[เล่มที่ 72] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 428
เถราปทาน
ยสวรรคที่ ๕๖
นทีกัสสปเถราปทานที่ ๒ (๕๕๒)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระนทีกัสสปเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 72]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 428
นทีกัสสปเถราปทานที่ ๒ (๕๕๒)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระนทีกัสสปเถระ
[๑๔๒] ข้าพเจ้าปฏิเสธความเป็นผู้มียศ สูงแล้ว บวชเป็นดาบส ถือเอาผลมะม่วงสุกอัน มีรสเลิศ ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนาม ว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในโลก ผู้คงที่ ผู้เป็นพระศาสดา ซึ่งกำลังเสด็จจาริกไป เพื่อ บิณฑบาต.
ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าได้อุปบัติเป็น จอมเทวดา เป็นนราสพ ผู้เป็นใหญ่ในโลก ได้ ดำรงตำแหน่งอันมั่นคง ครั้นละโลกนั้นแล้ว ก็ เป็นผู้มีชัยในเบื้องหน้า.
ในแสนกัปแต่กัปนี้ ข้าพเจ้าได้ถวาย ผลไม้ใดไว้ ในครั้งนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการ ถวายผลไม้อันมีรสเลิศ.
ข้าพเจ้า ได้เผากิเลสทั้งหลายชิ้นแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่.
ข้าพเจ้าได้เป็นผู้มาดีแล้วแล คำสอน ของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 429
ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระนทีกัสสปเถระ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ไว้ ด้วย ประการฉะนี้แล.
จบนทีกัสสปเถราปทาน
๕๕๒. อรรถกถานทีกัสสปเถราปทาน
พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๒ ดังต่อไปนี้:-
อปทานของท่านพระนทีกัสสปเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตรสฺส ภวคโต ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพ นั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิด ในเรือนอันมีสกุล บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งได้มองเห็นพระศาสดาเสด็จไป บิณฑบาตแล้ว มีใจเลื่อมใส ได้น้อมถวายผลมะม่วงผลหนึ่ง มีสีดุจมโนศิลา ซึ่งบังเกิดผลครั้งแรก ของต้นมะม่วงที่ตนเองปลูกไว้. ด้วยบุญกรรมอันนั้น เขาจึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษย์โลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิด เป็นน้องชายของท่านอุรุเวลกัสสปะ. ในตระกูลพราหมณ์ ในแคว้นมคธะ ไม่ ปรารถนาอยู่เป็นฆราวาส เพราะมีอัธยาศัยเพื่อออกจากทุกข์ จึงบวชเป็น พระดาบสได้พร้อมกับพวกพระดาบสจำนวน ๓๐๐ คน ช่วยกันสร้างอาศรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 430
อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. ได้มีสมัญญาว่า นทีกัสสปะ เพราะอาศัยอยู่ใกล้ฝั่ง แม่น้ำ และเพราะมีโคตรว่ากัสสปะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานอุปสมบท ด้วยความเป็นเอหิภิกขุแก่เขาพร้อมทั้งบริษัทด้วย. นทีกัสสปะนั้น ดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยพระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตรของพระผู้มี พระภาคเจ้า ณ คยาสีสประเทศ.
ในเรื่องนั้น มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้ :- พระศาสดาทรงประทาน อนุญาตให้ยสกุลบุตรได้บวชแล้ว ได้เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเพื่อทรมานชฎิล ๓ พี่น้อง ณ อุรุเวลาประเทศ. ก็โดยสมัยนั้นแล ชฎิล ๓ พี่น้องคือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะและคยากัสสปะ ย่อมอยู่อาศัยในอุรุเวลประเทศ บรรดา ชฎิลทั้ง ๓ นั้น อุรุเวลกัสสปชฎิล เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า เป็นผู้เลิศ เป็น ประมุข เป็นปาโมกข์ ของพวกชฎิล ๕๐๐ คน, นทีกสัสปชฎิล เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า เป็นผู้เลิศ เป็นประมุข เป็นปาโมกข์ ของพวกชฎิล ๓๐๐ คน, คยากัสสปชฎิลก็เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า เป็นผู้เลิศ เป็นประมุข เป็นปาโมกข์ ของพวกชฎิล ๒๐๐ คน. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังอาศรม ของอุรุเวลกัสสปชฎิล ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นว่า กัสสปะ ถ้าท่านไม่มีความหนักใจแล้วไซร้ เราจะขอพักอาศัยอยู่ที่โรงไฟนี้ สักราตรีหนึ่งเถิด. อุรุเวลกัสสปะ กล่าวว่า มหาสมณะ เราไม่มีความหนักใจ อะไรเลย แต่ว่า นาคราชดุร้าย มีฤทธิ์ มีพิษ มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่ในโรงไฟ นั้น เขาอย่าเบียดเบียนท่านเลย, แม้ถึงวาระที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นอีก ฯลฯ แม้ถึงวาระที่ ๓ ฯลฯ เขาอย่าเบียดเบียน ท่านเลย พระศาสดาตรัสว่า ถึงอย่างไร เขาก็ไม่เบียดเบียนเราดอก กัสสปะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 431
ขอท่านจงอนุญาตโรงไฟให้เถิด. อุรุเวลกัสสปะกล่าวว่ามหาสมณะ ตามใจ ท่าน ท่านจงอยู่ตามสบายเถิด. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จ เข้าไปยังโรงไฟ ทรงปูลาดสันถัดหญ้า ประทับนั่ง คู้บัลลังก์ ทรงตั้งพระกาย ตรง ดำรงพระสติไว้เฉพาะหน้าอย่างนั้นคง. นาคราชนั้น ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปแล้ว เดือดดาลใจ จึงบังหวนควัน ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงมีพระดำริว่า ถ้า อย่างไรเราพึงครอบงำเดชด้วยเดชให้จรดผิวหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อใน กระดูกของนาคราชนี้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรุงแต่งอิทธาภิ- สังขารเช่นนั้น ทรงบังหวนควันแล้ว. ลำดับนั้นแลนาคราชนั้น ไม่สามารถ จะอดทนความลบหลู่ได้โพลงไฟขึ้นแล้ว. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงเข้า เตโชกสิณโพลงไฟขึ้นแล้ว.
