[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 70
ปฐมปัณณาสก์
อุรุเรลวรรคที่ ๓
๔. กาฬกสูตร
ว่าด้วยอารมณ์ ๖
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 70
๔. กาฬกสูตร
ว่าด้วยอารมณ์ ๖
[๒๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ วัดกาฬการาม นครสาเกต ฯลฯ ตรัสพระธรรมเทศนาว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่โลกกับทั้งเทวโลกมารโลกพรหมโลก หมู่สัตว์ทั้งเทวดามนุษย์ทั้งสมณพราหมณ์ ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้ทราบแล้ว ได้รู้แล้ว ได้ประสบแล้ว ได้แสวงหาแล้ว ได้คิดค้นแล้ว เราก็รู้สิ่งนั้น สิ่งใดที่โลก ฯลฯ ทั้งสมณพราหมณ์ได้เห็นแล้ว ฯลฯ ได้คิดค้นแล้ว เรารู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วซึ่งสิ่งนั้น สิ่งนั้นปรากฏแก่ตถาคต แต่สิ่งนั้นไม่ปรากฏในตถาคต (คือตถาคตไม่ติดพัวพันสิ่งนั้น)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 71
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่โลก ฯลฯ ทั้งสมณพราหมณ์ได้เห็นแล้ว ฯลฯ ได้คิดค้นแล้ว เราจะพึงกล่าวว่า เราไม่รู้สิ่งนั้น คำนั้นจะพึงเป็นคำมุสาของเรา ... หากเราจะพึงกล่าวว่า เรารู้บ้าง ไม่รู้บ้าง คำนั้นต้องเป็นคำมุสา ... คำกลีของเรา หากเราจะพึงกล่าวว่า เรารู้ก็มิใช่ ไม่รู้ก็มิใช่ แม้คำนั้น ก็ต้องเป็นคำมุสา ... คำเป็นโทษของเราเช่นเดียวกัน
อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเห็นสิ่งพึงเห็นได้. แต่ไม่สำคัญว่าได้เห็น ไม่สำคัญว่าไม่ได้เห็น ไม่สำคัญว่าต้องเห็น ไม่สำคัญต่อบรรดาสิ่งที่เห็นแล้ว ได้ยินสิ่งที่พึงได้ยินได้ แต่ไม่สำคัญว่าได้ยิน ไม่สำคัญว่าไม่ได้ยิน ไม่สำคัญว่าต้องได้ยิน ไม่สำคัญต่อบรรดาสิ่งที่ได้ยินแล้ว ได้ทราบสิ่งที่พึงทราบได้ แต่ไม่สำคัญว่าได้ทราบ ไม่สำคัญว่าไม่ได้ทราบ ไม่สำคัญว่าต้องทราบ ไม่สำคัญต่อบรรดาสิ่งที่ได้ทราบแล้ว รู้สิ่งที่พึงรู้ได้ แต่ไม่สำคัญว่าได้รู้ ไม่สำคัญว่าไม่ได้รู้ ไม่สำคัญว่าต้องรู้ ไม่สำคัญต่อบรรดาสิ่งที่รู้แล้ว
อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นผู้คงที่อยู่เช่นนั้นในธรรมทั้งหลาย อันพึงได้เห็นได้ยินได้ทราบได้รู้ และเรากล่าวว่าผู้คงที่อื่นที่ยิ่งกว่าหรือประณีตกว่าตถาคตผู้คงที่นั้นไม่มี
สิ่งที่ได้เห็นได้ยิน และได้ทราบทุกอย่าง ที่คนเหล่าอื่นหลงติดใจ สำคัญคิดไปว่าจริงจัง ตถาคตเป็นผู้คงที่ในสิ่งเหล่านั้นอันพระองค์สำรวมอยู่ดีแล้วไม่พึง เชื่อคำคนอื่นทั้งจริงทั้งเท็จ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 72
เราเห็นลูกศรอันนี้มาแต่แรกแล้ว ประชาชนติดใจข้องอยู่ในสิ่งใด เรารู้เห็นสิ่งนั้นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ความติดใจไม่มีแก่ตถาคตทั้งหลาย.
