กรณีมีปลวกขึ้นอยู่ริมรั้วข้างๆ บ้านแต่ยังไม่ขึ้นบ้านเราไปจ้างให้บริษัทมาฉีดยาป้องกันตัวบ้านซึ่งเดิมติดตั้งเดินสายระบบป้องกันปลวกเฉพาะที่ตัวบ้านอยู่แล้ว เมื่อไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับรั้ว กับได้กำชับผู้รับจ้างไม่ให้ไปยุ่งกับรังปลวกดังกล่าว หรือมิฉะนั้นก็ซื้อยามาฉีดกันเครื่องเรือนที่อยู่ในตัวบ้านโดยที่ปลวกยังขึ้นไม่ถึง เป็นปาณาติบาตหรือไม่ อย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในกรณีที่ได้กล่าวมานั้น ไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเจตนที่จะป้องกันปลวก เจตนาฆ่า
กับเจตนาที่ป้องกันจึงเป็นเจตนที่ต่างกันครับ ไม่เป็นปาณาติบาตแน่นอน ถึงแม้ว่า
ปลวกนั้นจะตายหลังจากที่เราฉีดป้องกัน แต่เจตนาไม่ได้เป็นเจตนาฆ่าตั้งแต่ทีแรก
ครับ เป็นเจตนาป้องกัน ส่วนสัตว์ตายก็เพราะกรรมของสัตว์เองครับ แต่ถ้าฉีดไว้ก่อน
แต่เจตนาเพื่อจะให้สัตว์ มีปลวก เป็นต้น ได้ตายหลังจากฉีด นี่ก็เป็นเจตนาฆ่า มี
เจตนาที่จะฆ่าสัตว์ เมื่อไหร่ที่สัตว์ตายจากการที่ฉีดยา นั่นเท่ากับว่าครบองค์กรรมบถ
เป็นปาณาติบาตครับ เมื่อกรรมนี้ให้ผลย่อมทำให้เกิดในอบาย เศษกรรมที่ยังเหลือเมื่อ
ไปเกิดเป็นมนุษย์ทำให้มีอายุสั้นครับ
ดังนั้นจะเป็นปาณาติบาตหรือไม่สำคัญที่เจตนาของผู้นั้นเป็นสำคัญครับ ถ้ามีเจตนา
ฆ่าและสัตว์นั้นตายก็เป็นปาณาติบาต ถ้ามีเจตนาฆ่าแต่สัตว์นั้นไม่ตายก็ยังไม่ครบองค์
ยังไม่เป็นปาณาติบาต แต่ถ้าไม่มีเจตนาฆ่า ดังกรณ๊นี้ เป็นเจตนาป้องกัน แต่สัตว์นั้น
ตายลง ไม่เป็นปาณาติบาต เพราะไม่มีเจตนาฆ่า แม้สัตว์นั้นต้องตายครับ
ในพระวินัย เมื่อพระภิกษได้ทำบาปไว้ เช่น ได้ทำพระภิกษุอีกรูปหนึ่งให้ถึงมรณภาพ
พระพุทธองค์จะถามก่อนว่าเธอมีคิดอย่างไร คือมีเจตนาอย่างไร ถ้าพระภิกษุนั้นกล่าว
ว่าข้าพระองค์มีความประสงค์หรือมีเจตนาให้พระรูปนั้นตาย (เจตนาฆ่า) พระพุทธเจ้าก็
ตรัสว่าเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว และก็เป็นกรรมที่เป็นปาณาติบาตด้วยครับ เพราะ
ฉะนั้นสำคัญที่เจตนาด้วยว่าจะเป็นปาณาติบาตหรือไม่ครับ ซึ่งถ้าเจตนาป้องกัน ไม่ใช่
เจตนาฆ่าจึงไม่เป็นปาณาติบาตครับ
พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงจึงเป็นไปเพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์โลกให้เห็นโทษ
ของอกุศลและผลของอกุศลกรรมตามความเป็นจริง จึงไม่ควรประมาทในอกุศลแม้
เพียงเล็กน้อยครับ ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้ด้วยการอบรมปัญญา ฟังพระธรรม ศึกษาพระ
ธรรมครับ ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่.... ปลวก กับศีลข้อปาณา
ศีล 5 กับเรื่องปลวก
จำเป็น
อนันตริยกรรม-ปลวกขึ้นบ้าน-สัตว์เดรัจฉานในนรก อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบคุณอาจารย์เผดิมครับ ปัจจุบันปลวกยังเลียบค่ายอยู่รอบๆ บ้านผมครับ ยังไม่ขึ้นไม่เข้ามาในบ้าน เช่ือว่าเพราะน้ำยาเดิมที่ทางโครงการฯ ฉีดให้ยังคงออกฤทธิ์อยู่ เม่ือได้ทราบคำตอบแล้วผมจะเร่งเรียกบริษัทฯ มาพ่นน้ำยาป้องกันไว้อีกครั้ง โดยจะกำชับไม่ให้ไปยุ่งกับปลวกนอกบ้านและไม่ให้ใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์ฆ่าตัวเดียวตายทั้งรัง แต่จะเลือกน้ำยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะตัวที่มีกรรมต้องตายเองเท่านั้นครับ การปฏิบัติธรรมนั้นต้องคู่กับปัญญาจริงๆ ด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ครับยังไงก็เลือกวิธีป้องกันนะครับ ถึงแม้เราไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่เจตนาป้องกันก็ขอให้
เป็นผู้ละเอียด ระมัดระวังจะโดนสัตว์อื่นมีปลวก เป็นต้นเท่าที่ทำได้ครับ เหมือนเวลามด
เกาะที่เราหรือยุงเกาะ เราไม่มีเจตนาฆ่า มีเจตนาไล่ไปก็เป็นผู้ละเอียดระมัดระวังโดยใช้