โรงไฟมีกองไฟ ๒ กองลุกโพลง ดุจแสงพระอาทิตย์ ลุกโชติช่วง โพลงไปทั่ว. ลำดับนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้น พากันแวดล้อมโรงไฟแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ชาวเราเอ๋ย! พระมหาสมณะผู้มีพระรูปพระโฉมอันแสนจะ งดงาม กำลังถูกนาคราชเบียดเบียนอยู่. ลำดับนั้นแล เมื่อราตรีนั้นผ่านไป พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงใช้เดชครอบงำเดชของนาคราชนั้น จนจรดถึง ผิว หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และเยื่อในกระดูกแล้วจับใส่ในบาตร แสดงให้ อุรุเวลกัสสปชฎิลได้เห็นประจักษ์แล้ว. ตรัสว่า กัสสปะ นาคราชของท่านนี้ ได้ถูกเราใช้เดชครอบงำเดชจนหมดฤทธิ์แล้ว. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะนี้ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากนักหนา จึงได้ใช้เดชครอบงำเดชของนาคราชที่ดุร้ายมีฤทธิ์ มีพิษ มีพิษร้ายแรงนี้ได้ ถึงกระนั้น ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 432
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ใกล้แม่น้ำ เนรัญชราได้ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฎิลว่า กัสสปะ ถ้าว่าความไม่หนักใจ มีอยู่แก่ท่านไซร้ วันนี้ เราจะขอพักอาศัยอยู่ ณ ที่โรงไฟ.
อุรุเวลกัสสปะกล่าวว่า มหาสมณะ ข้าพเจ้าไม่มีความหนักใจแต่อย่างไรเลย ข้าพเจ้าผู้ ประสงค์ความผาสุก จึงห้ามท่านว่า นาคราชดุร้าย มีฤทธิ์ มีพิษ มีพิษร้ายนี้อยู่ในที่นั้น นาคราชนั้น อย่าเบียดเบียนท่านเลย.
พระศาสดาตรัสว่า ถึงอย่างไร นาคราช ก็ไม่พึงเบียดเบียนเราแน่ กัสสปะ ขอท่านจง อนุญาตโรงไฟให้เราเถิด.
พระศาสดาทรงทราบว่า อุรุเวลกัสสปะ นั้น อนุญาตให้แล้ว ไม่ทรงหวาดกลัว ก้าวล่วง เสียได้ซึ่งภัย เสร็จเข้าไปแล้ว.
นาคราช พอได้เห็นพระฤาษีเจ้า (พระพุทธเจ้า) เข้าไปจึงเดือดดาลใจ บังหวนควันแล้ว พระศาสดา ทรงมีพระหทัยอันสม่ำเสมอ มีน้ำ พระทัยเยี่ยมยอด แม้ (จะถูก) นาคราชในร่าง มนุษย์ บังหวนควันในที่นั้นก็ตาม.
ส่วนนาคราชไม่สามารจะอดกลั้น ต่อ ความลบหลู่ได้ ได้บังหวนควันโพลงไฟทั่วแล้ว. พระศาสดาทรงเป็นผู้ฉลาดอย่างยอดเยี่ยมในเตโซ- ธาตุกสิน ได้ทรงบังหวนควันจนโพลงไฟทั่วแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 433
โรงไฟมีเปลวไฟโพลงของทั้งสองฝ่าย ลุกโพลง โชติช่วง ดุจแสงพระอาทิตย์. พวกชฎิลพากัน พูดว่า ชาวเราเอ๋ย! พระมหาสมณะ ผู้มีรูปงาม ยิ่ง กำลังถูกนาคราชเบียดเบียนอยู่.
พอราตรีนั้นผ่านไป เปลวไฟของนาคราช นั้นก็ถูกเบียดเบียน. ส่วนพระศาสดาก็คงทรงมี พระฤทธิ์อยู่ เปลวไฟจึงมีวรรณะมากมายที่พระกายของ พระอังคีรส. พระศาสดา ทรงให้นาคาราชขดลง ในบาตรแล้ว แสดงแก่พราหมณ์ว่า กัสสปเอ่ย นี่อย่างไร นาคราชของท่านถูกเราใช้เดชทำลาย เดชของนาคราชนั้นแล้วแล.
ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปฎิล เลื่อมใสยิ่งแล้วในอิทธิปาฏิหาริย์ นี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ พระมหาสมณะ ขอพระองค์จงประทับอยู่ในที่นี้เท่านั้นเถิด ข้าพเจ้า จักถวาย ภัตรเป็นประจำแก่พระองค์.
