กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ [วัมมิกสูตร]
โดย wittawat  11 ต.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48672

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ?

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 324

๓. วัมมิกสูตร

[๒๘๙] ... ดูก่อนภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราไปขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึงเรียนว่า ลิ่มสลักขอรับ. ...

[๒๙๑] ... ดูก่อนภิกษุ ... ปัญหาข้อว่าอย่างไรชื่อว่าพ่นควันในกลางคืนนั้น ดูก่อนภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลขมักเขม้นการงานในกลางวัน แล้วตรึกถึง ตรองถึงในกลางคืน นี้ชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน. ปัญหาข้อว่าอย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวันนั้น ดูก่อนภิกษุได้แก่การที่บุคคลตรึกถึง ตรองถึง (การงาน) ในกลางคืน แล้วย่อมประกอบการงานในกลางวันด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน .


[อรรถกถาวัมมิกสูตร]
... บทว่า อุกฺขิป ลงฺคึ อภิกฺขน สุเมธ ได้แก่ พ่อบัณฑิต ชื่อว่า กลอนเหล็กกลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เมื่อยกกลอนเหล็กขึ้นขุดต่อ พึงเห็นความในบททั้งปวงอย่างที่กล่าวมานี้.
... บทว่า ทิวา กมฺมนฺเต ได้แก่ การงานที่จะพึงทําในกลางวัน. ธูมศัพท์นี้ในบทว่า ธูมายนา นี้เป็นไปในอรรถเหล่านี้ คือ ความโกรธ ตัณหา วิตก กามคุณ ๕ ธรรมเทศนา ควันตามปกติ ... แต่ในที่นี้ ธูมศัพท์นี้ ท่านประสงค์เอาว่าเป็นไปในวิตก ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า นี่การหวนควันในกลางคืน.


[สรุป]
กลางคืนเป็นควัน หมายถึง มีการตรึกตรองไปในเวลากลางคืนด้วยความไม่รู้ (เพราะลิ่มสลักหรือกลอนเหล็กคืออวิชชา) นั้นเอง หลังจากทำการงานในเวลากลางวัน
กลางวันเป็นไฟ หมายถึง หลังจากตรึกตรองด้วยความไม่รู้ในเวลากลางคืน ก็ทำการงานในเวลากลางวันทางกาย ทางวาจา ด้วยความไม่รู้อีกเช่นกัน

กราบอนุโมทนา



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 25 ต.ค. 2567

ข้อความบางตอนใน วัมมิกสูตร ข้อ ๒๘๙ มีว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยนั้นท่านพระกุมารกัสสปะพำนักอยู่ที่ป่าอันธวัน ครั้งนั้น เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงามยิ่ง

คือ พรหมชั้นสุทธาวาสซึ่งเป็นสหายของท่านในครั้งก่อนนั่นเอง

เมื่อราตรีล่วงปฐมยามแล้วยังป่าอันธวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะ ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะท่านพระกุมารกัสสปะว่า

ดูกร ภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราไปขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นลิ่มสลัก จึงเรียนว่า ลิ่มสลัก ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกลิ่มสลักขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นอึ่ง จึงเรียนว่า อึ่ง ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกอึ่งขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่า ทาง ๒ แพร่ง ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาสตรา ขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นหม้อกรองน้ำด่าง จึงเรียนว่า หม้อกรอง น้ำด่าง ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้น เอา ศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นเต่า จึงเรียนว่า เต่า ขอรับ

คนชอบเต่าอาจจะดีใจ ได้เห็นเต่า

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเต่าขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดดู ได้เห็นเขียงหั่นเนื้อ จึงเรียนว่า เขียงหั่นเนื้อ ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเขียงหั่นเนื้อขึ้น เอาศาสตรา ขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นชิ้นเนื้อ จึงเรียนว่า ชิ้นเนื้อ ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกชิ้นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป ได้เห็นนาค จึงเรียนว่า นาค ขอรับ

พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า นาคจงอยู่ เจ้าอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทำความนอบน้อมต่อนาค

ขอเชิญรับฟัง

พระกุมารกัสสปะ บรรลุเป็นพระอรหันต์ อย่างไร