วิธีนุ่มนวล มีการเป่า เป็นต้น แต่ไม่ใช้วิธีเอามือปัดเพราะอาจโดนมดหรือยุงตายได้ครับ
ก็ขออนุโมทนาที่ไม่มีเจตนาฆ่า ทำร้ายสัตว์อื่นครับ ขออนุโมทนา
ซาบซึ้งในพระคุณของอาจารย์จริงๆ ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เจตนาฆ่า กับ เจตนาป้อง มีความต่างกัน ขณะที่มีเจตนาฆ่า เป็นอกุศลเจตนาที่เบียดเบียนประทุษร้ายสัตว์อื่นให้เดือดร้อนหรือสิ้นชีวิต ซึ่งไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะเหตุว่าสัตว์อื่นเขาก็รักชีวิตของเขา เหมือนกับตัวเราที่รักชีวิตของตนเอง โดยปกติแล้วชีวิตประจำวัน อกุศลเกิดขึ้นมากอยู่แล้ว กล่าวคือ ขณะที่จิตไม่ได้เป็นไปในทาน ในศีล ในการอบรมความสงบของจิตและการอบรมเจริญปัญญา เป็นอกุศลทั้งหมด มีกุศล แทรกสลับกับอกุศลเท่านั้นจริงๆ ชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เพราะชีวิตที่ดำเนินไปในปัจจุบัน ต้องอาศัยปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีความสุขไม่เดือดร้อน (ปัจจัยที่ว่า นั้น คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค) เมื่อมีบ้านซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยก็ต้องทำการดูแลรักษา ส่วนที่ชำรุดก็แก้ไขซ่อมแซม ถ้ามีสัตว์ที่จะทำความเสียหายแก่บ้าน ก็ต้องทำการป้องกันด้วยวิธีการที่ไม่เป็นการฆ่าสัตว์ แต่เป็นการป้องกัน ก็สามารถทำได้
สัตว์โลกผู้ที่ได้เกิดมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดำเนินไปในแต่ละวันๆ นั้น คงไม่มีใครอยากจะถูกคนอื่นฆ่า (หรือแม้กระทั่งการถูกเบียดเบียน ไม่ถึงกับสิ้นชีวิต ก็ไม่ปรารถนา) แต่ว่า เวลาที่บุคคลหนึ่งบุคคลใด จะฆ่าบุคคลอื่น ซึ่งต้องเป็นด้วยอำนาจของอกุศลจิตที่มีกำลัง ทำให้ลืมคิดถึงบุคคลหรือสัตว์ที่จะถูกฆ่าว่าบุคคลหรือสัตว์นั้นย่อมไม่มีความปรารถนาที่จะถูกฆ่าเลยไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ประเภทใดๆ ก็ตาม นี่เป็นความจริง ดังนั้น ตนเองรักสุข เกลียดทุกข์ ฉันใด สัตว์อื่น ก็รักสุขเกลียดทุกข์ ฉันนั้น จึงไม่ควรฆ่า ไม่ควรเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ดังข้อความตอนหนึ่งที่พระโพธิสัตว์ กล่าวไว้ว่า
“ถ้าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติสมภพ (การเกิด) นี้เป็นทุกข์ สัตว์ก็ไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมเศร้าโศก” (จาก .... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก มตกภัตตชาดก) และอีกประการหนึ่งที่ควรจะพิจารณา คือ การฆ่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นใครทำ ก็เป็นอกุศลกรรมทั้งสิ้น ไม่มีการยกเว้น ผู้ที่ประกอบอกุศลกรรมอย่างนี้ กล่าวได้ว่าเป็นคนพาล ภพภูมิข้างหน้าของผู้ที่ประกอบอกุศลกรรม ก็คือ อบายภูมิ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการไปสู่อบายภูมิของคนพาลทั้งหลาย นั้น ยากที่จะพ้นไปได้ คือ จากอบายภูมิ ก็กลับไปสู่อบายภูมิอีก โอกาสของการสร้างกุศล (ความดี) มีน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็มีแต่การประกอบอกุศลกรรม ยิ่งทำให้ตนเองตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงไม่ควรเป็นคนพาล แต่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นบัณฑิต สร้างความเจริญให้กับชีวิตของตนเอง ด้วยการสะสมกุศล และ ละเว้นจากความชั่วโดยประการทั้งปวง พร้อมทั้งศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เพื่อเป็นที่พึ่งในภายหน้า จนกว่าจะบรรลุถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด ไม่ต้องมีการเกิด ไม่ต้องมีการเดือดร้อนเพราะเรื่องต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ อีกต่อไป ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
. .............ขออนุโมทนาครับ_/I\_..................