จบปาฏิหาริย์ครั้งแรก
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากอาศรมของอุรุเวลกัสสปชฎิลนัก. ลำดับนั้นแล ท้าวมหาราช
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 434
ทั้ง ๔ เมื่อปฐมยามแห่งราตรีล่วงไปแล้ว มีรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้น ให้สว่างไสวแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวาย บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ยืนอยู่ทั้ง ๔ ทิศ เปรียบเหมือนกองไฟใหญ่. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล พอราตรีนั้นล่วงพ้นไป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ภัตรสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าแต่ พระมหาสมณะ เมื่อปฐมยามแห่งราตรีล่วงไปแล้ว ใครหนอแลมีรัศมีงดงาม ยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสวแล้ว จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระองค์ ครั้น เข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระองค์แล้ว ได้ยืนอยู่ในทิศทั้ง ๔ เปรียบด้วย กองไฟอันใหญ่ยิ่ง. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ท่านเหล่านั้นคือท้าวมหาราช ทั้ง ๔ เข้ามาหาเราก็เพื่อฟังธรรม. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความ คิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่งท้าวมหาราชทั้ง ๔ เข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรม ถึงอย่างไร ก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้วประทับ อยู่ในราวป่านั้นนั่นแล.
จบปาฏิหาริย์ครั้งที่สอง
ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะ เมื่อปฐมยามแห่งราตรีล่วงพ้น ผ่านไป มีรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสวเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับยืน ณ ที่สมควรด้านหนึ่งเปรียบเหมือนกองไฟใหญ่ มีรัศมีมากกว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 435
และประณีตกว่ารัศมีสีแสงที่มีมาก่อน. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล เมื่อ ราตรีนั้นล่วงผ่านไป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ภัตร สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าแต่พระมหาสมณะ ใครกันหนอแล เมื่อปฐมยามแห่ง ราตรีผ่านไป มีรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นไห้สว่างไสว เข้าไปเฝ้า พระองค์ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ถวายบังคมพระองค์ ยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้าง หนึ่ง เปรียบเหมือนกองไฟใหญ่ยิ่งมีรัศมีมากกว่า และประณีตกว่ารัศมีสีแสง ที่มีมาก่อน. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ผู้นั้นคือท้าวสักกะเทวานมินทะ เข้า มาหาเราก็เพื่อฟังธรรม. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่งแม้ท้าวสักกะเทวานมินทะ ก็ยังเข้ามาเฝ้าเพื่อฟังธรรม ถึงอย่างไรก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ประทับอยู่ที่ราวป่านั้นนั่นแล.
จบปาฏิหาริย์ครั้งที่สาม
ลำดับนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อปฐมยามแห่งราตรีผ่านพ้นไป ทรงมีรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสวแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคเจ้า ครั้น เข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เปรียบเหมือนกองไฟอันใหญ่ยิ่ง มีรัศมีมากกว่า และประณีต กว่าแสงสีที่มีมาก่อน. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลเมื่อราตรีนั้นผ่านพ้น ไป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้กราบทูลกะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 436
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ภัตรสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ข้าแต่พระมหาสมณะ ใครหนอแล เมื่อปฐมยามแห่งราตรี ผ่านไปแล้ว ทรงมีพระรัศมีงดงามยิ่งนัก ยังราวป่าทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้า ไปเฝ้าพระองค์ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระองค์แล้วได้ยืน ณ ที่สมควร ข้างหนึ่ง เปรียบเหมือนกองไฟอันใหญ่ยิ่ง มีรัศมีมากกว่าและประณีตกว่า แสงสีที่มีมาก่อน พระศาสดาตรัสว่า กัสสป ผู้นั้นคือท้าวสหัมบดีพรหม เข้า มาหาเรา เพื่อฟังธรรม. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะ ทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่งแม้ท้าวสหัมบดีพรหม ยังเข้าไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมเลย ถึงอย่างไรก็คงไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนเรา แน่นอน. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสวยภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิล แล้ว ประทับอยู่ที่ราวป่านั้นนั่นแล.
