วันนี้วันที่ 1 ธ.ค. 56 ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความกังวลใจว่า คืนที่ผ่านมาจะมีคนบาดเจ็บล้มตายไปมากน้อยเท่าไร จึงตรวจสอบข่าวจากไลน์ที่กลุ่มเพื่อนๆ ส่งมาหลายกลุ่ม เกิด
ความรู้สึกเหมือนเมื่อมี ๔ ปีก่อน จึงคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ถ้านำเรื่องเก่ามาตั้งเป็นกระทู้อีกครั้ง
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 52 ดูทีวีเห็นภาพคนเสื้อแดงวิ่งไล่ทุบกระจกรถนายกอภิสิทธิ์ ที่กระทรวงมหาดไทย ด้วยความโกรธแค้น เห็นแล้วโทสะเดือดพลุ่งราวกับน้ำร้อนเดือด หัวใจบีบหดตัวจนรู้สึกอึดอัด เข้าใจคำว่า ใจหดหู่ เป็นอย่างนี้เอง จึงปิดทีวี เพราะเกรงจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นทั้งความดันโลหิตสูงและไขมันในเส้นเลือดสูง กลัวจุติจิตจะเกิดตอนมีโทสะ และมาพิมพ์คำบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนา ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย แต่ใจก็ไม่ผ่องใสเช่นเคย ทำให้นึกถึงคำบรรยายของท่านอาจารย์ตอนหนึ่งว่า เหตุการณ์ในชีวิตทำให้รู้ว่า เคยสะสมการเจริญสติปัฏฐานมาในอดีตชาติหรือไม่ ถ้าเคยสะสมมาก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดโยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย ที่จะให้เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใดก็ตาม ทำให้รู้ว่าตนเองคงไม่เคยเจริญสติปัฏฐานมาก่อนโยนิโสมนสิการจึงไม่เกิด ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังธรรมมามากพอสมควร เช่น ถ้ามีกัมมัสสกตาปัญญาจริง เชื่อว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม ใครทำกรรมใดว่า ไม่ว่าดีหรือชั่ว ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น ก็จะไม่เกิดโทสะรุนแรงอย่างนั้น เพราะรู้ว่า คนมีเวรย่อมประหัตประหารกัน จนกว่าจะหมดเวรกันไปเป็นธรรมดา หรือประจักษ์ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่คงที่อยู่อย่างนี้เกิดแล้วก็ดับไป หรือเรื่องพระญาติของพระผู้มีพระภาคที่ทรงสู้รบกัน แม้พระองค์จะทรงห้ามถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่สำเร็จ เพราะเป็นผู้มีเวรต่อกัน แล้วเราเป็นใคร แค่อยากให้เขาหยุดทะเลาะกันเท่านั้น จะทำให้เขาหยุดทันใจได้อย่างไร
แต่ความรู้ที่ว่านี้ ก็เป็นเพียงขั้นจำ ไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง จึงยังไม่สามารถทำให้เห็น ความธรรมดาของสภาพธรรมทั้งหมดได้ ท่านผู้ใดมีเกิดโยนิโสมนสิการประการใด กรุณา
ช่วยบอกด้วยค่ะ และในวันนี้ ที่ ๑ ธ.ค. ๕๖ เหตุการณ์เหล่านั้นในวันก่อนๆ ก็ผ่านไปหมดแล้ว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเมื่อคิดถึงเท่านั้นเอง เช่นเดียวกับทุกเหตุการณ์ที่เกิดมาแล้ว กำลังเกิด และกำลังจะเกิดต่อไป ซึ่งจะไม่เป็นสาระเลย ถ้ายังไม่รู้เลยว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกซ้ำอีกเลย ผ่านไปกว่า ๔ ปี ก็ยังเป็นความเข้าใจขั้นจำได้อย่างไม่ค่อยมั่นคงเหมือนเดิม ทำให้เห็นความยากและลึกซึ้งของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันยิ่งกว่าจะเข้าถึงได้คงต้องสะสมปัญญาขั้นฟังไปอีกนานแสนนาน
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เพียรสอนซ้ำๆ บ่อยๆ เนืองๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ แม้ฟังมาแล้วบ่อยๆ เนืองๆ แต่ก็ลืมบ่อยๆ เนืองๆ เช่นกันค่ะ
" ... ทุกคนมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม ใครทำกรรมใด ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ต้องรับผลของกรรมนั้น ..."
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาสาธุที่พี่กาญจนารู้ตัวเองคะ และเป็นโชคดีที่พี่มีความสามารถจดจำคำสอนของท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นอย่างดีคะ พระธรรมที่สะสมขั้นปริยัติ ความเข้าใจลักษณะของปฏิบัติจะทำให้เข้าถึงการแทงตลอดสภาพสามัญญลักษณะของนามและรูป ตามความเป็นจริง (ปฏิเวธ) ด้วยปัญญาเจตสิก ไม่ต้องกังวลใจเลยคะ สาธุค่า
ขออนุโมทนาครับ