ที่บ้านนะคะ กินทั้งบ้านแล้วค่ะ ฝ้าเพดาน ฝาผนัง ฯลฯ ยกเว้นตู้เสื้อผ้าไม้สัก 555
สำคัญที่ความตั้งใจ ถ้ามีเจตนาฆ่าก็คือฆ่า ถ้าเจตนาป้องกันก็ไม่ใช่เจตนาฆ่า
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ศีลมีทีุ่สุดเพราะชีวิต เพราะอวัยวะ เพราะญาติ
เพราะทรัพย์ เพราะลาภสักการะ ค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ไม่ทราบพอจะช่วยได้มั้ย คือ ดิฉันทำแบบนี้
1. เข้าไปใต้ถุนบ้านเก็บเศษไม้ผุๆ ที่พวกช่างก่อสร้างที่ไว้ตอนสร้างบ้านใหม่ๆ แต่เราไม่รู้นานมากแล้วเอาไปทิ้ง เพราะสิ่งเหล่านี้คืออาหารปลวก (แต่ตอนที่ทำไม่ได้คิดว่าเอาอาหารพวกเขาไปทิ้ง คิดแต่ว่าจะป้องกันยังไงเพื่อที่จะไม่ฆ่าปลวกมากกว่า)
2. ปลูกผักสมุนไพรไว้ตรงที่มีดินรอบตัวบ้านเลย เช่น ตะไคร้หอม ตะไคร้แกง พริก กระเพรา ใบมะกรูด ขมิ้นชัน ขิง ข่า กระชาย (เคยอ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรบอกไว้ว่าพวกแมงและสัตว์ต่างๆ ไม่ชอบพืชผักที่มีกลิ่นฉุน) ก็ไม่แน่ใจเรื่องปลวก
ก็เลยลองมาทำดู และก็ลืมๆ เรื่องปลวกไปแล้ว พอวันนึง (อีกหลายปี) จะต้องลงไปใต้ถุนบ้าน ตรงบริเวณที่เคยเห็นปลวกเลยลองตรวจดูปรากฏว่าไม่มีแล้ว และปลวกก็ไม่เคยขึ้นบ้านอีกเลย ก็ไม่ทราบว่าเพราะขนพวกเศษไม้ไปทิ้ง หรือเพราะปลูกพวกผักกลิ่นฉุน แต่ว่าบริเวณนอกตัวบ้านที่อยู่ภายในรั้วบ้านนั้นยังมีอยู่ เพราะเจอบ่อยตอนทำสวน ตรงที่ปลูกสมุนไพรไม่เจอ จะเจอตรงสนามหญ้าที่เราวางของทับไว้และปลวกที่บ้านชอบอยู่ตรงแถวๆ นั้น ก็ต่างคนต่างอยู่กันไปไม่ทำศึกกัน (แต่เราก็ชอบขยายพื้นที่ปลูกผักกลิ่นฉุน) บางครั้งลงเสียมปุ๊บเจอปลวกเต็มเลยก็ย้ายที่ลงไม่รุกรานกันต่างคนต่างอยู่ เลยลองมาเล่าให้ดูเผื่อเป็นประโยชน์ ถ้าไม่ก็ถือว่าเล่าประสพการณ์นึงค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ผมได้ว่าจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาดำเนินการฉีดยาป้องกันตัวบ้านแล้ว โดยเดิมตั้งใจจะ
ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะปลวกตัวที่มีกรรมต้องตาย แต่ทางบริษัทมีน้ำยาใหม่ประเภทเดียวที่
ฉีดแล้วไม่ตายตัวเดียวแต่น้ำยาจะมีเช้ือแบคทีเรียกินปลวกตัวอื่นตายทั้งรั้งครับ กรณีนี้หาก
ยังมีเจตนาป้องกันบ้านจริงๆ แล้วผมจะสามารถพ้นบาปข้อปาณาติบาตหรือไม่ครับ
ถ้ารู้แล้วอย่างนี้ว่าน้ำยาตัวนี้ใช้แล้วตัวอื่นตายด้วยทั้งรังแล้วยังใช้อีกก็รู้แล้วว่าจะต้องตาย
หมดทั้งรัง ถ้าให้ทำก็เป็นอันว่าเป็นเจตนาสั่งฆ่าครับ
หากเป็นไปตามความเห็นที่ 15 นี้แล้ว พรุ่งนี้ผมคงต้องขอยกเลิกทางบริษัทแล้วหา
ซื้อน้ำยาที่ออกฤทธิ์กับเฉาพะตัวที่มีกรรมต้องตายเท่านั้นมาฉีดป้องกันเฟอร์นิเจอร์ที่บิ้ว
อินไว้ก็น่าจะพอป้องกันได้ครับ เพราะตัวบ้านเป็นคอนกรีตมีโครงเป็นเหล็กทั้งหลัง
ขอบคุณครับ
อนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปนานเป็นปี หรือหลายปี โดยที่เราแน่ใจว่าปลวกได้ล้างลาออก
ไปจากพื้นที่บริเวณบ้านเราทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ได้สอบถามน้องที่เป็นสัตวแพทย์บอกกว่า
ถ้าปลวกเข้าบ้านเราไม่ได้เน่ืองจากน้ำยาเดิมยังออกฤทธิ์อยู่ พวกปลวกก็คงอพยพไปอยู่
ที่อื่นเพราะไม่มีอะไรกิน กรณีนี้หากเราไปจ้างบริษัทเดิมมาพ่นน้ำยาที่ออกฤทธิ์ตายยกรัง
เพ่ือเป็นการป้องกันอีกในภายหลัง (ปลวกจะตายยกรังต่อเม่ือกลับเข้ามาใหม่) กรณีนี้ถือ
ว่าเป็นการป้องกันหรือไม่ครับ ผู้ว่าจ้างพ้นน้ำยาจะบาปข้อปาณาติบาตหรือไม่ครับ
ขออนุโมทนา คุณ oj.simon ครับ
ขอถามต่อนะครับ กรณีหากตามกระทู้ของผมในความคิดที่ 16 ย่อหน้าที่ 2 ยังคงเป็นปาณาติบาตอยู่ ผมขอถามคุณ khun ความคิดที่12 ว่าถ้าผมปลูกสมุนไพรตามอย่างที่ท่านกล่าวไว้นี้ โดยปลูกลงกระถางจะได้หรือไม่ครับ (บริเวณบ้านเทซิเมนต์ไว้ไม่มีพื้นที่ให้ปลูกพืชลงดินแล้วครับ แย่จัง) ขอขอบคุณครับ
เรียนอาจารย์และทุกๆ ท่านที่เข้ามาร่วมตอบกระทู้นี้ ผมขอชี้แจงเจตนารมย์ใน
ความเห็นที่ 16 ย่อหน้าที่ 2 และความเห็นที่ 18 ไว้อย่างนี้ครับคือผมต้องการความ
สมบูรณ์ในองค์ความรู้ เพ่ือภายหลังจักได้ไม่ต้องกลับมาตั้งกระทู้เร่ืองนี้ขึ้นใหม่ครับ
กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่เม่ือสักครู่ (วันที่ 20 พค.44 เวลาประมาณ 7.30 น.)