จบปาฏิหาริย์ครั้งที่สี่
ก็โดยสมัยนั้นแล มหายัญ ได้ตั้งขึ้นเฉพาะแล้วเพื่ออุรุเวลกัสสปชฎิล และชาวแคว้นอังคะและมคธะทั้งสิ้น ตั้งใจถือเอาขาทนียะโภชนียะเป็นอันมาก มุ่งหน้าไป. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล ได้มีความคิดว่า บัดนี้มหายัญ ตั้งขึ้นแล้วเพื่อเรา ชาวแคว้นอังคะและมคธะทั้งสิ้น จักถือเอาขาทนียะ โภชนียะเป็นอันมากมุ่งหน้าไป ถ้าว่า พระมหาสมณะ จักกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ในหมู่มหาชน ลาภและสักการะจักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะ ลาภและสักการะ ของเราจักเสื่อมไป โอ ทำไฉน พระมหาสมณะจะไม่พึงมาในวันพรุ่งนี้. ลำดับ นั้นแล พระมีผู้พระภาคเจ้า ได้ทรงทราบถึงความปริวิตกทางใจ ของอุรุเวล-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 437
กัสสปชฎิลด้วยใจแล้ว เสด็จไปยังอุตตรกุรุ ทรงนำเอาบิณฑบาตมาจากที่ นั้นแล้ว เสวยใกล้สระอโนดาตแล้ว ได้ทรงกระทำการพักผ่อนเวลากลางวัน ในที่นั้นนั่นแหสะ. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลครั้นราตรีนั้นล่วงผ่าน ไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงได้กราบทูล กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ภัตรเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ข้าแต่พระมหาสมณะ เพราะเหตุไรหนอ เมื่อวานนี้พระองค์ จึงไม่เสด็จมา อนึ่งพวกเรานึกถึงพระองค์ เพราะเหตุไรหนอ พระมหาสมณะ จึงไม่เสด็จมา พวกเราได้แบ่งขาทนียะและโภชนียะวางไว้สำหรับพระองค์แล้ว. พระศาสดาตรัสว่า กัสสป เธอได้มีความคิดอย่างนี้มิใช่หรือว่า บัดนี้แล มหายัญ เกิดขึ้นเฉพาะเพื่อเรา และชาวแคว้นอังคะและมคธะทั้งสิ้น จักถือเอาขาทนียะ โภชนียะเป็นอันมากมุ่งหน้าไป ถ้าว่าพระมหาสมณะจักกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ในหมู่มหาชนไซร้ ลาภและสักการะของพระมหาสมณะก็จักเจริญยิ่งขึ้น ส่วน ลาภและสักการะของเราก็จักเสื่อมสิ้นไป โอ ทำไฉน พระมหาสมณะ จะไม่ พึงมาในวันพรุ่งนี้ ดังนั้น ดูก่อนกัสสป เรานั้นแล ได้ทราบความปริวิตก ทางใจของท่านด้วยใจ จึงไปยังอุตตรกุรุ นำเอาบิณฑบาตมาจากที่นั้นแล้ว ฉันใกล้สระอโนดาต ได้ทำการพักผ่อนกลางวันในที่นั้นนั่นเอง. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพ มาก จึงจักทราบชัดถึงจิตใจได้ด้วยใจ ชื่อเห็นปานนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่เป็น พระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสวยภัตร ของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ประทับอยู่ ณ ราวป่านั้นนั่นแล.
จบปาฏิหาริย์ครั้งที่ห้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 438
ก็โดยสมัยนั้นแล ผ้าบังสุกุลเกิดขึ้นแล้ว แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงมีพระดำริว่าเราจะพึงชักผ้าบังสุกุล ในที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะ ได้ทรงทราบถึง ความปริวิตกแห่งพระทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจแล้ว จึงใช้มือขุด สระโบกขรณีเสร็จแล้ว ก็กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงซักผ้าบังสุกุลในที่สระโบกขรณีนี้เถิด. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงมีพระดำริว่า เราพึงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะ ได้ทรงทราบความ ปริวิตกแห่งใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจแล้ว จึงทรงยกแผ่นศิลาใหญ่ มาวางไว้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง ขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่แผ่นศิลานี้เถิด. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ ทรงมีพระดำริว่า เราจะพึงห้อยตากผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล เทพยดาผู้สิงสถิตอยู่ ณ ที่นี้ไม้รกฟ้า ได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของ พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจแล้ว จึงน้อมเอากิ่งไม้ลงมาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงตากผ้าบังสุกุลไว้ที่กิ่งไม้นี้. ครั้ง นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงมีพระดำริว่า เราพึงเปลี่ยนผ้าบังสุกุลใน ที่ไหนหนอแล. ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะ ได้ทรงทราบความ ปริวิตกแห่งใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจแล้ว จึงได้ยกเอาแผ่นศิลาใหญ่ มาวางไว้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง เปลี่ยนผ้าบังสุกุล ณ ที่นี้เถิด. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลพอเมื่อราตรี นั้นผ่านพ้นไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 439
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงกาลเวลา แล้ว ภัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าแต่พระมหาสมณะ เพราะเหตุไรในกาล ก่อนโบกขรณีนี้ไม่มีในที่นี้ เย็นนี้จึงมีสระโบกขรณีในที่นี้ได้ ก้อนศิลา นี้ในกาลก่อนไม่มีวางไว้ ใครยกเอาก้อนศิลานี้มาวางไว้ กิ่งแห่งต้นรกฟ้า นี้ในกาลก็มิได้น้อมลง เย็นนี้ก็มีกิ่งไม้น้อมลงแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป ผ้าบังสุกุลได้เกิดขึ้นแก่เราในที่นี้ ดูก่อนกัสสป เราได้มีความ ดำรินี้ว่า เราจะพึงซักผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล กัสสป ลำดับนั้นแล ท้าว สักกะเทวานมินทะ ได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจ จึงใช้ ฝ่ามือขุดสระโบกขรณีแล้ว ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ พระผู้มีพระภาคเจ้าจงซักผ้าบังสุกุลในที่นี้เถิด. ดูก่อนกัสัสป เย็นนี้ เท1า ซึ่งมิใช่มนุษย์ใช้ฝ่ามือขุดเป็นสระโบกขรณี ดูก่อนกัสสป เราได้มีความ ดำริว่า เราจะพึงขยำผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล ดูก่อนกัสสป ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะ ได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจ จึงได้ เอาแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้ กราบทูล ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี พระภาคเจ้า จงขยำผ้าบังสุกุล ณ ที่แผ่นศิลานี้เถิด ดูก่อนกัสสป เย็นวานนี้ เทวดามิใช่มนุษย์จึงได้วางแผ่นศิลาไว้แล้ว ดูก่อนกัสสป เราได้มีความดำริว่า เราจะพึงตากผ้าบังสุกุลในที่ไหนหนอแล ดูก่อนกัสสป ลำดับนั้นแล เทพยดา ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นรกฟ้า ได้ทราบถึงความปริวิตกแห่งใจของเราด้วยใจแล้ว จึงน้อมเอากิ่งไม้ลงมาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงห้อยตาก ณ ที่กิ่งไม้นี้เถิด ก็ต้นรกฟ้านั้นสูงแค่มือเอื้อมถึง. ดู ก่อนกัสสป เราได้มีความดำริว่าเราจะพึงเปลี่ยนผ้าบังสุกุล ณ ที่ไหนหนอแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 440
ดูก่อนกัสสป ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะเทวานมินทะได้ทราบถึงความปริวิตก แห่งใจของเราด้วยใจ ยกเอาแผ่นศิลาใหญ่มาวางไว้แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปลี่ยนผ้าบังสุกุล ณ ที่นี่เถิด ดูก่อนกัสสป แผ่นศิลานี้เทวดามิใช่มนุษย์ยกมาวางไว้ ลำดับนั้นแล ท่าน อุรุเวลกัสสปได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ซึ่งแม้ท้าวสักกะเทวานมินทะก็ยังมาทำการช่วยเหลือถึงที่ ถึงอย่างไรก็ไม่เป็น พระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสวยภัตรของ อุรุเวลกัสสปชฎิลแล้วประทับอยู่ ณ ราวป่านั้นนั่นแล.
ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล พอเมื่อราตรีนั้นผ่านพ้นไปแล้ว จึง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นพอเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงกราบทูลภัตกาลแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณเจ้า บัดนี้ถึงภัตกาลแล้ว ภัตร เสร็จเรียบร้อยแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เธอไปก่อนเถอะแล้ว เราจะตามไป ดังนี้แล้ว เสด็จส่งท่านอุรุเวลกัสสปชฎิล. ชมพูทวีป ย่อม ปรากฏมีต้นหว้า จึงทรงถือเอาผลจากต้นหว้านั้นแล้ว รีบเสด็จมาประทับ นั่ง ณ ที่โรงไฟก่อนกว่า. อุรุเวลกัสสปชฎิลพอได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่ง ณ ที่โรงไฟจึงกราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะ พระองค์เสด็จมาโดยหนทางไหน พระเจ้าข้า ข้าพระองค์หลีกไปก่อนกว่า พระองค์ แต่ทำไม พระองค์จึงมาถึงก่อนกว่าข้าพระองค์ แล้วยังประทับนั่ง ณ ที่โรงไฟ (อย่างสำราญเสียอีก). พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เราส่ง เธอ ณ ที่นั่นแล้ว ชมพูทวีปเกิดมีต้นหว้าใหญ่ เราจึงเก็บผลหว้าจากต้นหว้า นั้นแล้ว มานั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่า ดูก่อนกัสสป ผลหว้านี้แล สมบูรณ์ด้วยสี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 441
สมบูรณ์ด้วยกลิ่น สมบูรณ์ด้วยรสชาติ ถ้าเธอประสงค์ ก็จงบริโภคเถิด. อุรุเวลกัสสปกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ พอแล้ว พระองค์เท่านั้น สมควรแก่ผลไม้นั้น พระองค์เท่านั้น จงบริโภคผลไม้นั้นเถิด. ลำดับนั้นแล อุรุเวสกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพ มากแล ทรงส่งเราให้ไปก่อนกว่าแล้ว ชมพูทวีปก็ปรากฏมีต้นหว้าขึ้น เก็บ ผลไม้จากต้นหว้านั้น มาถึงประทับนั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่าเรา ถึงอย่างไรก็ คงไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวย ภัตรของอุรุเวลกัสสปชฎิลแล้ว ประทับอยู่ ณ ราวป่านั้นแล.
ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล เมื่อพอว่าราตรีนั้นล่วงไปแล้วจึง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงได้กราบทูลภัตกาลให้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ บัดนี้ถึงภัตกาลแล้ว ภัตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เธอจงไปก่อน เราจะตามไปแล้วทรงส่งอุรุเวลกัสสปชฏิลไป ชมพูทวีปปรากฏมีต้นหว้าขึ้น ต้นมะม่วงมีไม่ไกลต้นหว้านั้นนัก ฯลฯ ต้นมะขามป้อมมีไม่ไกลต้นหว้านั้น นัก ฯลฯ ต้นสมอไทยมีไม่ไกลต้นหว้านั้นนัก ฯลฯ จึงไปยังดาวดึงส์ ถือเอา ดอกปาริฉัตตกะมาประทับนั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่า. อุรุเวลกัสสปชฎิล ได้เห็น แล้วแลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับนั่ง ณ โรงไฟ ครั้นได้เห็นแล้วจึงได้ กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ พระองค์เสด็จมาโดย หนทางไหน ข้าพระองค์หลีกไปก่อนกว่าพระองค์ พระองค์นั้นกลับมาประทับ นั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่าข้าพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เราส่ง เธอในที่นั้นแล้ว ก็ไปยังดาวดึงส์ ถือเอาดอกปาริฉัตตกะ มานั่ง ณ โรงไฟ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 442
ก่อนกว่า ดูก่อนกัสสป ดอกปาริฉัตตกะนี้แล สมบูรณ์ด้วยสี สมบูรณ์ด้วย กลิ่น ถ้าเธอประสงค์ ก็จงถือเอาเถิด. อุรุเวลกัสสป กราบทูลว่า ข้าแต่ พระมหาสมณะ พอแล้ว พระองค์เท่านั้น สมควรแก่ดอกไม้นั้น พระองค์ เท่านั้น จงถือเอาดอกไม้นั้นเถิด. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความ คิดว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากมายนักแล ทรงส่งเราไป ล่วงหน้าก่อนแล้ว พระองค์เสด็จไปยังดาวดึงส์ เลือกเก็บดอกปาริฉัตตกะแล้ว มาประทับนั่ง ณ โรงไฟก่อนกว่าเราอีก ถึงอย่างไรก็คงไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนเราแน่.