จบกาฬกสูตรที่ ๔
อรรถกถากาฬกสูตร
กาฬกสูตรที่ ๔ ตั้งขึ้นเพราะอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ถามว่า เหตุเกิดเรื่องอะไร ตอบว่า เรื่องพระคุณของพระทศพล.
ได้ยินว่า นางจูฬสุภัททา ธิดาของอนาถบิณฑิกะหมายใจจักไปเป็นแม่เรือนของบุตรกาฬกเศรษฐี ณ นครสาเกต จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักไปมีสามี ณ ตระกูลของคนมิจฉาทิฏฐิ ถ้าข้าพระองค์จักได้รับนับถือในตระกูลนั้น เมื่อจะส่งบุรุษคนหนึ่งมา ก็จักเนินช้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดนึกถึงข้าพระองค์บ้าง ดังนี้ ได้รับการรับรองแล้วก็ไป ท่านกาฬกเศรษฐีคิดว่า ลูกสะใภ้ของเรามาแล้ว เมื่อทำงานมงคลจึงได้จัดของกินและของบริโภคเป็นอันมาก ได้เชิญชีเปลือย ๕๐๐ มา. เมื่อชีเปลือยเหล่านั้น นั่งแล้ว. ท่านเศรษฐี จึงส่งคนไปบอกนางจูฬสุภัททาว่า ลูกสาวของพ่อจงมาไหว้พระอรหันต์. อริยสาวิกาผู้บรรลุผลแล้ว พอเขาพูดว่า พระอรหันต์เท่านั้นก็ลุกขึ้นไปด้วยคิดว่า ลาภของเราหนอ. พอได้เห็นชีเปลือยซึ่งแสดงว่าไม่มีศักดิ์ศรีเหล่านั้น จึงพูดว่า คุณพ่อขา ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ไม่ใช่ไม่มีหิริภายใน ไม่ใช่ไม่มีโอตตัปปะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 73
ภายนอกนี่ค่ะ คิดว่า พวกนี้มิใช่สมณะ จึงถ่มน้ำลายเดินกลับไปยังสถานที่อยู่ของตน.
ครั้งนั้น พวกชีเปลือยพูดว่า ท่านมหาเศรษฐี หญิงกาลกรรณีเช่นนี้ ท่านได้มาแต่ไหน ทั่วชมพูทวีป ไม่มีหญิงสาวอื่นหรือ แล้วก็พากันบริภาษเศรษฐี. ท่านเศรษฐีจึงขอร้องว่า ท่านอาจารย์ กรรมอันข้าพเจ้ารู้หรือไม่รู้ ก็ได้ทำลงไปแล้วละ. ข้าพเจ้าจักรู้เรื่องนั้น ดังนี้ ส่งพวกชีเปลือยไปแล้ว ก็ไปหานางสุภัททาถามว่า แม่หนู เหตุไร เจ้าจึงได้ทำอย่างนี้ เหตุไร เจ้าจึงทำให้พระอรหันต์อับอาย. นางตอบว่า คุณพ่อขา ธรรมดาว่าพระอรหันต์ ไม่เป็นอย่างนี้. ครั้งนั้นท่านเศรษฐี จึงพูดกะนางว่า
สมณะของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าจึงสรรเสริญท่านนักหนา สมณะของเจ้ามีศีลอย่างไร มีมรรยาทอย่างไร เจ้าถูกถามแล้ว จงบอกความข้อนั้นแก่พ่อ.