ทางบริษัทผู้รับจ้าง ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นตัวเจ้าของ ได้โทรกลับมาถามผมว่าเม่ือวาน
เสมียนของบริษัทได้รับงานไว้ ดังนั้นบริษัทขอให้ผมยืนยันการว่าจ้างกับตัวเขา ซึ่งผม
ยืนยันไปว่าหากทางบริษัทใช้น้ำยาที่ออกฤทธิ็ทำให้ปลวกตายยกรังแล้ว ผมขอยกเลิก
การว่าจ้างครั้งนี้ เว้นแต่ทางบริษัทจะมีน้ำยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะปลวกต้วที่มีกรรมต้องตาย
ซึ่งทางบริษัทโดยเจ้าของยืนยันกลับมาว่าถ้าเป็นน้ำยาตัวที่ใช้กับท่อซึ่งเดินอยู่ใต้พื้น
บ้านแล้วมีคุณสมบัติตามที่ผมต้องการ ส่วนน้ำยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าปลวกยกรังเป็นน้ำยาใช้
ในกรณีกำจัดปลวกให้สิ้นซากควบคู่กันไป ดังนั้น ผมจึงได้ตัดสินใจว่าจ้างให้ทางบริษัท
มาฉีดเฉพาะน้ำ ยาเข้าท่อเท่านั้น โดยจะมาฉีดให้เวลา 12.30 น.ตอนนี้ 8.30 ครับ ส่วน
ทางบริษัทจะมุสากับผมอย่างไร ก็ขอให้กรรมทั้งหมดตกแก่บริษัทเองครับ ผมจะรอคำ
ตอบกระทู้นี้ไปเร่ือยๆ จนกว่าจะถึงเวลานัดครับ ขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 19 ครับ
ผมเห็นด้วยครับที่ใช้นำยาที่ไม่ตายยกรังเมื่อปลวกกลับเข้ามา ควรใช้นำยาที่ป้องกัน
ไม่ให้เขาเข้ามาเท่านั้นครับและเจตนาของคุณก็เป็นเจตนาป้องกัน โดยไม่เอาน้ำยาที่่
ทำให้ปลวกตายยกรัง แต่ใช้น้ำยาป้องกันไม่ให้ปลวกเข้ามานั่นก็แสดงถึงเจตนาป้องกัน
แล้ว ไม่ใช่เจตนาฆ่าครับ ส่วนถ้าบริษัทเขาจะใช้น้ำยาที่ตายยกรังนั่นก็เป็นกรรมของเขา
แต่เราก็ควรย้ำกับเขาว่าตามสัญญาคือต้องการน้ำยาที่ไม่ตายยกรังครับ ทำให้ดีที่สุด
ก่อน ย้ำกับเขาครับ ขออนุโมทนา
ขอขอบคุณด้วยซาบซึ้งที่ได้รับคำตอบจากอาจารย์เผดิมครับ ขออนุโมทนาครับ
เรียนคุณ oj.simon ที่บ้านดิฉันปลูกทั้งในกระถาง และลงดินค่ะเฉพาะสวนหน้าบ้าน ขอเสริมค่ะคือหลังบ้านดิฉันตอนนี้ก็ไม่มีดินตรงช่วงบริเวณหลังบ้าน เพราะอยู่แถวพื้นที่ดินทรุดเลยพึ่งลงเสาเข็มเทคานคอนกรีตบริเวณด้านหลัง เลยมาถึงด้านข้างเป็นรูป U ก็เลยไม่ห่วงเรื่องปลวกในบริเวณนี้เท่าไรเพราะไม่มีดินหรือไม้ผุเป็นสะพานให้ปลวก แต่ถ้าจะมาหรืออาศัยอยู่ใต้คานบริเวณนอกบ้านก็ไม่เป็นไรค่ะ ส่วนที่ปลวกเข้ามาในบ้านตอนนั้นเนื่องจากดิฉันได้ซื้อตู้โชว์สไตล์โบราณที่เป็นไม้เนื้ออ่อนจากบริษัทส่งออกนึงที่ D.E.P ซึ่งทางร้านบอกว่าเฟอร์ทุกชิ้นได้อบแล้ว คิดว่าแค่อบให้เฟอร์แห้งอยู่ตัวไม่ใช่เป็นการอบ fumigate เพราะถ้าผ่านการ fumigate ปลวกหรือมอดจะไม่ขึ้น คิดว่าปลวกคงได้กลิ่นไม้เนื้ออ่อนเลยเดินทางผ่านดินและพวกเศษไม้แม่แบบที่ช่างทิ้งไว้ผ่านเสาและคานบ้านซึ่งเป็นคอนกรีตทะลุมาทางท่อสายไฟยังไงไม่รู้โผล่มาอยู่ในตู้ (ก็น่าสงสารเหมือนกันนะต้องอพยพหาแหล่งเสี่ยงชีวิตมากมาย) พอทราบสาเหตุแล้วดิฉันก็ได้เอาตู้นั้นออก เหลือแต่พวกไม้ที่เป็นเนื้อแข็ง พื้นบ้านก็ไม่กลัวค่ะเพราะเป็นไม้เนื้อแข็งปูอยู่บนคอนกรีต และก็ซื้อน้ำยากันปลวก (ไม่ฆ่า) สำหรับทาไม้ที่ home pro มาทาหรืออุดตรงทางที่ปลวกเข้าบ้าน และตอนนั้นหยุดเทยาฆ่าปลวกแล้วแต่ก็ได้โยนลูกเหม็นรอบๆ ใต้ถุนบ้านอยู่พักใหญ่ ตอนที่ลงไปดูใต้ถุนนั้นก็เพราะจะทุบพื้นเพื่อสงเสาเข็มด้านนอกบ้าน (เมื่อปีที่แล้ว) จึงรู้ว่าปลวกไม่ขึ้นบ้านแล้ว ไม่ทราบเพราะอันไหนที่ทำให้ปลวกไม่มาแล้ว ส่วนบริเวณตรงสวนหน้าบ้านก็จะเอ๋กันบ่อย ก็ได้แต่สงสารว่าคงทำอกุศลกรรมอะไรมาถึงได้รับกรรมมาเป็นหนอนแบบนี้ บางครั้งก็เลยเอาเทปธรรมมาเปิดทิ้งไว้เพื่อให้ได้ยินเป็นความเคยชินกัน ดิฉันได้ป้องกันตามที่ผ่านมานั่นน่ะค่ะ สรุปได้ 1. หาเหตุ 2.ทำเหตุให้ถูกเพื่อป้องกัน 3. คิดว่าทำดีที่สุดแล้วก็ทำใจ