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้น มีความประสงค์เพื่อจะทำการ บูชาไฟ แต่ไม่อาจเพื่อจะฝ้าฟืนได้. ลำดับนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นจึงได้มี ความคิดว่า ต้องเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะเป็นแน่ อย่างมิต้องสงสัย พวกเราจึงไม่อาจจะฝ่าฟืนได้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัส กะอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นว่า ดูก่อนกัสสป พวกของเธอจงฝ่าฟืนเถิด. อุรุเวลกัสสปกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ พวกชฎิลจะฝ่าฟืน. พวกชฎิลได้ฝ่าฟืน ๕๐๐ ท่อนครั้งเดียวเท่านั้น. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมีอานุภาพมากนักแล ทรงบันดาลให้ พวกเราฝ่าฟืนทั้งหลายได้ ถึงอย่างไรก็คงจะไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนเรา แน่.
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้น มีความประสงค์จะบูชาไฟแต่ ไม่อาจเพื่อจะก่อไฟได้. ลำดับนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้น ได้มีความคิดว่า คง จะเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะแน่นอน อย่างมิต้องสงสัย พวกเราจึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 443
ไม่อาจเพื่อจะก่อไฟได้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสกะ อุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นว่า ดูก่อนกัสสป ไฟจงลุกโพลงขึ้นเถิด. อุรุเวลกัสสป กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ ขอไฟจงลุกโพลงขึ้นเถิด. พวกชฎิลได้ให้ กองไฟ ๕๐๐ กองลุกโพลงขึ้นแล้วคราวเดียวเท่านั้น. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความคิดนี้ว่า พระมหาสมณะ ทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมีอานุ- ภาพมากนักแล ทรงสามารถบันดาลแม้กระทั่งไฟให้ลุกโพลงขึ้นได้ ถึงอย่าง ไรก็คงไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นบูชาไฟแล้ว แต่ไม่สามารถเพื่อ จะทำการดับไฟได้. ลำดับนั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้นได้มีความคิดนี้ว่า คง เป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะอย่างมิต้องสงสัย พวกเราจึงไม่สามารถ เพื่อจะทำการดับไฟได้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสกะ อุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นว่า ดูก่อนกัสสป พวกชฎิลจงดับไฟเถิด. อุรุเวลกัสสป กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ พวกชฎิลจงดับไฟเถิด. พวกชฎิลพากันดับ ไฟ ๕๐๐ กองคราวเดียวเท่านั้น. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิลได้มีความ คิดนี้ว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมีอานุภาพมากนักแล ซึ่งบันดาล ให้เราดับไฟได้. ถึงอย่างไรก็คงไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
ก็โดยสมัยนั้นแล ในราตรีที่เย็นหนาว ในสมัยที่มีหิมะตกในวันที่ หนาวที่สุด ๘ วันในฤดูหิมะตก พวกชฎิลเหล่านั้น ต่างก็พากันอาบน้ำโผล่ขึ้น บ้าง ดำลงบ้างในแม่น้ำเนรัญชรา กระทำการโผล่ขึ้นและดำลงบ้าง. ลำดับ นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ทรงเนรมิตเชิงกรานก่อไฟขึ้นประมาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 444
๕๐๐ ที่ซึ่งพวกชฎิลเหล่านั้นต่างก็พากันผิงไฟ. ลำดับนั้นแล พวกชฎิล เหล่านั้นจึงคิดว่า คงจะเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะเป็นแน่มิต้องสงสัย จึงเกิดมีการเนรมิตเชิงกรานก่อไฟขึ้น. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล ได้ มีความคิดขึ้นว่า พระมหาสมณะ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากนักแล ทรงเนรมิต เชิงกรานก่อไฟขึ้นมาก ถึงอย่างไรก็คงไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
ก็โดยสมัยนั้นแล มหาเมฆก้อนใหญ่ตกลงมา มิใช่ตามฤดูกาล ได้ มีน้ำท่วมมาก พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในประเทศถิ่นที่ใด ประเทศ ถิ่นที่นั้น ก็ไม่มีน้ำท่วม. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริ ว่า ไฉนหนอเราจะพึงยังน้ำนั้นให้เป็นขอบสูงในรูปในทิศโดยรอบได้. ลำดับ นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงยังน้ำนั้นให้เป็นขอบสูงขึ้นไปในทิศโดย รอบ เสด็จจงกรมตรงกลางที่มีพื้นเป็นธุลีฟุ้งขึ้น. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสป ชฎิลคิดว่า พระมหาสมณะ อย่าได้ถูกน้ำท่วมทับพัดพาไปเลย จึงได้ไปยัง ถิ่นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่พร้อมกับพวกชฎิลมากมาย โดยมีเรือเป็น พาหนะ. อุรุเวลกัสสปชฎิลได้เห็นแล้วแล ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ ผู้ทรงเนรมิตน้ำนั้นให้เป็นขอบสูงขึ้นโดยรอบ ทรงจงกรมตรงกลางที่มีพื้นเป็น ฝุ่นฟุ้งขึ้น. ครั้นได้เห็นแล้ว จึงได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ พระมหาสมณะ นี่พระองค์หรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนกัสสป นี้เราเอง แล้วเสด็จเหาะขึ้นสู่เวหาส ได้เสด็จขึ้นไปพร้อมกับเรือ ลำดับ นั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล ได้มีความคิดว่า พระมหาสมณะทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมีอานุภาพมากนักแล ซึ่งแม้กระทั่งน้ำก็ยังไม่พัดพาไปได้ ถึงอย่างไร ก็คงไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 445