นางจึงตอบว่า
ท่านผู้มีอันทรีย์สงบ ใจสงบ ตั้งอยู่ในมรรคมีคุณอันสงบ มีจักษุทอดลง พูดพอประมาณ สมณะของลูกเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ สมณะเหล่านั้นตัดเครื่องผูก เข้าป่าอยู่แต่ลำพังไม่มีเพื่อน เหมือนช้างตัดเครื่องผูก สมณะของลูกเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ.
ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงยืนกล่าวพระคุณของพระรัตนตรัยต่อหน้าเศรษฐี. เศรษฐี ฟังคำของนางแล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะนำสมณะของเจ้ามาทำมงคลดังนี้. นางถามว่า คุณพ่อจะทำเมื่อไร. เศรษฐีคิดว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 74
เมื่อเราบอกว่า ๒ - ๓ วัน นางก็จะพึงส่งทูตไปให้เรียกมาดังนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้กล่าวกะนางว่า พรุ่งนี้สิ แม่หนู. ในเวลาเย็น นางขึ้นปราสาทชั้นบน ถือภาชนะดอกไม้ขนาดใหญ่ ระลึกถึงพระคุณของพระศาสดาแล้วจึงซัดกำดอกไม้ ๘ กำ ไปเพื่อพระทศพลแล้วประคองอัญชลี ยืนนอบน้อมอยู่. นางได้กล่าวอย่านี้ว่า พรุ่งนี้ ขอพระองค์โปรดทรงรับภิกษาของข้าพระองค์พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป. ดอกไม้เหล่านั้นไปประดิษฐานเป็นเพดานเบื้องบนพระทศพล. พระศาสดา เมื่อทรงนึกถึงก็ได้ทรงเห็นเหตุนั้น ในเวลาจบพระธรรมเทศนา อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี นมัสการพระทศพลแล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันพรุ่งนี้ ขอพระองค์จงรับภิกษาในเรือนของข้าพระองค์ พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดาตรัสว่า ท่านเศรษฐี เรารับนิมนต์ นางจูฬสุภัททาไว้แล้ว. ท่านเศรษฐีทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ไม่เห็นใครมา. พระศาสดาตรัสว่า ถูกละท่านเศรษฐี แต่อุบาสิกาผู้เป็นสัตบุรุษอยู่แต่ไกลแม้สุดพันโยชน์ก็ย่อมปรากฏได้ เหมือนภูเขาหิมวันต์ จึง ตรัสพระคาถานี้ว่า
เหล่าสัตบุรุษปรากฏชัดในที่ไกล เหมือนหิมวันตบรรพต ส่วนเหล่าอสัตบุรุษ อยู่ที่นั่นเองก็ไม่มีใครเห็น เหมือนลูกศรที่ยิ่งไปเวลากลางคืน.
อนาถบิณฑิกะทูลว่า ขอพระองค์โปรดทรงสงเคราะห์ธิดาของข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้าดังนี้ ถวายบังคมแล้วก็กลับไป.
พระศาสดาตรัสกะพระอานนท์ว่า อานนท์ เราจักไปนครสาเกต เธอจงให้สลากแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป แต่เมื่อจะให้เธอพึงให้แก่พวกภิกษุผู้บรรลุ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 75
อภิญญา ๖ เท่านั้น. พระเถระก็ได้ทำอย่างนั้น. ในตอนดึกแห่งราตรี นางจูฬสุภัททา คิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีกิจมาก ทรงมีกรณียมาก จะทรงกำหนด หรือไม่ทรงกำหนด (ก็ไม่รู้) เราจักทำอย่างไรหนอ. ขณะนั้น ท้าวเวสสุวรรณมหาราชได้กล่าวกับนางจูฬสุภัททาว่า แม่นางสุภัททา เธออย่าใจเขว อย่าใจเสียไปเลย พระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ทรงรับนิมนต์ เพื่อเสวยภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ไว้แล้ว นางก็ยินดีร่าเริงตระเตรียมทานอย่างเดียว แม้ท้าวสักกเทวราช ทรงเรียกวิสสุกรรมมาสั่งว่า พ่อเอย พระทศพล จักเสด็จไปยังสำนักของนางจูฬสุภัททา นครสาเกต ท่านจงสร้างเรือนยอด ๕๐๐ หลัง. วิสสุกรรมเทพบุตรนั้น ก็ได้ทำตามเทวโองการ. พระศาสดาอันภิกษุ ผู้ได้อภิญญา ๖ จำนวน ๕๐๐ รูป แวดล้อมแล้ว ได้เสด็จไปยังนครสาเกต ด้วยกูฏาคารยานมีเรือนยอดประหนึ่งรอยขีดอากาศที่มีสีดังแก้วมณี.
นางจูฬสุภัททาถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายบังคมพระศาสดาทูลว่า ฝ่ายพ่อผัวของข้าพระองค์เป็นมิจฉาทิฏฐิ สาธุ ขอพระองค์จงโปรดตรัสธรรมอันสมควรแก่ชนเหล่านั้นด้วยเถิด พระเจ้าข้า. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแล้ว. ท่านกาฬกเศรษฐีเป็นโสดาบันได้ถวายอุทยานของตนแด่พระทศพล. พวกชีเปลือยไม่ปรารถนาที่จะออกไปด้วยคิดว่า ท่านเศรษฐีให้แก่พวกเราก่อนดังนี้. ท่านเศรษฐีสั่งให้นำชีเปลือยทั้งหมดออกไปด้วย กล่าวว่า พวกท่านจงไปนำพวกชีเปลือยเหล่านั้นไปโดยวิธีการที่จะพึงนำออกไปเสียดังนี้แล้ว จึงให้สร้างวิหารลงในที่ตรงนั้นนั่นเอง แล้วหลั่งน้ำทำให้เป็นพรหมไทยอุทิศถวาย วิหารนั้นจึงชื่อว่า กาฬการาม เพราะกาฬกเศรษฐีให้สร้างไว้. สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ กาฬการามนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สาเกเต วิหรติ กาฬการาเม ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 76
บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุ ๕๐๐ รูปมา. ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นเป็นกุลบุตรชาวนครสาเกต ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว บวชในสำนักของพระศาสดา นั่งอยู่ ณ ศาลาที่เฝ้ากล่าวคุณของพระทศพลว่า โอ! ชื่อว่า คุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายใหญ่จริง พระศาสดาทรงเปลื้องกาฬกเศรษฐีผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นปานนี้ ออกจากมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดได้ ให้บรรลุโสดาปัตติผล ทรงทำทั่วทั้งนคร ให้เป็นเสมือนเทวโลก. พระศาสดาทรงพินิจพิจารณาถึงจิตของภิกษุผู้กล่าวสรรเสริญเหล่านั้น จึงทรงดำริว่า เมื่อเราไป เทศนากัณฑ์ใหญ่จักตั้งขึ้น เวลาจบเทศนา ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ จักตั้งอยู่ในพระอรหัต แผ่นดินใหญ่จักไหว ถึงน้ำรองแผ่นดิน ดังนี้ เสด็จยังธรรมสภา ประทับบนบวรพุทธาสนะที่เขาจัดถวาย ทรงทำภิกษุเหล่านั้นให้เป็นเบื้องต้นแล้ว จึงทรงเริ่มเทศนานี้ว่า ยํ ภิกฺขเว สเทวกสฺส โลกสฺส ดังนี้. พระสูตรนี้ พึงทราบว่า ตั้งขึ้นเพราะเรื่องพระคุณ ด้วยประการฉะนี้. เวลาจบเทศนา แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง น้ำรองแผ่นดินแล้ว.
