กราบรบกวนสอบถามครับ
เนื่องด้วยหลังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงมีเรื่องการ
สังคายนา พระไตรปิฎก ที่มีพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ทำกันในถ้ำสัตบรรณพต
แล้วภิกษุที่เหลืออยู่นอกถ้ำ ก็ทำสังคายนาอีกส่วน (อ้างถึงพระไตรปิฎกฉบับ
ประชาชน)
ความจริงแล้ว ผู้ศึกษาใหม่ควรทราบ และ ทำความเข้าใจอย่างไรบ้างครับ
๑ ทำไมต้องมีสองนิกาย
๒ สองนิกาย แตกต่างกันอย่างไร หรือ แตกต่างกันที่คำสอน
เพราะพระวัดป่า ใช้จีวรสีเข้มๆ พระวัดบ้านใช้จีวรสีเหลืองทอง (นี่เป็นที่มาของการถาม
ครับ) กราบของพระคุณอย่างสูงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริง ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ก็เริ่มมีการแตกแยกกัน แบ่งเป็นนิกายต่างๆ อัน
เริ่มจาก เมื่อคราวทำสังคายนาครั้งที่ 1 พระมหากัสสปะ ทำสังคายนา พระปุราณะที่ไม่
เข้าใจคำสอน กับบริวาร 500 ไม่รับการทำสังคายนาครั้งนี้ อันมีความเข้าใจผิดในพระ
ธรรม จึงเริ่มมีการแตกแยกตั้งแต่การทำสังคายนาครั้งนี้ การแตกแยกทีเป็นนิกายต่างๆ
จึงเกิดจากกิเลส ความไม่รู้ ความเข้าใจผิดในพระธรรม จึงทำให้มีการแยกไประหว่าง
ความเห็นถูกและความเห็นผิดเป็นธรรมดาครับ น้ำกับน้ำมันย่อมแยกจากกันเป็นธรรมดา
เมื่อมีการทำสังคายนารั้งที่ 2 ก็มีการแยกออกเป็นนิกายต่างๆ แยกจากเถรวาทออกไป
อันถือมติส่วนใหญ่ และก็แตกแยกออกไปอีก เป็น 18 นิกายครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... นิกายต่างๆ หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน [กถาวัตถุ]
จะเห็นว่าเพราะความเข้าใจพระธรรมผิด ความไม่เคารพในพระพุทธ ไม่เคารพในพระ
สงฆ์ ไม่เคารพในคำสอน คือการศึกษาไม่ละเอียดและไม่เคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ก็ทำ
ให้เกิดการแตกแยกออกไปตามการสะสมมานั่นเองครับ
และจากคำถามที่ว่า
๑ ทำไมต้องมีสองนิกาย?
ก็เพราะสัตว์โลกย่อมคบกันโดยธาตุตามการสะสม ตามอุปนิสัย ผุ้ที่เคร่งครัด คิดว่าสิ่ง
นี้ดีก็เห็นด้วยกับสิ่งนั้น ส่วนบางพวกเห็นว่าสิ่งนี้ดี ไม่มีโทษก็ประพฤติเห็นด้วยกับสิ่งนั้น
จึงแบ่งเป็น 2 นิกาย 3 นิกาย 18 นิกาย และอีกมากมายในปัจจุบันครับ ------------------------------------------------------------------------------------
๒ สองนิกาย แตกต่างกันอย่างไร หรือ แตกต่างกันที่คำสอน
เพราะพระวัดป่า ใช้จีวรสีเข้มๆ พระวัดบ้านใช้จีวรสีเหลืองทอง (นี่เป็นที่มาของการถามครับ)
สองนิกายแตกต่างกันตรงความประพฤติเข้มงวดในพระธรรมวินัย กับไม่เข้มงวดใน
พระธรรมที่วินัย สีจีวรที่ถูกต้องควรเศร้าหมอง ไม่ใช่สีเหลืองทอง หากพระได้ผ้าจีวรสี
เหลืองทองแล้ว ควรจะทำให้เหมาะสม ใช้สีที่เหมาะครับ มีสีที่เศร้าหมอง เป็นต้น ดังนั้น
ที่แตกต่างกัน แบ่งเป็นนิกายก็เพราะบางท่านไม่ประพฤติตามพระวินัย บางท่านประพฤติ
เคร่งครัดตามพระวินัย จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้ มีความรังเกียจกันและกันทั้งทางพระวินัยและ
ข้อปฏิบัติ จึงมีการแตกแยกกันเป็นนิกายต่างๆ จนถึงปัจจุบันครับ
ในความเป็นจริงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพราะเป็นสัจจะ ความจริงเช่น สภาพเห็นเป็นความจริง
เป็นธรรม ไม่ว่าใคร บุคคลใด นิกายไหน การเห็นก็เป็นธรรมเปลี่ยนแปลง กุศล อกุศล
เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเป็นสิ่งที่เป็นสัจจะ ไม่เปลี่ยนแปลง การแบ่งเป็นนิกาย เป็นลัทธิ
แสดงให้เห็นถึง ความเข้าใจผิดในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ทีศึกษาธรรมใน
ปัจจุบัน ควรเป็นผู้ละเอียดด้วยการศึกษาธรรมด้วยความเป็นผู้ตรงและละอียดรอบคอบ
ยึดพระธรรมเป็นสำคัญก็ย่อมสามารถเข้าถึงความจริง โดยไมได้แบ่งไปตามนิกายไหน
เลย หากปัญญาเจริญ ความเห็นถูกเกิดขึ้นจะไม่มีการแบ่งนิกาย เพราะพระธรรมเป็น
