เพราะซึมซาบจึงซาบซึ้ง ในรสพระธรรม (เบื้องต้น)
โดย รากไม้  12 ม.ค. 2553
หัวข้อหมายเลข 15094

ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้เข้ามาโพสข้อความในเวปไซต์นี้ เพราะผมไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากวินาทีนี้

เมื่อมีโอกาสแล้ว จึงต้องรีบมาขอกราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และทุกท่านที่มีส่วนร่วมแม้เพียงเล็กน้อย ที่ได้ร่วมกันทำให้การเผยแพร่พระธรรม ได้เกิดขึ้นดำเนินมาถึงทุกวันนี้

ผมได้เริ่มฟังธรรมะ จากบ้านธัมมะ เริ่มแรก จากรายการทีวี ช่อง NBT โดยฟังอยู่ 2 ครั้ง ด้วยความสนใจ หลังจากนั้นจึงได้มาหาข้อมูลต่อในอินเตอร์เน็ต จึงได้พบเวปไซต์นี้ ซึ่งทำให้ผมมีโอกาสต่อยอดความรู้ในธรรมะ อีกมากมาย จากคลิปเสียงและข้อความบรรยายธรรม และกระทู้ธรรมต่างๆ

ก่อนหน้านี้ ผมเคยปฏิบัติธรรมและศึกษาพระธรรมมาพอสมควร ตั้งแต่อยู่ ม.1 ม.2 (ราวๆ ปี 2530) เรื่อยมา มีตั้งแต่ การนั่งสมาธิเจริญวิปัสนาบ้าง นั่งสมาธิเจริญสติปัฏฐานบ้าง เดินจงกลมบ้าง อ่านหนังสือธรรมะต่างๆ บ้าง ทั้งของท่านพุทธทาส คำสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตฯ และของพระอาจารย์ชื่อดังต่างๆ อีกมากมาย หนังสือนิกายเซ็น และรวมทั้งของนิกายธรรมกายด้วย โดยทั้งหมดนั้น จะว่าไป ก็เป็นเพียงความเข้าใจในระดับพื้นฐาน เมื่อเทียบกับความเข้าใจในธรรมะ ที่ได้จากเวปไซต์นี้

...แต่จะว่าไปก็ไม่ได้จะกล่าวว่าวิธีการสอนของสำนักไหนที่ไม่ดี อาจเป็นเพราะผมยังศึกษาน้อยไป จึงทำให้ไม่สามารถทำให้เข้าถึงแก่นของพระธรรมของสำนักนั้นๆ พยายามสอนได้ ....ถึงแม้จะรู้สึกประทับใจในคำสอนเหล่านั้น ในหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะกัณฐ์เปิดโลกของสมเด็จพระพุฒจารย์โตฯ (ตอนนั้นรู้สึกถึงความโล่ง สว่าง สงบ ว่างเปล่า) แต่ก็คงอยู่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพราะว่า ยังไม่เกิดความลึกซึ้งในรสพระธรรมจริงๆ จึงไม่ได้นำมาขยายผลต่อได้จนถึงขั้นที่ปล่อยวางในทุกๆ เรื่องในชีวิตประจำวันได้ หนำซ้ำยังหยุดศึกษาพระธรรมไปช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงนานมาก (เพราะมัววุ่นวายอยู่กับการทำงาน) เพราะว่า เกิดความรู้สึกว่า เราจำเป็นต้องทำงานมากกว่า เราศึกษาเพียงพอแล้วต่อการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และส่วนใหญ่มักจะเจอแต่สำนักที่เอาพิธีกรรมเข้ามาปะปนมากเกินไป จนแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นแก่นธรรมะ อันไหนเป็นอุบาย อันไหนเป็นแนวคิด-ปรัชญา อันไหนเป็นความคิดเห็น หนำซ้ำบางแห่งก็หนักถึงขึ้นติดในวัตถุนิยมไปเลยก็มี

เพราะโดยส่วนตัวผมแล้ว ผมไม่ยึดติดกับวัตถุ เครื่องรางของขลัง ปาฏิหารย์ อำนาจอำนวยพรต่างๆ และพิธีักรรมต่างๆ จึงพึงพอใจกับสำนักที่ให้ความรู้ที่เป็นธรรมะเพียวๆ จริงๆ สำนักที่ไม่มีความยึดติดใดๆ เลยเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะธรรมะเป็นของสูงส่งยิ่งนัก เป็นของยาก การที่จะเอาสิ่งนี้มาสอนกันแบบผิดๆ บิดเบือน อาจทำให้หลงทางได้ง่ายมาก

