๑๐. สุปุพพัณหสูตร ว่าด้วยเวลาที่เป็นฤกษ์ดี
โดย บ้านธัมมะ  22 ต.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 38788

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 591

ตติยปัณณาสก์

มงคลวรรคที่ ๕

๑๐. สุปุพพัณหสูตร

ว่าด้วยเวลาที่เป็นฤกษ์ดี


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 591

๑๐. สุปุพพัณหสูตร

ว่าด้วยเวลาที่เป็นฤกษ์ดี

[๕๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้านั้นก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลากลางวัน เวลากลางวันนั้นก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นนั้นก็เป็นเวลาดีของสัตว์เหล่านั้น.

(นิคมคาถา)

กายกรรม วาจากรรม มโนกรรม ความปรารถนาของท่าน เป็นประทักษิณ เป็นฤกษ์ดี มงคลดี แจ้งดี รุ่งดี ขณะดี ครู่ดี และเป็นการบูชาอย่างดีใน


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 592

พรหมจารีทั้งหลาย คนทำกรรมอันเป็นประทักษิณแล้ว ย่อมได้ประโยชน์อันเป็นประทักษิณ ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้มีประโยชน์อันได้แล้ว ถึงซึ่งความสุข งอกงามในพระพุทธศาสนา เป็นผู้หาโรคมิได้ สำราญกายใจ พร้อมด้วยญาติทั้งปวงเทอญ.

จบสุปุพพัณหสูตรที่ ๑๐

จบมงคลวรรคที่ ๕

อรรถกถาสุปุพพัณหสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในสุปุพพัณหสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-

ในคำเป็นต้นว่า สุนกฺขตฺตํ วันที่คนทั้งหลายบำเพ็ญสุจริตธรรมทั้ง ๓ ให้บริบูรณ์ ชื่อว่าเป็นวันที่ได้การประกอบฤกษ์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วันนั้นมีฤกษ์ดีทุกเมื่อ. วันนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าเป็นวันทำมงคลแล้ว เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วันนั้นมีมงคลดีทุกเมื่อ. แม้วันที่มีความสว่างไสวทั้งวัน จึงชื่อว่า สุปฺปภาตเมว มีความสว่างไสวเป็นประจำ. แม้การลุกขึ้นจากการนอนของวันนั้น ก็ชื่อว่า สุหุฏฺิตํ ลุกขึ้นด้วยดี. แม้ขณะของวันนั้น ก็ชื่อว่า สุกฺขโณ ขณะดี. แม้ยามของวันนั้น ก็ชื่อว่า สุมุหุตฺโต ยามดี.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 593

ก็ในบทว่า สุมุหุตฺโต นี้ พึงทราบการแบ่งเวลาดังนี้ เวลาประมาณ ๑๐ นิ้ว ชื่อว่า ขณะ. เวลา ๑๐ เท่าโดยขณะนั้น ชื่อว่า ลยะ. เวลา ๑๐ เท่าโดยลยะนั้น ชื่อว่า ขณลยะ. เวลา ๑๐ เท่าโดยขณลยะนั้น ชื่อว่า มุหุตตะ. เวลา ๑๐ เท่าโดยมุหุตตะนั้น ชื่อว่า ขณมุหุตตะ.บทว่า สุยิฏฺํ พฺรหฺมจาริสุ ความว่า ทานที่เขาให้ในผู้ประพฤติธรรมอันประเสริฐ ในวันที่บำเพ็ญสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์แล้ว ชื่อว่า สุยิฏฺํ (มีการบูชาดีแล้ว). บทว่า ปทกฺขิณํ กายกมฺมํ ความว่า กายกรรมที่เขาทำแล้วในวันนั้น ชื่อว่าเป็นกายกรรมประกอบด้วยความเจริญ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ปทกฺขิณานิ กตฺวาน ความว่า ครั้นการทำกายกรรมเป็นต้น ที่ประกอบด้วยความเจริญแล้ว. บทว่า ลภนฺตตฺเถ ปทกฺขิเณ ความว่า จะได้ประโยชน์ที่เป็นประทักษิณ คือ ประโยชน์ที่ประกอบด้วยความเจริญนั่นเอง. ข้อความที่เหลือในพระสูตรนี้ง่ายทั้งนั้น ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาสุปุพพัณหสูตรที่ ๑๐

จบมงคลวรรควรรณนาที่ ๕

จบตติยปัณณาสก์

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. อกุศลสูตร ๒. สาวัชชสูตร ๓. วิสมสูตร ๔. อสุจิสูตร ๕. ปฐมขตสูตร ๖. ทุติยขตสูตร ๗. ตติยขตสูตร ๘. จตุตถขตสูตร ๙. วันทนาสูตร ๑๐. สุปุพพัณหสูตร และอรรถกถา.