ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ มีท่านผู้หนึ่ง ท่านกำลังฟังพระธรรม ซึ่งแต่ก่อนนี้ท่านไม่ได้ฟัง เพราะว่าไม่ได้เห็นประโยชน์ แต่ว่าเรี่มฟังแล้วก็เรี่มเห็นประโยชน์ แล้วก็ฟังด้วยความเคารพและ ฟังด้วยการพิจารณา เมื่อเรี่มเข้าใจขึ้น ท่านก็รู้จักตัวท่านเองตามความเป็นจริง ว่าท่านเองเพียงแต่เรีมเข้าใจ แต่ว่ายังปฏิบัติไม่เป็น คือยังเจริญสติปัฏฐานไม่เป็น ซึ่งนั่น เป็นสี่งที่ตรงและถูกต้อง เพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่ ผู้ที่ยังไม่มีหิริโอตตัปปะ ที่จะเห็นความน่ารังเกียจ น่าละอายของอวิชชา ความไม่รู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่เกิดดับในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง ก็ย่อมจะไม่เกิดการ ที่จะระลึกลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อจะศึกษาให้ประจักษ์แจ้ง ในลักษณะที่ไม่เที่ยง ที่เกิดดับของนามธรรม และ รูปธรรม ในขณะนี้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามีใครพยายาม ต้องไปกระตุ้นหรือไปฝืน หรือว่าไปเร่งรัดท่านผู้นั้นเพียงแต่ว่าท่านผู้นั้น ต้องฟังต่อไปอีกเท่านั้นเอง จนกว่ากุศลธรรม หิริ โอตตัปปะ สัทธา สติ จะเจริญขึ้น ในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งเห็นประโยชน์ แล้วรู้ว่า สี่งที่ได้ฟังนั้น ควรที่จะได้ประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เพียงแต่ขั้นเข้าใจ เท่านั้น
อย่างในเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนขั้นความเข้าใจ ไม่มีข้อสงสัยเลย ยีงฟังเรื่องของจิตแต่ละประเภท เจตสิกแต่ละประเภท รูปแต่ละประเภท ซึ่งเป็นสังขารธรรม มีปัจจัยก็เกิดขึ้น ก็เข้าใจ แต่ว่ายังไม่ได้ถึงขั้นที่จะรู้ลักษณะของ นามธรรม และ รูปธรรมนั้นๆ เพราะว่าเพียงเข้าใจ เมื่อมี ความเข้าใจชัดเจนขึ้น ก็ยี่งรู้ว่าไม่ควรที่จะปล่อยให้เป็นเพียงความเข้าใจขั้นปริยัติหรือขั้นฟังเท่านั้น แต่ควรที่จะได้อบรมเจริญปัญญา ถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตรงกับที่ได้เข้าใจแล้วด้วย
นี่ก็เป็น หิริ โอตตัปปะ อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ว่าเร่งรัดไม่ได้เลย จะบอกให้ใครเจริญสติเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ เพราะว่าบุคคลนั้นยัง ไม่เกิด หิริ โอตตัปปะ ขั้นที่ละอายและรังเกียจใน อวิชชา ที่ไม่รู้ความจริงของนามธรรม และ รูปธรรม ที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ แม้แต่เพียงลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็ไม่ใช่สี่งที่รู้ได้ทันที ถึงแม้ว่าจะได้ฟังมานานนับปีแต่จะรู้ได้ว่า สติเรี่มระลึกที่ลักษณะของรูปธรรมหรือนามธรรมบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เรี่มระลึกก็ไม่มีทางที่จะรู้ชัดในลักษณะ ของนามธรรมและรูปธรรม เพียงแต่ว่าสามารถขั้นเข้าใจ หรือว่าสามารถแค่เข้าใจเรื่องของ นามธรรม และ รูปธรรม พราะฉะนั้น ก็ต้องเจริญกุศลทุกประการเพี่มขึ้น เพื่อที่จะเป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งให้สติระลึกที่ ลักษณะของนามธรรม และ รูปธรรม ทีกำลังปรากฏ มีข้อสงสัยอะไรไหมคะในเรื่องนี้
คุณอดิศักดิ์ หิริ โอตตัปปะ มีหลายๆ ขั้นอย่างที่อาจารย์ว่าเวลานี้ก็เกิดหิริ โอตตัปปะ แล้ว ว่าเรายังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเลย ก็เกิดหิริอีกว่าก็ต้องเจริญ หิริ โอตตัปปะ ให้สูงขึ้นไปอีกใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์ ทุกประการค่ะ ควรจะเจริญกุศลทุกประการค่ะ เรี่มจากการเป็นผู้ตรงรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวัน เพราะว่าถ้ายังไม่มีหิริ โอตตัปปะ แม้แต่ในเรื่องทานบ้าง ศีล บ้าง ในเรื่องอัปปจายนะบ้าง ในแรื่อง เวยยาวัจจะบ้าง แล้วมุ่งหวังที่จะดับกิเลส ก็เป็นสี่งซึ่งสุดวิสัย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ายังไม่รู้เลยว่าตนเองมีอกุศลในวันหนึ่งๆ มากสักแค่ไหน
คุณอดิศักดิ์ แล้วก็เกิดหิริโอตตัปปะอีกว่า เรานี้เคยดูถูก หิริ โอตตัปปะว่า นัยของของมันคงมีไม่เท่าไร มาได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็รู้ว่ามีนัยที่ลึกซึ้งมาก เกิดหิริ โอตตัปปะ อีกเหมือนกัน ว่าเคยดูถูกไว้
ท่านอาจารย์ "เป็นธรรมที่คุ้มครองโลก" ทีเดียว หิริ โอตตัปปะ แล้วเป็น พละธรรม ด้วย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
"อวิชชามีโทษมาก คลายยาก"
ควรละอายเกรงกลัวต่อความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