หลังจากที่ได้เจอเวปนี้ ผมได้ฟังคลิปเสียงอยู่เกือบเดือน ฟังทุกวัน อ่านทุกวัน วันละหลายชั่วโมง จนเข้าใจในเบื้องต้นแล้ว ถึง รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก และภาพรวมของ ปรมัตธรรม ที่อาจารย์สุจินต์ได้ตั้งใจสอน และถ่ายทอดเป็นธรรมทาน ...ถึงแม้ว่า ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้ฟัง ไม่ได้อ่าน เพราะว่ามีเยอะมาก เยอะจริงๆ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานโข กว่าจะค่อยๆ ศึกษาไปจนเข้าใจได้หมด ตามเจตนาของท่าอาจารย์สุจินต์ เพราะวันนี้ ผมรู้สึกถึงการได้ "เริ่มต้น" อย่างแท้จริง ในการศึกษาธรรมะ เพราะเพิ่งจะได้รู้สึก ถึงความ "เข้าใจจริงๆ " จากการที่ได้ฟังบรรยายเรื่อง รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป การเกิด-ดับ การสืบต่อของกรรม ฯลฯ

...ถ้าจะเปรียบก็คือ ตอนนี้ผมเหมือนอยู่ในขั้น อนุบาลธรรมะ แล้วครับ ถึงแม้ว่าหลักสูตรการสอนของอาจารย์ จะฟังดูงงๆ ไปบ้าง เช่นเอาความรู้ มัธยม มาแทรกสอนเด็กอนุบาล แต่นั่นผมก็ขอน้อมรับด้วยความเคารพ และขอนับว่าเป็นสิ่งที่ดีไปซะทั้งหมดก็แล้วกันครับ

อาจจะพูดยาวไปซักนิด ต้องขออภัย แต่ขอต่ออีกหน่อยก็แล้วกันนะครับ ...กล่าวโดยสรุป ก็คือว่า ผมศึกษาธรรมะมา 20 กว่าปี ก็เพิ่งจะมาเข้าใจธรรมะเบื้องต้นจริงๆ ในวันนี้ ดังนั้น จึงขอเรียนย้ำกับทุกๆ ท่านว่า การที่จะศึกษาธรรมะ ต้องอาศัียเวลา ความอดทน และรอวันให้กรรมส่งผลจริงๆ (เพราะถ้าหากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมได้อ่านคำสอนของท่านอาจารย์สุจินต์ ก็อาจจะไม่เข้าใจ หรืออาจจะเคยอ่านผ่านตามาแล้วก็ได้ แต่ด้วยความไม่เข้าใจ จึงได้เลยผ่านไป ไม่สนใจที่จะอ่านต่อ) ซึ่งนั่นก็อาจจะหมายถึง ผมมีความรู้ในธรรมะเดิมที่เคยศึกษา และมีประสบการณ์ในชีวิตที่สั่งสมมา ประกอบเข้ากันไปด้วย หลายๆ ส่วน จึงได้มีความเข้าใจในวันนี้ได้ (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เคยเข้าใจว่า ตนเองเข้าใจธรรมะแล้ว) ธรรมะยิ่งศึกษาทุกวัน ก็จะยิ่งรู้มากขึ้นทุกวัน แต่ต้องไม่ไปสนใจ ว่าวันไหนเราจะได้อะไรเพิ่ม

....แล้ววันนี้ ก็ได้เห็นถึงวิธีการปล่อยวาง แม้จะไม่บ่อยและไม่แจ่มแจ้งชัดเจนนักในการที่ ได้เห็นกิเลสเป็นตัวๆ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกจากจิต ได้เห็นสภาวะจิต สภาวธรรม ที่เกิดดับเร็วปานกระแสไฟฟ้าที่วิ่งอยู่ทั่วทุกเซลล์ในร่างกาย (จริงๆ แล้วยังไม่เห็น เพราะมันเร็วมาก เรามองไม่เห็นหรอก เพียงแต่นึกคิดเอาว่ามันเร็ว) ณ. วันนี้ ผมได้สัมผัสกับ "รสพระธรรม" แม้เพียงในขั้นปฐมบท แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมมีกำลังใจอย่างมากมาย ที่ีจะเจริญสติปัฏฐาน ให้ก้าวหน้าสืบไป ตลอดชีวิต เพราะผมมั่นใจว่า เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ และขอเป็นกำลังใจให้กับ พุทธศาสนิกชนทุกท่าน ที่ให้ความเคารพในพุทธรรมที่ทรงแสดง แล้วสนใจเข้ามาไขว่คว้าศึกษาธรรมะ (ที่เป็นจริง และมีอยู่จริงๆ ) นี้ให้เกิดผลคือปัญญาที่แท้จริง