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงมีพระดำริว่า เป็นเวลา นานหนอ จึงจักมีโมฆบุรุษเช่นนี้ โดยที่คิดว่าพระมหาสมณะ. ทรงมีฤทธิ์ มาก ทรงมีอานุภาพมากนักแล ถึงอย่างไรก็คงไม่เป็นพระอรหันต์ เช่น กับเราแน่ดังนี้ ถ้ากระไร เราพึงทำชฎิลนี้ให้เกิดความสังเวช. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกะอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้นว่า ดูก่อนกัสสป เธอ ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งยังไม่ได้เข้าถึงแม้อรหัตตมรรคด้วย เธอจัก เป็นพระอรหันต์ หรือว่า จักเข้าถึงอรหัตตมรรค ด้วยปฏิปทาใด ปฏิปทาแม้ นั้นของเธอยังไม่มีเลย. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล ได้ซบศีรษะ ลงที่พระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้กราบทูลกับพระผู้ มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์พึงได้การ บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกัสสป เธอแล เป็นนายกผู้คอยแนะนำ เป็นผู้เลิศเป็นประมุข เป็น ประธานของพวกชฎิล ๕๐๐ คน เธอจงบอกลาพวกชฎิลเหล่านั้นเสียก่อน พวก ชฎิลเหล่านั้นจักได้ทำตามที่เธอสำคัญเข้าใจได้. ลำดับนั้นแล อุรุเวลกัสสปชฎิล จึงเข้าไปหาพวกชฎิลเหล่านั้น ครั้นเข้าไปหาแล้วจึงได้กล่าวกะชฎิลเหล่านั้นว่า ชาวเราเอ่ย เราต้องการจะประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ ขอพวก ท่านจงทำตามที่ท่านผู้เจริญเข้าใจเถิด. พวกชฎิลกล่าวว่า ชาวเราเอ่ย ตั้งแต่ กาลนานมาแล้ว พวกเราได้มีความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งในพระมหาสมณะ ถ้า ท่านผู้เจริญจักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะไซร้ แม้พวกเราทั้งหมด ก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะนั้นด้วยเหมือนกัน. ลำดับนั้นแล ชฎิลเหล่านั้นจึงปล่อยให้สิ่งที่เจือปนด้วยเส้นผม ชฎา สาแหรก เครื่องบูชาไฟ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 446
ลอยไปในน้ำแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วจึงซบ ศีรษะลงแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอ จงเป็น ภิกษุมาเถิด แล้วตรัสต่อไปอีกว่า ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว พวกเธอจง ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด. พระวาจานั้นแลได้ เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
นทีกัสสปชฎิล ได้เห็นแล้วซึ่งมวยผม ชฎา สาแหรก เครื่องบูชา ไฟ ลอยน้ำมา ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงมีความคิดว่า คงจะมีอันตรายแก่ พระพี่ชายของเราแน่ จึงส่งชฎิลไปสืบว่า ท่านจงไปให้รู้เรื่องพี่ชายของเราให้ ได้ดังนี้ และตนเองพร้อมกับชฎิล ๓๐๐ คน ได้ไปหาท่านอุรุเวลกัสสป ครั้นเข้าไปหาแล้ว จึงกล่าวกะท่านอุรุเวลกัสสปนั้นว่า พี่กัสสป การบวชนี้ เป็นสิ่งประเสริฐดีหรือ. ท่านอุรุเวลกัสสปตอบว่า ใช่ การบวชแบบนี้ เป็น สิ่งประเสริฐแน่. ลำดับนั้นแลพวกชฎิลเหล่านั้นจึงได้เอามวยผม ชฎา สาแหรก เครื่องบูชาไฟ ลอยน้ำไปแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้า แล้ว จึงซบศีรษะลงแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงได้ กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วตรัสอีกว่าธรรมอันเรากล่าว ไว้ดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด. พระวาจานั้นแลได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 447
คยากัสสปชฎิล ได้เห็นแล้วซึ่งมวยผม ชฎา สาแหรก เครื่องบูชา ไฟ อันลอยน้ำมา ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงได้มีความคิดว่า อันตรายจะมีแก่ พี่ชายทั้งสองของเราแน่นอน แล้วได้ส่งชฎิลไปสืบให้รู้ว่า พวกท่านจงไป จงรู้เรื่องราวแห่งพี่ชายของเราดังนี้ และตนเองพร้อมด้วยพวกชฎิล ๒๐๐คน จึงพากันเข้าไปหาท่านอุรุเวลกัสสป ครั้นเข้าไปหาแล้ว จึงได้กล่าวกะท่าน อุรุเวลกัสสปนั้นว่า ข้าแต่พี่กัสสป การทำอย่างนี้ประเสริฐแล้วหรือ. ท่าน อุรุเวลกัสสป ตอบว่า ใช่แล้ว การทำอย่างนี้เป็นสิ่งประเสริฐแน่. ลำดับ นั้นแล พวกชฎิลเหล่านั้น จึงได้พากันลอยมวยผม ชฎา สาแหรก เครื่อง บูชาไฟ ในน้ำแล้ว พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว จึงได้ซบศีรษะลงแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้กราบ ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วตรัสอีกว่า ธรรมอันเรา กล่าวไว้ดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ เถิด. พระวาจานั้นแลได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