ขอต่อเรื่องปลวกอีกนิดค่ะ เผื่อมีประโยชน์ คือที่ดิฉันไม่ใช้น้ำยาอะไรเลยแล้ว ไม่ว่าจะฆ่าเดี่ยว ตายยกรัง หรือต้องมาโดนแล้วจึงตายนั้น เพราะส่วนตัวทราบอยู่ลึกๆ ว่าถ้าทำแล้วไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม ถ้าปลวกมาโดน จะต้องตายแน่นอนจะหนึ่งตัวหรือหลายตัวหรือกลับไปตายรังก็ตาม จะไม่หลอกตัวเองว่าเรามีเจตนาแค่ป้องกัน มันเป็นกรรมของเจ้าหน้าที่ที่มาฉีดหรือวิบากของปลวกเองจึงมาโดนตาย (จะกลายเป็นว่าเราทำแค่นี้เพราะไม่อยากฆ่าแค่ป้องกันวันหลังมาโดนเองไม่เกี่ยวกับเราแต่ลึกๆ ในหลักความเป็นจริงเรารู้อยู่ว่าถ้ามาโดนก็ตายเราก็ยังทำแล้วจะว่าไม่มีเจตนาได้อย่างไร) จะกลายเป็นได้ทั้ง 3 กาลเลย (ก่อนทำ ขณะทำ หลังทำ) ที่ว่าหลังทำด้วยคือเพราะกลัวตัวเองจะมาคอยคิดว่าตัวไหนมาโดนมันก็ตายเองไม่เกี่ยวกับเราหรือป่านนี้คงมีตายบ้างเพราะเราฉีดกันไว้แล้ว แล้วจะมาบอกว่าเราแค่ป้องกันได้ยังไงก็เราเตรียมการนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะดูที่องค์ ศีล 1.สัตว์มีชีวิต 2. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต 3.จิตคิดจะฆ่า 4. มีความพยายามเพื่อจะฆ่า 5. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น (ข้อ3,4 ลึกๆ เรารู้อยู่ว่าถ้าคนที่เราจ้างมาฉีดน้ำยา ต้องมีปลวกตายแน่นอนไม่มากก็น้อยแต่ก็จ้าง) , (ข้อ5 ถ้าปลวกตายก็ครบองค์เลย)
ส่วนน้ำยากันปลวกถ้าดิฉันจะใช้อีกครั้งก็คงจะต้องตรวจสอบให้แน่นอนก่อนค่ะว่าป้องกันยังไง ทำให้ไม้แข็งขึ้นเผ็ดขึ้นจนปลวกไม่มาหรือกันเพราะปลวกจะมากัดแล้วตาย เพราะกลัวจะกลายเป็นว่าทำอกุศลเพราะความไม่รู้. อีกอย่างเวลาที่ดิฉันเห็นสัตว์ต่างๆ พวกนี้จะมีความรู้สึกว่าใครเคยเป็นพ่อแม่พี่น้องเรา ก็จะเอ็นดูทำอันตรายสัตว์ไม่ลงเพราะกลัวว่าไปโดนแม่เรา แล้วกลัวด้วยว่าถ้าห่วงบ้านมากๆ หากตายแล้วมาวนเวียนเกิดเป็นปลวกแย่แน่เลย ก็เลยดูแลรักษากันไปตามสติและกำลังของตัวเองพร้อมรักษาศีลด้วยค่ะ
ขอบคุณคุณ khun ครับ ผมเพิ่งทราบว่า home pro มีน้ำยาดังกล่าวขายอยู่ด้วย ว่าแต่ว่า เอ! คุณเอาเทปธรรมของหลวงพ่อไหนไปเปิดให้ปลวกเค้าฟังล่ะครับ ขอฟังมั่งซิครับ อิๆ ขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 22 ผมเคยได้ยินมาว่าค้างคาวก็สามารถฟังธรรมจนสามารถรับอานิสงส์จากการฟังธรรมนั้นได้ แม้จะไม่เข้าใจในเน้ือหาในธรรมนั้นๆ ก็ตาม โดยปรากฏว่าขณะฟังธรรมอยู่นั้น เกิดอาการเคลิ้มจนตกจากต้นไม้ที่นอนอยู่ลงมาตายแล้วค้างคาวหมู่นั้นก็ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ เพราะอานิสงส์แห่งการฟังธรรมนั้นแล ขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 25 ครับ
ค้างคาวที่ได้ฟังพระธรรม ฟังไม่รู้เรื่องครับ ว่าเป็นเรื่องราวว่าอะไร เกี่ยวกับสภาพธรรม
อะไร เพียงแต่ว่าค้างคาวนั้นรู้เพียงนิมิตของเสียงว่าเป็นเสียงธรรม จึงตั้งใจฟังด้วยความ
เคารพ ขณะนั้นแม้ไม่รู้เรื่อง แต่จิตเป็นกุศลจิต จึงทำให้เมื่อตายไป ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร
เพราะอาศัยธรรมสัญญาคือความจำของเสียง ว่าเสียงธรรมแล้วจึงตั้งใจฟังด้วยความ
เคารพครับ เป็นกุศลจิตครับ
สาธุ สาธุ สาธุครับ
ขอเรียนถามเพื่อความกระจ่างด้วยครับ...