สัจจะ ความจริงหนึ่งเดียวครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
* * * ------------------------ * * *
กราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ
และ
ขออนุโมทนาบุญกับใจดีดีที่เมตตาครับ
* * * ---------------------------------------------- * * *
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น สัตว์โลกมีอัธยาศัยที่แตกต่างกัน ตามการสะสม ถึงแม้จะได้บวชเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา ก็มีทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการเป็นบรรพชิต กับ ผู้ที่ไม่ได้รับประโยชน์ ทั้งนี้เป็นเพราะการสะสมมาที่แตกต่างกัน มีปัญญา หรือ ไม่มีปัญญา สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูก มีความมั่นคงในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ย่อมจะมีความเคารพในการฟัง ในการศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ เป็นผู้ที่มั่นคงในพระธรรมวินัย อันเป็นพระธรรมคำสอนทำให้ผู้ศึกษาได้รับประโยชน์ทุกระดับขั้น ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ดับกิเลสได้ ตามลำดับ ส่วนที่มีการแตกแยกกันออกไป ก็ไม่พ้นไปจากกิเลสอกุศลธรรม ที่ตนเองมี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเห็นผิด การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส สูงสุดเป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม, ผู้ได้ฟัง ได้ศึกษา ย่อมมีความเข้าใจไปตามลำดับ พระธรรม เป็นประโยชน์ทุกกาลสมัย แต่จะเป็นประโยชน์เฉพาะสำหรับบุคคลผู้ที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรม มีศรัทธาที่จะฟัง เท่านั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์แก่บุคคลนอกนี้ ซึ่งควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
.... หากปัญญาเจริญ ความเห็นถูกเกิดขึ้นจะไม่มีการแบ่งนิกาย เพราะพระธรรมเป็น
สัจจะ ความจริงหนึ่งเดียว....
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณ Paderm และคุณ Khumpan ค่ะ ที่กรุณาให้คำ
อธิบายอย่างชัดเจนอยู่เสมอ...
* * * ------------------------ * * *
กราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ
และ
ขออนุโมทนาบุญกับใจดีดีที่เมตตาครับ
* * * ---------------------------------------------- * * *
เรียนถามท่านผู้รู้
การสังคยานาครั้งที่ 1 เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วนาน
เท่าไร ขอบพระคุณอย่างสูง
เรียนความเห็นที่ 10 ครับ
การสังคายนาครั้งที่ 1
ปฐมสังคายนา : หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 3 เดือน ประธานสงฆ์ : พระมหากัสสปเถระ มีพระอุบาลีเป็นผู้เรียบเรียงสวดพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้เรียบเรียงสวดพระสูตรและพระอภิธรรม ผู้เข้าร่วมประชุมสังคายนา : พระอรหันตขีณาสพจำนวน 500 รูป
องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าอชาตศัตรู
เหตุปรารภในการทำสังคายนา : พระสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย
สถานที่ประชุมทำสังคายนา : ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต เมือง
ราชคฤห์
ระยะเวลาในการประชุม : กระทำอยู่ 7 เดือนจึงสำเร็จ
พระธรรมคือความจริง เป็นหนึ่ง ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เพราะไม่มี "ตัวตน" ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีอกุศล ก็จะไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการแตกแยก ในครั้งพุทธกาล
พระภิกษุชาวโกสัมพีทะเลาะกัน มีความเห็นไม่ตรงกัน ขนาดพระพุทธเจ้ามาห้ามก็ยัง
ไม่ฟัง พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปอยู่ในป่า มีช้างคอยดูแล นี้แสดงให้เห็นกิเลสของ
ปุถุชนที่มีทุกยุคทุกสมัยค่ะ