บทว่า อพฺภญฺาสึ ได้แก่ ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อธิบายว่าตรัสรู้แล้ว. บทว่า วิทิตํ ได้แก่ รู้แล้วทำให้ปรากฏได้. ด้วยบทนี้ ทรงแสดงความข้อนี้ว่า ชนเหล่าอื่นรู้อย่างเดียว แต่เรารู้แล้วทำให้ปรากฏด้วย. ชื่อว่าภูมิแห่งพระสัพพัญญุตญาณ ตรัสด้วยสามบทเหล่านี้. บทว่า ตํ ตถาคเตน น อุปฏฺาสิ ความว่า อารมณ์อันเป็นไปในทวารหกนั้น ไม่ปรากฏคือไม่เข้าไปถึงตถาคต ด้วยตัณหาหรือด้วยทิฏฐิ. ก็จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ทรงเห็นรูปด้วยจักษุ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงมีฉันทราคะ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงฟังเสียงด้วยโสตะ ทรงดมกลิ่นด้วยฆานะ ทรงลิ้มรสด้วยชิวหา ทรงถูก
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 77
ต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ทรงรู้สึกธรรมด้วยมนัส พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงมีฉันทราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ นั้น ทรงมีจิตหลุดพ้นดีแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ตํ ตถาคเตน น อุปฏฺาสิ ดังนี้. ก็แล ภูมิแห่งพระขีณาสพ พึงทราบว่า ตรัสด้วยบทนี้. บทว่า ตํ มมสฺส มุสา ความว่า คำนั้นแล พึงชื่อว่า มุสาวาท. บทว่า ตํปิสฺส ตาทิสเมว ความว่า คำแม้นั้นก็พึงเป็นมุสาวาท. บทว่า ตํ มมสฺส กลิ ความว่า คำนั้นก็พึงเป็นโทษแก่เรา. ชื่อว่า สัจจภูมิ พึงทราบว่า ตรัสด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
บทว่า ทิฏฺา ทิฏฺพฺพํ ได้แก่เห็นรูปที่เห็นแล้วควรเห็น. บทว่า ทิฏฺํ น มญฺติ ความว่า ย่อมไม่สำคัญอายตนะคือรูปที่เห็นแล้วนั้น ด้วยตัณหามานะทิฏฐิว่า เราก็เห็นรูปที่มหาชนเห็นแล้วเหมือนกัน. บทว่า อทิฏฺํ น มญฺติ ความว่า ย่อมไม่สำคัญด้วยตัณหาเป็นต้น แม้อย่างนี้ว่า เราเห็นรูปนั้นที่มหาชนยังไม่เห็น. บทว่า ทิฏฺพฺพํ น มญฺติ ความว่า ย่อมไม่สำคัญ ด้วยความสำคัญเหล่านั้น แม้อย่างนี้ว่า เราก็เห็นรูปที่มหาชน เห็นแล้วดังนี้. ความจริง รูปที่ควรเห็นก็เป็นรูปที่มหาชนเห็นแล้วนั่นเอง. ก็คำเห็นปานนั้น. ผู้ศึกษาย่อมหาได้แม้ในสามกาล. เนื้อความของคำเหล่านั้น ตรัสแล้วด้วยบทนั้น. บทว่า ทิฏฺารํ (๑) น มญฺติ ความว่า ย่อมไม่สำคัญ ผู้เห็นนี้ชื่อว่าสัตว์ผู้หนึ่ง ด้วยความสำคัญเหล่านั้น. แม้ในฐานะที่เหลือ ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้นี่แล. ชื่อว่าสุญญตาภูมิ ภูมิคือความว่างเปล่า ก็ตรัสด้วยฐานะประมาณเท่านี้.
บทว่า อิติ โข ภิกฺขเว แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล. บทว่า ตาทิโสว ตาที ความว่า ความเป็นเหมือนหนึ่ง ชื่อว่า ความคงที่.