1."เวไนยสัตว์"หมายถึงมนุษย์ไม่ใช่หรือครับ? (กรณีค้างคาว)
2."การเล็งเห็นผล",เช่นกลางคืนเห็นเงาตะคุ่มๆ รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต,แล้วยิงส่งเดช
ไปที่เป้าหมาย,ปรากฏว่าคนตาย,แล้วบอกแค่เจตนาป้องกันตัว,แต่ทางกฎหมาย
ถือว่า"เล็งเห็นผลว่าถ้าถูกจุดสำคัญอาจถึงตายได้",เช่นนี้ถือว่า"มีเจตนา"หรือ"ป้องกัน
ตัวเกินสมควรแก่เหตุ",การฉีดยาฆ่าแมลงทุกชนิดก็ย่อม"เล็งเห็นผล"ว่าเมื่อสัตว์มาโดน
ต้องตายแน่,เมื่อสัตว์มาโดนเข้าจริงๆ ก็ตาย,ถือว่าเรามีเจตนาและผิดศีลข้อ1หรือไม่?
3.พระเจ้าพิมพิสาร (หรือเปล่า?) สมัยหนึ่งเห็นปลาซิวในคลองน้ำใกล้แห้งแล้วนึก
อยากทาน,แค่คิดยังไม่ได้ทำจริงๆ ก็ต้องรับวิบากไปเกิดเป็นงูเหลือม,ว่ากันว่างูเหลือม
สามารถวิดน้ำให้แห้งเพื่อกินปลาซิวได้,ถามว่าศีลข้อ1เจตนาระวังเฉพาะทางกายไม่ให้
กระทำผิดหรือหมายถึงความอยากในจิตด้วย? (กายไม่ทำแน่แต่ใจยังอยาก เช่น อยากตบ
ยุงเพราะกลัวมันจะกัดตอนเราเผลอแล้วอาจทำให้เป็นโรคไข้เลือดออก,ผิดศีลหรือไม่?)
เรียนความเห็นที่ 30
1.เวไนยสัตว์ ส่วนใหญ่หมายถึงสัตว์ทั้งหลายที่พอจะฟังธรรมเข้าใจและบรรลุธรรมได้
ครับแต่บางนัยก็หมายถึงหมู่ัสัตว์ที่ถูกกรรม ปฏฺนธิการเกิด ปิดกั้นไม่ให้บรรลุครับ ดังนั้น
สัตว์เดรัจฉาน ถ้าจะเป็นเวไนยสัตว์ที่กล่าวถึงผู้บรรลุได้ สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เป็นเวไนย
สัตว์ แต่ถ้ากล่าวรวมๆ ถึงหมู่สัตว์ ที่บางประภทบรรลุไม่ได้ จะกล่าวว่าเป็นเวไนยสัตว์ก็
ได้เช่นกันครับ
2.ต้องดูที่เจตนาครับ ถ้ามีเจตนาฆ่ายิงอะไรซักอย่างแต่ไปโดนสัตว์ประเภทอื่นตาย
กรรมก็เป็นปาณาติบาตเพราะมีเจตนาฆ่าแและสัตว์นั้นตายครับ แต่ถ้าไม่มีเจตนา
ฆ่าไม่เป็น
ปาณาติบาตครับ
3.เจตนาป้องกันแต่ทำให้สัตว์ไม่เป็นปาณาติบาต เจตนาฆ่า แล้วสัตว์ตายเป็น
ปาณาติบาตครับ อยู่ที่จิตของบุคคลนั้นว่ามีเจตนาอย่างไร
เรียน ทุกๆ ท่านมาเพ่ือโปรดทราบ
ผมได้ตัดสินใจว่าจ้างบริษัทฯมาทำการอัดน้ำยาลงไปตามท่อเดินน้ำยาที่ฝังไว้ใต้บ้านแล้วครับ ปรากกว่ารุ่งขึ้นปลวกตามรั้วบ้านผมได้หายไปจนหมดด้วย ผมได้พยายามติดตามดูอยู่หลายวันด้วยความไม่สบายใจ แต่ปลวกก็ยังคงหายสาบสูญไป หลังจากอัดน้ำยาลงไปแล้วประมาณ ๕ วัน เวลาประมาณ ๐๕.๔๕ น. บังเอิญผมออกไปทำธุระนอกตัวบ้าน พบว่าปลวกออกมาเดินอยู่ตรงรั้วตามเดิม มีจำนวนมากกว่าที่เคยเห็นอยู่ประมาณ ๒-๓ เท่า แล้ววันต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ผมก็ไม่เห็นปลวกเหล่านั้นอีกเลย ก็หวังว่าที่เห็นในวันสุดท้ายนี้พวกเค้าคงตัดสินใจอพยบรังไปอยู่ที่อื่นแล้ว ใครว่าศิลห้าถือง่าย ผมว่าค่อนข้างไปทางยากมากกว่า เหนื่อยด้วยครับ อย่างไรก็ต้องสู้ต่อไปนะกัปตันแจ๊ค สแปโลว์
ฟังคุณoj.simonกับคุณKhunคุยกัน (รวมถึงอ.เผดิมเรื่อง"ค้างคาว") แล้ว,รู้สึก (ขำเล็กๆ )
ว่าศาสนาพุทธเราน่ารักนะ,เห็นแก่แม้ชีวิตน้อยๆ (อยากเห็นทุกๆ กลุ่ม...ยกเลิกการฆ่าสัตว์
ให้หมดทั้งโลกเหมือนศาสนาพุทธ,โลกคงมีแต่สันติสุข) ,เห็นด้วยกับคุณsimon (คห.33)
ในประโยคตอนท้ายที่ว่า"ใครว่าศีล5ถือง่าย..."อย่างยิ่ง,พระพุทธเจ้าบอกว่า"ศีลและ
ปัญญาย่อมชำระกันและกันเหมือนล้างมือด้วยมือ,ล้างเท้าด้วยเท้า...",แม้"เจตนา"ก็มี
ซ้อน"เจตนา"แล้วแต่เราจะเห็นส่วนลึกของ"จิต"หรือไม่,คือเรื่องเหล่านี้ถ้าคนไม่"สมา-
ทานศีล"ก็จะไม่ได้เรียนรู้"จิตภายใน"ว่ามันซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างไร,อย่างผู้เขียนเอง
พอตั้งใจเรื่องศีล,สติรู้เท่าทันจิตในเรื่องศีลมันก็วิ่งเข้ามาทำหน้าที่ของมันเอง,อย่างเคย
ล้างจานชามในอ่างล้างหน้า,แต่มักแช่น้ำไว้ไม่ได้ล้างทันที,แล้วห้องครัวก็มืดๆ เพราะ
ประหยัดไฟ,เพื่อไม่ต้องการใช้ไฟเกิน90หน่วยตามโครงการช่วยเหลือของรบ.,เวลาจะ
ล้างก็สลัวๆ ล้างงมๆ ไปอย่างนั้นแหละ,ประมาณภาวนาว่าขออย่าให้มีมดมาตอมจานชาม
เลย,"เจตนา"ส่วนตื้นน่ะคล้ายไม่อยากฆ่า,แต่มาดูคือเพราะไม่อยากให้ตัวเองได้ชื่อว่า
ทำผิดศีล (มันเป็นเรื่องของ"อัตตา"อยากรู้สึก (ได้ชื่อ) ว่าเราเป็นคนดีมีศีล5อยู่ในตัวรวม
อยู่ด้วย) ,แต่ไม่รู้ว่าจิตใจลึกซึ้งในชีวิตของสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยหรือไม่,สังเกตมันมี"จิต"ตัว
หยาบตัวลวกมันจะคอยกำกับเร็วมาก,บอกเราว่า"อย่าไปสนใจมากเลย,ล้างๆ ไปเถอะ,ถ้า
เกิดไปเปิดไฟแล้วมาเพ่งดู,ถ้าเกิดมีมดมาตอมชาม,ก็จะต้องเสียเวลามานั่งเก็บหรือปัด
หรือเขี่ยแล้วแต่กรณีเพื่อเอามดออก,ทำๆ ไปไม่ต้องรับรู้,แล้วก็แล้วไป (ยิ่งถ้ามดบางตัวตก
น้ำยิ่งต้องมานั่งลำบากช่วยชีวิตมดให้รอดตาย,และยังต้องทำด้วยความทนุถนอมเพราะ
ว่ามดมันแบบบาง,จับแรงหน่อยอาจตายหรือบาดเจ็บ,หนวดหลุด,ขาขาดหรือหักเอา
ง่ายๆ ,แล้วจะทำให้เสียเวลาด้วย) ,นี่แหละคือ'มาร'ที่อยู่ใน"ตัวเรา"ที่คอยขัดขวาง'กุศล'
ที่คอยกำกับการกระทำของ"เรา"อยู่ตลอดเวลา,แต่ถ้า"จิต"เราหยาบหรือทำบาปเล็กๆ
น้อยๆ จนชิน,เราก็จะไม่ได้ยินเสียง"มาร"มันคอยกำกับเราอยู่ตลอดเวลา;คห.23ของคุณ
khunชัดเจนดีมากในเรื่อง"เจตนา"ที่ซ่อนอยู่และความบริสุทธิ์ใจ (บริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์,ใจ
เราเองนั่นแหละจะรู้,หลอกตัวเองไม่ได้เหมือนคุณว่า,ดังพระพุทธพจน์ว่า"สุทธิ,อสุทธิ,
ปัจจัตตัง) ,รวมทั้งสรุป3ข้อตอนท้ายของคห.22ด้วย,ชัดเจนดีมาก (ที่เปิดเทปธรรมะให้
ปลวกฟังก็น่ารักดีนะ,แต่ไม่รู้ปลวกจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่าเพราะมัวพากเพียรกับการกินไม้
อยู่) ,สำหรับของคุณsimon,คห.19ก็น่ารักดีนะตรงคำว่า"น้ำยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะ (กับ)
ปลวกตัวที่มีกรรมต้องตาย (เอง) (เท่านั้น) " (รวมคห.3,14,16) ,ทำให้ผู้เขียนนึกถึงวรรณ-
คดีไทยเรื่อง"สังข์ทอง"ตอน"ใช้มนต์เรียกปลา"ประมาณว่า"ปลาตัวไหนหมดบุญก็ให้
กระโดดขึ้นมาตายเอง"อะไรประมาณนี้ (รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อน,ขออภัย) ,ผู้เขียน
ว่า"องค์ความรู้"ของวิทยาศาสตร์ที่จะผลิต"ยาชนิดที่ให้ตายเฉพาะปลวกที่มีกรรมต้อง
ตายเท่านั้น"คงยังไม่มีถึงขนาดนั้น;อ้อก็คล้ายเราไปโยนเนื้อสัตว์คลกยาเบื่อหมาไว้ใกล้
ตรงบริเวณที่มีหมาคอยไล่เห่า,เมื่อหมาตัวไหนมากิน (ถึงไม่เจาะจงว่าจะให้ตัวไหนมากิน
ก็ตาม) แล้วหมาตาย,เราก็คงต้องบาปแน่นอน,เรื่องปลวกก็คงไม่ต่างกัน...
