เป็นธรรมดา...
โดย Noparat  20 พ.ย. 2551
หัวข้อหมายเลข 10448

ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย

ถ้าบุคคลใดไม่หยั่งรู้ถึงความจริงคือ กุศลและอกุศลของตนเอง และไม่เห็น โทษภัยของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะสั่งสมอกุศล จนทำให้อกุศลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยการหลงผิดไป ก็เพราะเหตุที่แต่ละบุคคลได้สั่งสมมาทั้งกุศลและอกุศลมากน้อยต่างกันนี่เอง ผลที่ได้รับจึงไม่เท่ากัน เป็นธรรมดา เหตุย่อมสมควรแก่ผล ดังนั้น เมื่อได้รับผลที่ไม่น่าปรารถนาก็อดทนที่จะไม่หวั่นไหว และเมื่อได้รับผลที่น่าปรารถนาก็อดทนที่จะไม่หลงระเริง ไม่เพลิดเพลิน ไม่มัวเมาค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย wannee.s  วันที่ 20 พ.ย. 2551

เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ดี ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็รู้ว่าเป็นผลของกรรมที่เราทำเอง แต่การได้รับวิบากที่ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นลาภ สักการะ หรือคำสรรเสริญใดๆ อดทนกับอารมณ์ที่น่าปรารถนาอดทนได้ยากกว่า ถ้าปราศจากปัญญา ไม่ง่ายเลยค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย เมตตา  วันที่ 20 พ.ย. 2551

เป็นธรรมดา...เหตุย่อมสมควรแก่ผล จึงต้องฟังพระธรรมต่อๆ ไปเพื่อขัดเกลากิเลส อบรมเจริญปัญญาและอบรมเจริญกุศลทุกประการ เพื่อสะสมกุศลให้มากขึ้น ค่อยๆ มีเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวันค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 20 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรื่องกรรมและผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด ในชีวิตประจำวันแต่ละบุคคลย่อมมีทั้งกรรม (กุศลกรรม และอกุศลกรรม) และได้รับผลของกรรม เมื่อได้ศึกษาก็จะมีความเข้าใจว่าขณะใดเป็นกรรม ขณะใดเป็นผลของกรรม ธรรม ควรค่าแก่การศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนกระทั่งมีความเข้าใจในเหตุและผล แล้วย่อมจะเป็นผู้ที่เบาสบาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เพราะเหตุว่า การที่จะมีทุกข์ มีสุขในแต่ละวัน หรือในวันหนึ่งวันใด ที่จะได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั้น ก็เป็นไปตามเหตุ คือ กรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ทั้งนั้น กรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่จะให้ผลเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้นเป็นไปตามความสมควรแก่เหตุ ไม่มีใครทำให้ ไม่มีใครเป็นผู้บงการ


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 20 พ.ย. 2551

จากการที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ทำให้เข้าใจความเป็นจริงของกุศลธรรมและอกุศลธรรม (ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง) ทำให้เห็นโทษภัยของอกุศล ว่า ควรละ และเห็นคุณประโยชน์ของกุศลว่า เป็นสิ่งที่ควรเจริญ ถึงแม้ว่าจะมีความเข้าใจอย่างนี้ก็ตาม แต่เพราะเราได้คุ้นเคย ได้สั่งสมอกุศลมาอย่างเนิ่นนานอกุศลเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยจึงเกิดขึ้นเป็นไป มากกว่ากุศล ดังนั้น จึงควรที่จะเห็นโทษ เห็นภัยของอกุศลที่เกิดขึ้นกับตนเอง บ่อยๆ ติเตียนตนเองบ่อยๆ เพื่อจะได้ไม่ประมาทในอกุศล แม้จะเล็กน้อยก็ตาม ดังนั้น ความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมสามารถทำให้แต่ละบุคคลดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท และไม่กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ เพราะอกุศลกรรม ให้ผลเป็นทุกข์ ครับ ..
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 5    โดย paderm  วันที่ 20 พ.ย. 2551

เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนกระทั่งมีความเข้าใจในเหตุและผล แล้วย่อมจะเป็นผู้ที่เบาสบาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เพราะเหตุว่า การที่จะมีทุกข์ มีสุขในแต่ละวัน หรือในวันหนึ่งวันใด ที่จะได้รับสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั้น ก็เป็นไปตามเหตุ คือ กรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ทั้งนั้น กรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่จะให้ผลเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น เป็นไปตามความสมควรแก่เหตุ ไม่มีใครทำให้ ไม่มีใครเป็นผู้บงการ

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย paderm  วันที่ 20 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เมื่อเข้าใจความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรมจนมั่นคงขึ้น เมื่อพบเหตุการณ์ใดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเหตุการณ์ในการทำงานหรือพบปะกับผู้คนต่างๆ ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงเป็นธรรมทั้งนั้น เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมก็จะเบาด้วยกุศล เบาด้วยความเข้าใจ เบาเพราะปัญญาเกิดขึ้น แทนที่จะหวั่นไหวไปเพราะกิเลสประการต่างๆ หงุดหงิดกับสิ่งที่ไม่เป็นดั่งใจแต่ก็จะเบาขึ้นเพราะอาศัยความเข้าใจที่เริ่มเจริญขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดต้องไม่ลืมว่าหนทางการอบรมปัญญาคือการเข้าใจธรรมที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน หวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหว อดทนหรือไม่อดทนก็ตามก็เป็นธรรมทั้งหมด ควรแก่การศึกษาให้เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

การรู้อย่างนี้คือ หนทางไปสู่การไม่หวั่นไหวอย่างแท้จริงครับ

ขออนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 7    โดย suwit02  วันที่ 20 พ.ย. 2551

สาธุ


ความคิดเห็น 8    โดย petcharath  วันที่ 20 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ajarnkruo  วันที่ 20 พ.ย. 2551

ปุถุชนนั้นยังมีความหวั่นไหวในโลกธรรม ๘ เพราะอกุศลอยู่มาก เป็นธรรมดา เพราะว่าเรายังมีกิเลสหนาแน่น แต่ถ้าปัญญาเข้าใจถูกว่า เป็นกรรมและผลของกรรม จริงๆ ไม่มีใครที่จะเสกสรรค์ปั้นแต่งสิ่งใดๆ ได้ดั่งใจนึกเลย แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องราวด้วย ขณะที่เห็นดี ได้ยินดี ได้กลิ่นดีเหล่านี้ เป็นขณะที่เป็นผลของกรรมทั้งสิ้น ขณะหลังจากนี้ก็จะเป็นการสร้างกรรมใหม่ จะสร้างกรรมดี หรือจะสร้างกรรมชั่ว หลังวิบากที่ดับไป ก็เป็นเรื่องของการสะสมมา แทนที่จะมัวหวั่นไหวไปกับปรมัตถธรรมที่ดับแล้ว ก็ควรที่จะอาจหาญ ร่าเริง ด้วยสติที่ระลึกและปัญญาที่ศึกษาในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจนรู้ชัด ตรงตามคำสอนว่า เป็นธรรม เป็นกรรม เป็นผลของกรรม มีจริงๆ เป็นของจริง เมื่อนั้นความเห็นถูกก็ย่อมจะเจริญขึ้นได้

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย pornpaon  วันที่ 21 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