ด้วยการอธิษฐานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ วิธี จึงมีโดยนัยนี้คือ พวกชฎิล ฝ่าฟืน ๕๐๐ ท่อนไม่ออก พอฝ่าฟืนออกแล้ว ก็ ก่อไฟไม่ติด พอก่อไฟติดแล้ว จะดับไฟก็ดับ ไม่ได้ ครั้นพอดับไฟได้แล้ว ก็ทรงนิรมิต เชิงกราน ๕๐๐ ที่ให้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 448
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประ ทับอยู่ในอุรุเวลาตามความพอพระทัย ทรงพร้อม กับภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ร่วมกับปุราณชฎิล ทั้งหมด ๑,๐๐๐ คน เสร็จหลีกจาริกไปยังคยาสีสะ ประเทศ ได้ทราบว่า ในครั้งนั้น พระผู้มีพระ ภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ คยาสีสะประเทศ ได้ แม่น้ำคยาพร้อมกับภิกษุจำนวน ๑,๐๐๐
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ทั้งปวงเป็นของร้อน ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า ชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ภิกษุทั้งหลาย จักษุ เป็นของร้อน รูปทั้งหลายก็เป็นของร้อน วิญญาณ อาศัยจักษุก็เป็นของร้อน.
จักษุสัมผัสก็เป็นของร้อน ความเสวย อารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้ อันใด เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ก็ดี แม้อันนั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และเพราะ ความตาย เพราะความเศร้าโศก เพราะความคร่ำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 449
ครวญเพราะความทุกข์ เพราะความโทมนัส เพราะความคับแค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของ ร้อน.
โสตเป็นของร้อน เสียงทั้งหลายก็เป็น ของร้อน ฯลฯ ฆานะเป็นของร้อน กลิ่นทั้งหลาย ก็เป็นของร้อน ฯลฯ ลิ้นเป็นของร้อน รสก็เป็น ของร้อน ฯลฯ กายเป็นของร้อน โผฏฐัพพะก็ เป็นของร้อน ฯลฯ ใจเป็นของร้อน ธรรมทั้งหลาย ก็เป็นของร้อน
มโนวิญญาณก็เป็นของร้อน มโนสัมผัส ก็เป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์นี้เกิดขึ้น เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใดเป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ไม่สุขก็ดี แม้อันนั้น ก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟ คือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และ ความตาย เพราะความเศร้าโศก เพราะความ คร่ำครวญ เพราะความทุกข์ เพราะความโทมนัส เพราะความคับแค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของ ร้อนแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 450
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้เห็น ได้ฟังแล้วอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในจักษุ ย่อม เบื่อหน่ายในรูป ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณที่ อาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายในสัมผัสอาศัยจักษุ ความเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสแม้ อันใด เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่ สุขก็ดี ย่อมเบื่อหน่ายในความเสวยอารารมณ์ นั้น ย่อมเบื่อหน่ายในโสต ย่อมเบื่อหน่ายในเสียง ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายในกลิ่น ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายในรส ทั้งหลาย ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อม เบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะ ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในใจ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย ย่อม เบื่อหน่ายแม้ในมโนวิญญาณ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ ในมโนสัมผัส ความเสวยอารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดี เป็น ทุกข์ก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก็ดี ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในความเสวยอารมณ์นั้น เมื่อเบื่อหน่าย ย่อม คลายความกำหนัด เพราะคลายความกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณรู้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 451
หลุดพ้นแล้ว พระอริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีก เพื่อความเป็น อย่างนี้ มิได้มีอีกต่อไป ดังนี้.
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังตรัสไวยากรณ์นี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ รูปนั้น ก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นแล.
เพราะได้ฟังอาทิตตปริยายเทศนาอย่างนี้ พระนทีกัสสปเถระจึงได้ บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศ ถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตรสฺส ภควโต ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บท อคฺคผลํ คือผลอัน สูงสุด หรือ ผลที่ตนเก็บเอาในครั้งแรกแห่งต้นมะม่วงที่ตนเองได้ปลูกไว้. คำ ที่เหลือ มีเนื้อความพอที่จะกำหนดรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถานทีกัสสปเถราปทาน