง. บางอาจารย์กล่าวว่า ก็บุรุษรับจ้างนั้น ครองราชสมบัตินั้นแล้ว ยังไปข้าง ทิศอุดร ด้วยความรักทรัพย์ครึ่งมาสก. เหตุนั้นเขาจึงได้นามว่า อัฑฒมาสกราช.
พระเจ้าอุทัยราช กับพระเจ้าอัฑฒมาสกราช ทรงสามัคคี สนิทสนมกัน ครองราชสมบัติ วันหนึ่ง เสด็จไปพระราชอุทยาน. พระเจ้าอุทัยราช ทรงกีฬา ในพระราชอุทยานนั้น จนเหนื่อยแล้ว เอาพระเศียรพาดลง บนพระเพลา ของพระเจ้าอัฑฒมาสกราช บรรทมหลับไป. เมื่อบรรทมหลับสนิทแล้ว พวกราชบริพารก็พากันไป เล่นกีฬาในที่นั้นๆ. พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ทรงดำริว่า ประโยชน์อะไร ที่เราจะเสวยราชสมบัติ กึ่งหนึ่งอยู่เป็นนิตย์ เราจักปลงพระชนม์ พระเจ้าอุทัยราชเสียแล้ว เสวยราชสมบัติ แต่ผู้เดียวดีกว่า ดังนี้แล้ว จึงชักพระแสงดาบ ออกจากฝัก คิดจะปลงพระชนม์ พระเจ้าอุทัยราชเสีย แล้วมาหวนคิดขึ้นว่า พระราชาองค์นี้ ได้ทำเราผู้เป็นคนจน คนกำพร้า ให้มียศศักดิ์เสมอด้วยพระองค์ และตั้งเราไว้ในอิสรภาพใหญ่ยิ่ง การที่เราเกิดปรารถนาจะฆ่า ผู้ที่ให้ยศแก่เรา ถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่เราไม่สมควรทำเลย คิดดังนี้แล้ว จึงยั้งสติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 522
ได้ สอดพระแสงดาบเข้าฝัก แต่หวนคิดแล้ว คิดเล่า ถึงสองครั้ง สามครั้ง จิตคิดฆ่านั้น ยังไม่สงบลงได้. ที่นั้น จึงตั้งพระทัยสะกดจิต คิดว่า จิตดวงนี้ เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็จะพึงประกอบเรา ไว้ในกรรมลามก จึงแข็งพระทัยขว้าง พระแสงดาบไปบนพื้นดิน ปลุกพระเจ้าอุทัยราช ให้ตื่นบรรทม แล้วหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์จงงดโทษ แก่ข้าพระองค์เถิด. พระเจ้าอุทัยราชตรัสว่า ดูก่อนสหาย โทษในระหว่างท่านกับเรา ไม่มี มิใช่หรือ?
มีพระองค์ หม่อมฉันได้ทำอย่างนี้ๆ.
ถ้าเช่นนั้น เรายกโทษให้ท่าน ก็เมื่อท่านอยากได้ ครองราชสมบัติ ก็จงครองราชสมบัติเถิด ส่วนเราจักเป็นอุปราช ทำนุบำรุงท่าน.
พระเจ้าอัฑฒมาสกราช กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์ ไม่ต้องการราชสมบัติ เพราะตัณหานี้ จักให้ข้าพระองค์ ไปเกิดในอบาย พระองค์จงครอบครอง ราชสมบัติของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวเถิด ข้าพระองค์จักขอลาบวช มูลรากแห่งกามคุณ ข้าพระองค์เห็นแล้ว ความจริงกามคุณนี้ เจริญแก่ผู้ดำริอยู่บัดนี้ แต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ดำริถึง อีกเลย ดังนี้ เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงตรัสคาถาที่ ๔ ความว่า :-
ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 523
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ความว่า เจ้าจักไม่มี ในภายในของเรา ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า น โหหิสิ ความว่า เจ้าจักไม่เกิดขึ้น. ก็แหละ ครั้นตรัสดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชน ผู้ประกอบในกามต่อไป จึงตรัสคาถาที่ ๕ ความว่า :-
กาม แม้น้อยก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชน ย่อมไม่อิ่มด้วยกาม แม้มาก น่าสลดใจที่พวกคนพาล พากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านั้น จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหหา เป็นบทแสดงถึงความสลดใจ. บทว่า ชคฺคโต แปลว่า ผู้เพียรเจริญอยู่.
ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า วัตถุกาม และกิเลสกาม แม้น้อย ก็ไม่พอเพียงสำหรับมหาชนนี้ มหาชนย่อมไม่อิ่ม ด้วยวัตถุกาม และกิเลสกามแม้มาก น่าสลดใจ ที่พวกคนพาล พากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้หมั่นประกอบความเพียร เจริญโพธิปักขิยธรรม ยังวิปัสสนาให้เจริญแล้ว พึงรู้แจ้งแทงตลอดได้ คือ รู้แจ้ง ได้ด้วยการกำหนดรู้ การละ และการตรัสรู้ แล้วละได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 524
พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ครั้นแสดงธรรมแก่มหาชน อย่างนี้แล้ว ให้พระเจ้าอุทัยราชทรงปกครองราชสมบัติ ละมหาชน ผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้อยู่ เข้าหิมวันตประเทศ บวชแล้วยังฌาน และอภิญญาให้เกิด. เมื่อพระเจ้าอัฑฒมาสกราช บวชแล้ว พระเจ้าอุทัยราช เมื่อจะเปล่งอุทาน ให้ครบกระบวนถ้วนความ จึงตรัสคาถาที่ ๖ ความว่า :-
การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราช ถึงความเป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรม มีประมาณน้อย ของเรา มาณพใด ละกามราคะ ออกบวชแล้ว มาณพนั้น ชื่อว่า ได้ลาภดีแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทโย พระเจ้าอุทัยราช ตรัสหมายถึง พระองค์เอง. บทว่า มหตฺตปตฺตํ ความว่า ถึงความเป็นใหญ่ ได้แก่ บรรลุถึง ซึ่งอิสสริยยศอันไพบูลย์. บทว่า มาณวสฺส ความว่า ชื่อว่า เป็นลาภ อันมาณพผู้เป็นสหายของเรา ผู้ข้องอยู่ ได้ดีแล้ว. พระเจ้าอุทัยราช ตรัสไว้ โดยมีความมุ่งหมายว่า มานพใด ละกามราคะ ออกบวชแล้ว ดังนี้เท่านั้น.
ก็เนื้อความของคาถานี้ ไม่มีใครรู้. อยู่มาวันหนึ่ง พระอัครมเหสี ทูลถามเนื้อความ ของพระคาถากะพระราชา. ก็พระราชา มีนายช่างกัลบก คนหนึ่ง ชื่อ คังคมาล. นายคังคมาลนั้น เมื่อจะแต่งพระมัสสุ พระราชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 525
ได้ทำบริกรรม ด้วยมีดโกนก่อน แล้วจึงถอนพระโลมา ด้วยแหนบภายหลัง. เวลาที่บริกรรมด้วยมีดโกน พระราชาทรงมีความสุข เวลาที่ถอนพระโลมา พระราชาทรงมีความทุกข์. นายช่างกัลบกนั้น ประสงค์จะให้พระราชา พระราชทานพรก่อน และหวังว่า จะปลงพระศก บนพระเศียร ต่อภายหลัง.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาได้ตรัสบอก ความเรื่องนั้นแก่ พระราชเทวีว่า น้องรัก นายมงคลกัลบกของเราเป็นคนโง่ เมื่อพระราชเทวี ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ นายมงคลกัลบกทำอย่างไร จึงจะควร ตรัสว่า ควรจะถอนเส้นโลมาก่อน แล้วจึงทำบริกรรม ด้วยมีดโกน ต่อภายหลัง. พระราชเทวีให้เรียก นายช่างกัลบก มาตรัสว่า คราวนี้ เมื่อถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุ ถวายพระราชา ท่านพึงถอนเส้นพระโลมาก่อน แล้วทำบริกรรม ด้วยมีดโกนต่อภายหลัง เมื่อพระราชา ทรงประทานพรให้ท่าน พึงกราบทูลว่า ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์จงบอกเนื้อความแห่ง อุทานคาถาของพระองค์ เราจักให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่ท่าน. นายช่างกัลบก รับพระเสาวนีว่า ดีแล้ว ครั้นถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุ ได้หยิบแหนบก่อน เมื่อพระราชาตรัสถามว่า แน่ะคังคมาล ทำไมเจ้าจึงไม่ กระทำเหมือนครั้งก่อนๆ เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ธรรมดาช่างกัลบก ย่อมทำแม้สิ่งที่ไม่เคยทำ ทูลแล้วก็ถอนพระโลมาก่อน แล้วทำบริกรรม ด้วยมีดโกน ในภายหลัง. พระราชาตรัสว่า เจ้าจงรับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 526
