การที่จะเข้าใจพระธรรมได้ก็ต้องเริ่มด้วยความเห็นที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ดังนั้น ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาก็เริ่มต้นด้วยการน้อมไปอย่างนี้ว่า ขณะตื่นลืมตาก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ผมจะรีบบอกตัวเองทันทีเลยว่าที่กำลังเห็นนี้แหละเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ก็ขี้เกียจ ก็บอกตัวเองทันทีเลยว่า สภาพที่ขี้เกียจก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา คือ ผมคิดว่าเราต้องสอนตัวเองอย่างนี้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันของเราเองเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ปัญญาค่อยๆ น้อมไปที่จะเข้าใจพระธรรม จึงต้องสอนตัวเองอย่างนี้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีอะไรปรากฏก็ต้องรีบละลึกทันทีเลยว่าไม่ใช่เรา เมื่อมีคนเรียกชื่อผม ผมสวนกลับทันทีเลยว่า “ไม่ใช่ผม เป็นธรรม เป็นอนัตตา ที่เรียกว่าผมนั้นเป็นสมมติบัญญัติ แต่ขอให้คุณเข้าใจนะว่านี่ไม่ใช่ผม” อย่างนี้เป็นต้น แต่พอผมทำอย่างนี้ไปสักระยะหนึ่ง คนรอบข้างเริ่มจะรู้สึกว่าผมเพี้ยนไป ทั้งที่จริงๆ แล้วผมเองก็กำลังน้อมไปที่จะเข้าใจพระธรรมมากขึ้น จึงอยากกราบเรียนถามว่าผมควรจะทำอย่างไรดี เข้าใจถูกต้องแล้ว คนรอบข้างมองว่าเพี้ยน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ดังนี้
ท่านอาจารย์สุจินต์...เพราะฉะนั้น จะไม่มีทางเลยที่จะเห็นความเป็นอนัตตาของสติว่า ถ้าสติระลึกแล้ว ระลึกเก่ง กว่าตัวตนที่กำลังไปพยายามกำหนด เพราะว่าไปพยายามกำหนด กำหนดอะไร รูปอย่างเดียว นามอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความละเอียดของสภาพธรรมซึ่งวิจิตรมาก ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ จะรู้ได้ว่า อนัตตา เลือกอารมณ์ให้ปัญญารู้ไม่ได้ เวลาที่เรากำลังเห็น แล้วเราค่อยๆ ระลึกรู้ว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เวลาที่กำลังได้ยิน ค่อยๆ ระลึกว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ยังไม่ใช่ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด เพียงแต่ว่าเป็นการปูทาง หรืออบรมเจริญปัญญาให้มีกำลังที่ว่า เมื่อถึงกาลที่วิปัสสนาญาณจะเกิด สติจะระลึกลักษณะของนามรูปซึ่งเราไม่เคยคิดหวังหรือรอคอยว่า จะต้องเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ คือไม่มีทางที่จะไปทำความเป็นอัตตาให้เกิดขึ้น เพราะว่าเรากำลังเตรียมอย่างนี้ เพราะฉะนั้น รูปนี้จึงปรากฏ เพราะเหตุว่าทั้งนามธรรมรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก แล้วก็ตามเหตุตามปัจจัยด้วย
เพราะฉะนั้น เมื่อสภาพธรรมปรุงแต่งให้สภาพธรรมใดเกิด แล้วสติระลึก คนนั้นจะรู้ทันทีว่า ไม่มีตัวเราหรือว่าไม่มีกำลัง หรือว่าไม่มีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงหรือบันดาลได้ เมื่อพร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่สัมมาสติเกิดระลึก แล้วขณะนั้นพร้อมที่จะรู้แจ้ง ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าอบรมมามากในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีความหวั่นไหวเวลาที่สัมมาสติระลึก สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ มีแต่ความเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงเท่านั้นเอง
การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ในสิ่งที่กำลังฟัง บ่อยๆ เนืองๆ สังขารขันธ์ย่อมปรุงแต่งน้อมไปให้พิจารณาและเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ตัวตนที่พิจารณา และ ขณะที่กำลังฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม นี้ ย่อมมีการน้อมไปในทางที่ถูกที่ควร เป็นการอบรมความเห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเท่านั้น กล่าวคือ กุศลจิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย
จะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ขณะที่ฟังพระธรรม ก็น้อมไปแล้วสู่การฟังพระธรรม ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคล คนอื่นเขาจะคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของคนอื่น แต่หน้าที่ที่สำคัญของตนเอง คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ความรู้ขั้นฟังท่านเปรียบเหมือนเกลือเม็ดเดียวที่ใส่ลงไปในมหาสมุทร เปรียบเหมือนเราสะสมอวิชชามานานแสนนาน ปัญญาขั้นฟังยังทำลายอวิชชาไม่ได้ เพียงแต่เริ่มรู้จักว่าเป็นธรรมจากที่ไม่เคยฟังแต่ยังไม่ประจักษ์ค่ะ
สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