๑. บาลี ทิฏฺานํ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 78
จริงอยู่ พระตถาคตเป็นเช่นใด ในอิฏฐารมณ์มีลาภเป็นต้น ในอนิฏฐารมณ์ มีเสื่อมลาภเป็นต้น ก็เป็นเช่นนี้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตถาคตเป็นผู้คงที่ทั้งในลาภ ทั้งในความเสื่อมลาภ เป็นผู้คงที่ทั้งในยศ ทั้งในความเสื่อมยศ เป็นผู้คงที่ทั้งในนินทา ทั้งในสรรเสริญ เป็นผู้คงที่ทั้งในสุข ทั้งในทุกข์ ดังนี้. ตถาคตชื่อว่าตาที เช่นนั้นก็เพราะความเป็นผู้คงที่นี้. บทว่า ตมฺหา จ ปน ตาทิมฺหา ความว่า ชื่อว่าภูมิแห่งผู้คงที่ ตรัสด้วยคำประมาณเท่านี้ว่า ไม่มีผู้คงที่อื่นที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่าความคงที่ของตถาคตนั้นดังนี้. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยักย้ายเทศนาด้วยภูมิ ๕ เหล่านี้ มหาปฐพีก็ได้ไหว เป็นพยานในฐานะ ๕. เวลาจบเทศนา สัตว์คือเทวดาและมนุษย์จำนวน ๘๔,๐๐๐ ผู้มาถึงที่นั้น รวมทั้งกุลบุตร ๕๐๐ ซึ่งบวชใหม่เหล่านั้นเป็นต้น ก็พากันดื่มน้ำ ปานะคืออมฤตธรรมแล้ว.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบพระสูตรลงแล้ว เมื่อจะทรงถือยอดธรรมด้วยคาถาทั้งหลาย จึงตรัสคำว่า ยงฺกิญฺจิ เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า อชฺโฌสิตํ สจฺจมุตํ ปเรสํ ความว่า สิ่งที่ได้เห็นเป็นต้น ที่คนเหล่าอื่นสำคัญว่า จริง แล้วติดใจด้วยความเชื่อที่ดำเนินตามคนอื่น คือกลืนเอาไว้เสร็จสรรพ. บทว่า สยสํวุเตสุ ความว่า ในการถือสิ่งที่ตนระวังอยู่เอง คือประพฤติถือแล้ว อธิบายว่า ในคนที่มีทิฏฐิเป็นคติ. ด้วยว่า พวกคนที่มี ทิฏฐิเป็นคติ เขาก็เรียกกันว่า สยสํวุเตสุ (อันตนระวังอยู่เอง). บทว่า สจฺจํ มุสา วาปิ ปรํ ทเหยฺย ความว่า ตถาคตเป็นผู้คงที่ ในคนที่มีทิฏฐิเป็นคติ กล่าวคืออันตนระวังอยู่เองเหล่านั้น ไม่พึงถือ ไม่พึงเชื่อ ไม่พึงประพฤติตามคำ แม้คำหนึ่งของตนเหล่านั้นว่า จริงหรือไม่จริงให้บอกไปคือให้สูงสุด อย่างนี้ว่านี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นไม่จริง ดังนี้. บทว่า เอตญฺจ สลฺลํ คือเราเห็น ลูกศรคือทิฏฐิอันนี้. บทว่า ปฏิกจฺจ ทิสฺวา ความว่า เราเห็นมาก่อน ณ โคนโพธิพฤกษ์. บทว่า วิสตฺตา ความว่า ประชาชนติด ข้อง พัวพันอยู่.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 79
ในบทว่า ชานามิ ปสฺสามิ ตเถว เอตํ นี้ ความว่า หมู่สัตว์นี้ติดใจ กลืนเสร็จสรรพ ก็ติดก็ข้องก็พัวพัน แม้เราก็ได้รู้เห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็เหมือนที่หมู่สัตว์นี้ยึดถือกันไว้ แต่ตถาคตทั้งหลายไม่ติดใจอย่างนั้น.
จบอรรถกถากาฬกสูตรที่ ๔