พร. ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการอย่างอื่น. ขอพระองค์ จงตรัสบอกเนื้อความ ของอุทานคาถา. พระราชาทรงละอายพระทัย ที่จะตรัสบอก เรื่องที่พระองค์เป็นคนยากจน จึงตรัสว่า เจ้าจะต้องการพร ข้อนี้ทำไม จงรับพรอย่างอื่นเถิด. ช่างกัลบก กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงประทานพรข้อนี้ แก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า. พระราชาทรงกลัว มุสาวาทกรรม จึงทรงรับคำ แล้วรับสั่งให้จัดแจง ตกแต่งสิ่งทั้งปวง ตามนัยที่กล่าวแล้ว ในกุมมาสปิณฑชาดก ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ ตรัสเล่า ปุริมกิริยาทั้งปวงว่า ดูก่อนคังคมาละ ในภพก่อน เราเกิดเป็นคนจนที่เมืองนี้ มีศรัทรารักษาศีลครึ่งวัน จุติจากอัตตภาพนั้น ได้มาเกิด ในตระกูลกษัตริย์ ชื่อว่า อุทัยราช ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าว ครึ่งคาถาข้างต้น ครั้นสหายของเรา ละกามราคะไปบวชแล้ว เราเป็นคนประมาท หลงครองราชาสมบัติอยู่นี่เอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าว ครึ่งคาถาข้างท้าย พระราชาตรัสบอก เนื้อความแห่งอุทาน ด้วยประการ ฉะนี้.
ช่างกัลบก ฟังเรื่องราวนั้นแล้ว คิดว่า ได้ยินว่า พระราชาได้ราชสมบัตินี้ ด้วยการรักษาอุโบสถกึ่งวัน ขึ้นชื่อว่า กุศลอันบุคคลควรทำ ถ้ากระไร เราพึงบวช สร้างที่พึ่งของตนเถิด คิดแล้วก็ละวงศ์ญาติ และโภคสมบัติ ขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตบรรพชา แล้วไปหิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษี ยกไตรลักษณ์ขึ้น เจริญวิปัสสนา ก็สำเร็จ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 527
ปัจเจกโพธิญาณ ครองบาตรจีวร ที่เกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ จำพรรษาที่ภูเขาคันธมาทน์ ๕ พรรษา คิดว่า จักเยี่ยมพระเจ้าพาราณสี จึงเหาะมา นั่งอยู่บนมงคลศิลา ในมงคลราชอุทยาน. คนเหล่าพระราชอุทยานจำได้ จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นายช่างกัลบกคังคาลมาล เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เหาะมานั่งอยู่ในมงคลราชอุทยาน. พระราชาทรงสดับแล้ว รีบเสด็จออกมา ด้วยหวังว่า จักไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า. พระราชชนนี ก็เสด็จออกไปพร้อมกับพระราชา. พระราชาเสด็จเข้าสู่ พระราชอุทยาน ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พร้อมด้วยบริษัท. พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อจะทำปฏิสันถาร กับพระราชา ได้เรียกพระราชา ตามนามสกุลว่า ดูก่อนพรหมทัต พระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท ครองราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญบุญ มีให้ทาน เป็นต้นอยู่หรือ ดังนี้แล้ว ทำปฏิสันถาร. พระราชชนนีได้สดับ ดังนั้น ทรงพระพิโรธว่า คังคมาลนี้ มีชาติเป็นคนเลว ลามก เป็นลูกช่างกัลบก ไม่รู้จักประมาณตน เรียกโอรสของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นกษัตริย์โดยชาติ โดยชื่อว่า พรหมทัต ดังนี้ จึงตรัส คาถาที่ ๗ ความว่า :-
สัตว์ทั้งหลาย ย่อมละกรรมชั่ว ด้วยตบะ แต่สัตว์เหล่านั้น จะละความเป็นคน ผู้ใช้หม้อ ตักน้ำให้เขาอาบได้หรือ แน่ะ คังคมาละ การที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 528
ท่านข่มขี่ด้วยตบะ แล้วร้องเรียกโอรสของเรา โดยชื่อว่า พรหมทัต ในวันนี้นั้น ไม่เป็นการ สมควรเลย.
คาถานั้น มีอธิบายดังนี้ พระราชชนนีตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมละบาปกรรมได้ ด้วยตบะ คือ ตบะคุณที่ตนสร้างสมไว้ แต่ตบะเหล่านั้น จะละความเป็นผู้ใช้หม้อตักน้ำ ให้เขาอาบได้ด้วยหรือ แน่ะ คังคมาละ การที่ท่านใช้ตบะของตน ข่มขี่ เรียกโอรสของเรา โดยชื่อว่า พรหมทัต ในวันนี้นั้น เป็นการไม่สมควรเลย.
พระราชาตรัสห้ามพระชนนีแล้ว เมื่อจะประกาศคุณ ของพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงตรัสคาถาที่ ๘ ความว่า :-
ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลาย พร้อมทั้งพระราชา และอำมาตย์ พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เป็นผู้อันชนทั้งปวงไหว้แล้ว เชิญเสด็จแม่ทอดพระเนตร ดูผลแห่งขันติ และโสรัจจะ ในปัจจุบันเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนฺติโสรจฺจสฺส ได้แก่ อธิวาสนขันติ และโสรัจจะ. บทว่า ตํ วนฺทาม ความว่า ข้าแต่เสด็จแม่ บัดนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 529
เราทั้งหลาย ทั้งพระราชา ทั้งอำมาตย์ ทุกถ้วนหน้า พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า ขอเสด็จแม่ จงทรงเห็นผลแห่งขันติ และโสรัจจะเถิด.
เมื่อพระราชาตรัสห้าม พระราชชนนีแล้ว มหาชนที่เหลือพากัน ลุกขึ้นกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้สมมติเทพ การที่คนต่ำช้า เห็นปานนี้ เรียกพระองค์ โดยชื่อ ไม่สมควรแก่พระองค์เลย. พระราชา ทรงห้ามมหาชนแล้ว เพื่อจะแสดงคุณ ของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จึงตรัสคาถา สุดท้าย ความว่า :-
ท่านทั้งหลาย อย่าได้กล่าวอะไรๆ กะ ท่านคังคมาละ ผู้เป็นพระปัจเจกมุนี ศึกษาอยู่ในคลองมุนี ความจริง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ข้ามแล้ว หมดความเศร้าโศก เที่ยวไป.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุนินํ ได้แก่ อาคาริกมุนี อานาคาริกมุนี เสขมุนี อเสขมุนี และพระปัจเจกมุนี. บทว่า โมนปเถสุ สิกฺขมานํ ความว่า ผู้ศึกษาอยู่ในคลองมุนี กล่าวคือ โพธิปักขิยธรรม เพราะเป็นข้อปฏิบัติ อันเป็นบุรพภาค. บทว่า อณฺณวํ ได้แก่ สมุทร คือ สงสาร. พระราชาครั้นตรัสดังนี้แล้ว ได้ถวายนมัสการพระปัจเจก-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 530
พุทธเจ้า ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้า ได้โปรดอดโทษแก่ พระราชชนนีด้วยเถิด.
พระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวว่า ถวายพระพรมหาบพิตร อาตมา อดโทษให้.
แม้พวกราชบริษัท ก็พากันขอขมาโทษ พระปัจเจกพุทธเจ้า. พระราชา ขอปฏิญญาพระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อให้อยู่กับพระองค์ต่อไป. พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ได้ถวายปฏิญญา เมื่อบริษัทพร้อมด้วยพระราชา กำลังแลดูอยู่ นั่นเอง ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ ถวายโอวาท แด่พระราชา แล้วเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อน อุบาสกทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า การอยู่รักษาอุโบสถ เป็นกิจที่บุคคลควรอยู่รักษา ด้วยประการ ฉะนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ในครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ได้มาเป็น พระอานนท์ พระราชชนนี ได้มาเป็น พระมหามายา พระอัครมเหสี ได้มาเป็น มารดาพระราหุล ส่วนพระเจ้าอุทัยราช ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา คังคมาลชาดกที่ ๕