เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"จักขุปสาทเป็นเราหรือเปล่า.....เป็นธรรม" พจนาท่านอาจารย์ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จักขุปสาท คือ รูปที่เกิดจากกรรมที่มีความผ่องใสเหมือนกระจกเงา สามารถรับกระทบกับสีต่างๆ ตั้งอยู่ในกลางตาดำมีเยื่อตา ๗ ชั้นซึมซับอยู่ ประดุจสำลีที่อาบด้วยน้ำมันชุ่มอยู่ทั้ง ๗ ชั้น มีสัณฐานโตประมาณเท่าหัวเล็น ทำหน้าที่ได้ ๒ อย่าง คือ
๑. เป็นจักขุวัตถุ ที่เกิดของจักขุวิญญาณ ๒ ดวง (การเห็น)
๒. เป็นจักขุทวาร ทางรู้อารมณ์ของจักขุทวารวิถีจิต
ดวงตาทั้งหมด ไม่ชื่อว่า จักขุปสาท ดวงตาทั้งหมดที่เรียกว่า มังสจักขุ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
๑. สสัมภารจักขุ คือ ส่วนต่างๆ ที่ประชุมกันอยู่ทั้งหมดเรียกว่า “ดวงตา” ซึ่งมีทั้งตาขาวและตาดำ มีก้อนเนื้อเป็นฐานรองรับปสาทจักขุไว้
๒. ปสาทจักขุ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “จักขุปสาท” คือ ความใสของมหาภูตรูปอันเกิดจากกรรม ที่ตั้งอยู่บนกลางตาดำ
จักขุปสาทเป็นเราหรือเปล่า จักขุปสาท เป็นรูปธรรม ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ทำหน้าที่กระทบสี เพราะฉะนั้น จักขุปสาท จึงไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม คือ รูปธรรมที่มีจริง ตา จึงไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
จักขุปสาทรูป
สุ. รูป คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นมหาภูตรูป เป็นรูปใหญ่ แต่เมื่อธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดขึ้นแล้ว ก็มีรูปอีก ๔ รูปเกิดร่วมด้วย คือ สี กลิ่น รส โอชา
นี่คือพื้นฐานทั่วๆ ไปที่จะเข้าใจว่า รูปที่เราเข้าใจว่า เป็นรูปใหญ่มาก แท้ที่จริงก็เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุด ภาษาบาลีใช้คำว่า “กลาป” เล็กจนแยกอีกไม่ได้แล้ว ต้องมี ๘ รูป แล้วก็มีอากาศธาตุแทรกแต่ละกลาป ทำให้รูปใหญ่ๆ ที่เราคิด สามารถกระจัดกระจายแตกย่อยออกได้ เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แต่ถึงแม้ว่าเป็นรูป รูปก็มีสมุฏฐานที่ต่างกัน คือ บางกลุ่มหรือบางกลาปเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน อย่างอื่นไม่สามารถทำให้เกิดรูปนั้น ได้เลยนอกจากกรรม เช่น จักขุปสาทรูป แต่เมื่อเกิดต้องมีมหาภูตรูป ๔ รวมอยู่ด้วย แล้วรูปใดก็ตามที่เกิดจากกรรม จะต่างจากรูปอื่น เพราะเหตุว่า มีชีวิตินทรียรูปอีกรูปหนึ่งเกิดร่วมด้วย ทุกกลาปที่เป็นรูปที่เกิดจากกรรม และยังมีจักขุปสาท เพราะฉะนั้นในกลุ่มนั้นมี ๑๐ รูป เพิ่มอีก ๒ รูป เมื่อเป็นรูปที่เกิดจากกรรม นี่คือกล่าวถึงสมุฏฐานต่างๆ
ขออนุโมทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นไปเพื่อไถ่ถอนการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แม้แต่ จักขุปสาทะ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นรูปธรรม เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน และเมื่อจักขุปสาทรูปเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดมาเพียงรูปเดียวเดี่ยวๆ แต่ในกลุ่มของจักขุปสาทรูปนั้น มีรูปรวมกัน ๑๐ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส โอชา ชีวิตินทริยรูป และ ปสาทรูป แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งจริงๆ ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย ดังนั้น จึงเข้าใจได้ว่า จักขุปสาทะ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่เพราะความเข้าใจยังไม่มี จึงหลงยึดถือว่าจักขุปสาทะ เป็นเรา เป็นของของเรา หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จักขุปสาท เป็นรูปที่เกิดจากกรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ค่ะ