เรียน คุณวินิจความเห็นที่ 30 และ 34
ตามความเห็นที่ 30 ข้อ 3 ผมว่าไม่ใช่พระเจ้าพิมพิสารดอกครับ เพราะท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้ว มีศรัทธามั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สั่นคอน โดยยามเช้าได้เห็นเพียงชายจีวรของพระพุทธองค์ที่ลงจากเขาคิชกุฏไปโปรดสัตว์ เพียงเท่านี้ก็ทำให้พระเจ้าพิมพิสารสามารถยังชีพอยู่ในคุกได้ ดังนั้น พระเจ้สพิมพิสารไม่มีโอกาสไปเกิดเป็นงูได้อีกครับ เท่าที่ได้ยินมาผู้ไปเกิดเป็นงูคือพระเจ้าอโศกมหาราชครับ ตอนแรกที่ทราบผมไม่เช่ือว่าเป็นท่าน ที่ผมเช่ือคือท่านเป็นท่านพ่อลีแห่งวัดอโศการามครับ แต่หากท่านเคยไปเกิดเป็นงูจริง ท่านในฐานะเป็นผู้มีอนุเคาระห์ต่อพุทธศาสนาอย่างมากก็ยังไม่พ้นทุกขคติภูมิเลย สาอะไรกับปุถุชนอย่างเราๆ นี้ล่ะครับ
อนึ่ง ปลวกที่ผมเห็นเป็นครั้งสุดท้ายหลังอัดน้ำยาป้องกันปลวกลงท่อที่ฝังอยู่ใต้บ้านไปแล้วประมาณ 4-5 วันนั้นทุกตัวไม่มีอารการเมายา หรือมีท่าที่ว่าจะตาย โดยทุกตัวยังแข็งแรงและมุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตต่อไป แต่ก็น่าแปลกว่าปัจจุันผมไม่เห็นพวกเค้าอีกเลย ข้อ ความตรงนี้มิได้มีเจตนาชักจูงใจใครให้ทำตามผมนะครับ เพียงแต่เป็นการแสดงความยิน ดีว่าอย่างน้อยที่เห็นเค้าก็ไม่มีอาการไปในทำนองว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือของผมเท่านั้น
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ต่อความเห็นเร่ืองพระเจ้าพิมพิสารครับ เม่ือครั้งที่ผมได้ไปยืนตรงบริเวณคุกที่ขังพระเจ้าพิมพิสาร แล้วมองขึ้นไปบนเขาคิชกุฏ ผมถึงกับแอบร้องไห้ครับ ที่น้ำตาซึมมิใช่ด้วยเหตุสงสารพระเข้าพิมพิสารดอกครับ เพราะเม่ือผมมาวิเคราะห์จิตตัวเองแล้ว พบว่าในส่วนลึกผมซาบซึ่งในพระมหากรุณาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเช่ือว่าพระพุทธองค์ทรงมีพุทธปประสงค์ในการขึ้นไปจำพรรษาบนเข้าคิชกุฏ ทั้งนี้ เพ่ือโปรดพระเจ้าพิมพิสารโดยตรงครับ ด้วยญาณอันบริสุทธิ์พระทุทธองค์ทรงทราบดีว่าท่านสามารถเป็นกำลังใจให้พระเจ้าพิมพิสารที่กำลังได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกจองจำได้ โดยการเสด็จลงเขาไปโปรดสัตว์ทุกเช้า เพ่ือให้พระเจ้าพิมพิสารได้อาศัยเห็นชายจีวรของท่านเป็นที่พึ่งซึ่งเป็นสัญญาใจของกัลยาณมิตรอันเป็นนาถที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้โดยแท้ เม่ือผมระลึกได้ดังนี้น้ำตาผมจึงไหลออกมาครับ
พระพุทธองค์ทรงมีพระกรุณาต่อสัตว์โลกโดยเสมอกัน
ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นท่านพระราหุลหรือท่านพระเทวทัต
การดำเนินชีวิตของพระองค์ในแต่ละพระชาติ
จวบจนดับขันธปรินิพพาน
เป็นไปเพื่อความสุขเพื่อความสิ้นทุกข์ของสัตว์โลกอย่างแท้จริงค่ะ
ไม่มีผู้ใดในสากลจักรวาล
ที่จะสามารถเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อคนอื่นได้อย่างพระองค์อีกแล้ว
พระคุณที่พระองค์ทรงมีนั้นมากมายมหาศาล น้อมระลึกไปจนตายก็ไม่มีวันหมดค่ะ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตอันมุ่งมันของคุณsimonด้วยจิตคารวะครับ...