...นับเป็นมงคลแก่ชีวิต อย่างแท้จริง จะเกิดคุณประโยชน์มากมายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง ไม่รู้ว่า ต่อไปจะได้มีเวลาศึกษาอีกไหม อีกมากแค่ไหน เพราะต้องทำงานในกิจการส่วนตัว แ่ต่ก็จะไม่ทิ้งและตั้งใจทั้งๆ ที่อาจไปได้ไม่ไกลนัก เพราะเข้าใจว่า ถ้าหากจะไปให้ไกลจริงๆ ถึงขั้นสอนใครๆ ได้ด้วย ก็น่าจะต้องศึกษาพระไตรปิฎกด้วย แล้วอาจถึงขั้นต้องบวชเป็นพระ (เพราะพระไม่ได้มีกิจกรรมประจำวันที่วุ่นวายเหมือนฆารวาส ไม่ได้มีกระแสกิเลสมารุมเร้าบีบคั้นมากเท่าฆารวาส และมีเวลาสำหรับศึกษาจริงจัง) แต่ก็จะมุ่งมั่นกลั่นปัญญาด้วยการศึกษาพระธรรมทุกครั้งที่มีเวลา ต่อไปเรื่อยๆ ครับ ให้สมกับความทุ่มเทสุดๆ ของท่านอาจารย์สุจินต์ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ที่ผ่านมา

ขอกราบขอบพระคุณ และขอกราบอนุโมทนา

ด้วยความเคารพ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อีกครั้ง



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 15 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 15 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย WS202398  วันที่ 15 ม.ค. 2553
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 4    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 15 ม.ค. 2553

"...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ ดังนี้ว่า ภิกษุใดผู้มีมิตรดี มีความยำเกรง ความเคารพ กระทำตามคำของมิตรดีทั้งหลาย มีสติสัมปชัญญะ ภิกษุนั้น พึงบรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวง โดยลำดับ..."

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย วิริยะ  วันที่ 15 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย hadezz  วันที่ 16 ม.ค. 2553

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย pannipa.v  วันที่ 17 ม.ค. 2553

[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 219

ขณะ และ สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์มีประการเดียวแล ดังนี้พึงทราบว่าเป็นขณะหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง จักร (การถึงพร้อม) ๔ คือ ปฏิรูปเทสวาโส (การอยู่ในประเทศที่สมควร) สปฺปุริสูปนิสฺสโย (การคบสัตบุรุษ) อตฺตสมฺมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบ) ปุพฺเพกตปุญฺตา (ความเป็นผู้มีบุญทำไว้ก่อน) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในบาลีนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักร ๔ ประการนี้เป็นเครื่องดำเนินไปของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบแล้ว ดังนี้ พึงทราบว่าเป็นขณะ ด้วยอรรถว่าเป็นโอกาสรวมจักร ๔ เหล่านั้นเป็นอันเดียวกัน ด้วยว่าจักร ๔ เหล่านั้นเป็นโอกาสในการยังกุศลให้เกิดขึ้น

ขออนุโมทนาค่ะ



ความคิดเห็น 8    โดย Pinyapachaya  วันที่ 17 ม.ค. 2553

สาธุ อ่านแล้วปลื้มใจจังค่ะ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 9    โดย oom  วันที่ 20 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาด้วยค่ะ ดิฉันก็เคยเป็นแบบที่คุณรากไม้บรรยายมาเหมือนกัน จนได้มาฟังธรรมที่มูลนิธิประมาณ 1 ปีกว่าๆ ทำให้เข้าใจธรรมะอันลึกซึ้ง ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ เป็นผู้นำมาถ่ายทอดให้ฟัง จึงได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น


ความคิดเห็น 10    โดย WS202398  วันที่ 20 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย wannee.s  วันที่ 20 ม.ค. 2553

กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย รากไม้  วันที่ 26 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนา ดวงจิตผู้ใฝ่ธรรมทุกดวงครับ

