[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ ๔๓๐
ปัตติทานมัย
เมื่อบุคคลให้ทาน กระทำการบูชาด้วยของหอมเป็นต้น แล้วให้ส่วนบุญว่า ขอส่วนบุญจงมีแก่บุคคลชื่อโน้น หรือว่า ขอส่วนบุญจงมีแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ พึงทราบว่า เป็นบุญกิริยาวัตถุอันเกิดแต่การให้ส่วนบุญ.ถามว่า ก็เมื่อบุคคลให้อยู่ซึ่งส่วนบุญนี้ บุญย่อมไม่หมดไปหรือ ตอบว่าย่อมไม่หมดไป เหมือนอย่างว่า บุคคลตามประทีปให้โพลงอยู่หนึ่งดวง แล้วยังประทีปหนึ่งพันดวงให้สว่างโพลงได้เพราะประทีปหนึ่งดวงนั้น ใครๆ ไม่พึงพูดได้ว่า ประทีปดวงแรกสิ้นไปแล้ว แต่ว่า แสงสว่างแห่งประทีปดวงหลังๆ กับประทีปดวงแรกรวมกัน แล้วก็เป็นแสงสว่างมากยิ่ง ฉันใด เมื่อบุคคลให้อยู่ซึ่งส่วนบุญก็ฉันนั้นเหมือนกัน ชื่อว่าบุญทั้งหลายที่จะลดลงไปย่อมไม่มี พึงทราบว่าย่อมมีแต่เจริญขึ้นเท่านั้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่นครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบขอบพระคุณมากค่ะ
แจ้งยิ่ง พึงฟังที่ละคำๆ ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กุศลที่เป็นไปกับทานนั้นมี ๓ คือ
๑. ทาน การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้รับ
๒ . ปัตติทาน การอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่นอนุโมทนา เช่น เวลาที่ปรารภบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือว่าพวกหนึ่งพวกใดขึ้น แล้วถวายทานอุทิศส่วนกุศลให้กับบุคคลนั้น
สำหรับกุศลที่เป็นไปในทานอีกประการหนึ่ง คือ
๓. ปัตตานุโมทนาทาน การอนุโมทนาส่วนกุศลที่บุคคลอื่นกระทำ และอุทิศให้ หรือการอนุโมทนาในกุศลของผู้อื่น ซึ่งก็ต้องเนื่องกัน คือ ต้องมีทาน การให้ และเมื่อมีทานการให้แล้ว ก็มีการอุทิศส่วนกุศลที่ได้กระทำทานนั้นให้บุคคลอื่นอนุโมทนา และบุคคลอื่นจะได้รับผลของการอุทิศส่วนกุศลให้ ก็ด้วยการอนุโมทนาของตนเอง
ที่มา อ่าน และฟังเพิ่มเติม ...
ปัตติทาน และ ปัตตานุโมทนาทาน