พระธรรม เป็นสิ่งวิเศษจริงๆ ถ้าไม่ตั้งใจศึกษาอย่างไม่ลดละ และปฏิบัติอย่างถูกวิธีถูกทาง ก็จะไม่มีวันเข้าใจใน พระธรรม ได้เลย


ความคิดเห็น 13    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 26 ม.ค. 2553

"เพราะวันนี้ ผมรู้สึกถึงการได้ "เริ่มต้น" อย่างแท้จริง ในการศึกษาธรรมะ กล่าวโดยสรุป ก็คือว่า ผมศึกษาธรรมะมา 20 กว่าปี ก็เพิ่งจะมาเข้าใจธรรมะเบื้องต้นจริงๆ ในวันนี้" ขอให้มั่นคงในหนทางนี้ต่อไปนะคะ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 14    โดย รากไม้  วันที่ 27 ม.ค. 2553

ก็สมัยนั้น มีแต่ธรรมกาย สันติอโศก อะไรพวกนั้นน่ะครับ จึงทำให้ผมไม่มีศรัทธา เพราะ.....!!? ไม่ขอกล่าวนะครับ

ทำให้หยุดศึกษาพระธรรมเพิ่มเติม ไปนานมาก ก็ประมาณ 18 ปี จนได้มาเจอบ้านธัมมะ เมื่อไม่นานมานี้เองครับ ราวๆ ต้นเดือน ธันวา 52


ความคิดเห็น 15    โดย oom  วันที่ 28 ม.ค. 2553

ตอนก่อน ที่ไปปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆ นั้นก็มีความรู้สึก ว่าเราได้ไปเจริญวิปัสสนา ก็จะหาโอกาสไปปฏิบัติทุกปีๆ ละ 1 ครั้ง ทำอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีความรู้สึกว่า กิเลสเราไม่ได้ลดลงเลย มีแต่โลภะ ที่อยากได้ความสุข ความสงบ และมีโทสะเหมือนเดิม เรื่องนิพพานนั้นเข้าใจตามตัวหนังสือ ว่านิพพานคือ ความสงบเย็น ความว่าง ถ้าจะไปนิพพานต้องสร้างกุศลมากๆ รู้เพียงเท่านั้น แต่ไม่รู้ความจริงของธรรมะ พอได้มาศึกษาได้ฟังธรรม จึงค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ ปัจจุบันดิฉันก็ได้ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่ต้องไปเข้าห้องกรรมฐานเหมือนแต่ก่อน รู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น เพราะ

เข้าใจธรรม จึงขอให้ทุกคนอย่าทิ้งการฟังธรรม


ความคิดเห็น 16    โดย Sam  วันที่ 28 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 17    โดย รากไม้  วันที่ 30 ม.ค. 2553

เมื่อก่อน ผมก็บ้านั่งสมาธิเหมือนกันครับ ขนาดว่านั่งสมาธิข้ามปีอะไรอย่างนั้นด้วย (ข้ามคืนวันที่ 31 ธันวา) แต่ก็ได้นะ การที่เรานั่งสมาธิ ก็ได้จิตสงบ ...แต่ผมว่า เดินจงกลมออกจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะเป็นสมาธิที่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ก็ต้องปฏิบัติธรรมไปทุกวันครับ ทำดีทุกอย่างให้เป็นนิสัย ให้เป็นความเคยชิน จึงจะใช้ได้นะครับ ...ถือศีลจนไม่รู้สึกว่าเราถือศีลอยู่เลย แต่จริงๆ แล้วเรามีศีลอยู่ครบตลอดเวลา ต้องประมาณนี้นะครับ จึงจะใช้ได้

ขออนุโมทนา ดวงจิตผู้ใฝ่ธรรมะ


ความคิดเห็น 18    โดย paderm  วันที่ 30 ม.ค. 2553

เรียน ความเห็นที่ 17

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ

การจงกรม การนั่ง

ผสมวิธีปฏิบัติต่างๆ มีประโยชน์อะไร เกิดความรู้อะไร

การปฏิบัติวิปัสสนากัมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔

เรื่องการปฏิบัติธรรม


ความคิดเห็น 19    โดย สามารถ  วันที่ 30 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 20    โดย คุณ  วันที่ 11 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 21    โดย chatchai.k  วันที่ 26 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 22    โดย อย่าหยิ่งผยอง  วันที่ 6 พ.ค. 2567

ขออนุโมทนา สาธุกับทุกๆ ท่านค่ะ