Thai-Hindi 24 December 2022
- ส่วนใหญ่เราจะคิดเองไม่ได้เลยต้องละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเราศึกษาธรรมด้วยความเคารพสูงสุดทีละคำต้องไตร่ตรอง
- เพราะฉะนั้นเราจะไม่สามารถรู้ความเป็นไปของเดี๋ยวนี้ตั้งแต่เริ่มต้นตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายจนกระทั่งเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นเราจะต้องศึกษาความจริงซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ได้
- แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งว่า ทันทีที่เกิดจิตจะไปรู้และก็เกิดโลภะโทสะไม่ได้ ขณะเกิดเป็นผลของกรรม ๑ ที่ทำให้เกิดจิตที่เป็นผลของกรรมพร้อมเจตสิกและรูปทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย โลกนี้ยังไม่ปรากฏ เพียงเกิดขึ้นเท่านั้นโดยกรรมเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีกรรมเป็นปัจจัยปฏิสนธิจิตเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเกิดแล้วทุกอย่างที่สะสมอยู่ในใจจะเกิดได้เมื่อถึงเวลา
- เพราะฉะนั้นเวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิดไม่ใช่เวลาที่จะไปมีการรู้อารมณ์ที่ได้สะสมมาเลยใช่ไหม เกิดเท่านั้นเป็นผลของกรรมเท่านั้น ยังไม่ได้เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้คิด ยังไม่อะไรทั้งหมด นี่คือปฏิสนธิจิต
- เพราะฉะนั้นกรรมไม่ได้ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดเพียงขณะเดียวแต่กรรมจะทำให้ผลของกรรมเกิดไม่ว่ากรรมที่ทำให้ปฏิสนธิหรือกรรมอื่นๆ ก็สามารถที่จะมีโอกาสให้ผลระหว่างที่ยังไม่ตายได้ด้วยเหตุนี้เราต้องศึกษาทีละ ๑ ขณะ
- ปฏิสนธิจิตเกิด ดับแล้ว เป็นผลของกรรม กรรมให้ผลมากกว่านั้นทำให้จิตประเภทเดียวกันนั้นแหละทรงความเป็นบุคคลนั้นไว้ ยังตายไม่ได้ ยังเปลี่ยนเป็นคนอื่นไม่ได้เพราะกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิมีกำลังที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้จนกว่าจะหมดกำลัง
- ด้วยเหตุนี้เมื่อปฏิสนธิจิตดับกรรมนั้นก็ทำให้จิตเกิดสืบต่อ กรรมเดียวกันนั้นแหละแต่ทำกิจ“ภวังค์” ดำรงภพชาติ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน โลกนี้ไม่ปรากฏเลย เพียงแต่ว่าเมื่อกรรมให้ผลก็ต้องเกิดต่อในขณะที่ยังไม่มีกรรมใดๆ ที่จะให้ผลเป็นเห็นเป็นได้ยินได้เลย
- ตราบจนกระทั่งถึงวิถีแรกในทุกชาติของทุกภพจะต้องเป็นมโนทวาราวัชชนจิต เริ่มที่จะรู้สึกตัวขณะนั้นมีความพอใจในความเป็น “ภวราคะ” ความเป็นอะไรก็ได้ จะเป็นนก เป็นหนู เป็นปู เป็นปลา บนสวรรค์เป็นเทพ ขณะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตต้องเป็นขณะแรกของทุกชาติ เกิดแล้วก็จะเป็นโลภะซึ่งเป็นเหตุให้มีภพชาติขณะนั้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นจึงเป็นโลภมูลจิตพอใจในความเป็นแล้วก็ดับก่อนที่จะมีการเห็นการได้ยินหรืออะไรทั้งหมด วิถีนี้จึงเป็นวาระแรกของทุกภพทุกชาติ ที่จะสะสมมาที่จะเริ่มรู้สึกตัวโดยการที่รู้สึกปุ๊บก็ยินดีในภพ
- (เพื่อความเข้าใจหลังปฏิสนธิดับไปภวังค์เกิดขณะเดียวหรือหลายขณะก่อนมโนทวาราวัชชนจิต) หลังปฏิสนธิภวังค์เกิดมากมายไม่มีขณะเดียวแน่นอน
- เพราะฉะนั้นเรารู้ได้ไหม (รู้อะไร) ที่ฟังมาแล้วทั้งหมดเราสามารถจะรู้ได้ไหม (ไม่ได้) เหมือนเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม ทุกอย่างปรากฏ ไม่รู้เลยว่ามีจิตอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีมโนทวาราวัชชน มีโลภะมีอะไรทั้งหมดรู้ไม่ได้เลยเพราะเร็ว
- เพราะฉะนั้นขณะนั้นจะเร็วสักแค่ไหนที่จะมีภวังคจิตเกิด แล้วก็ถึงวาระแรกทุกภพต้องเป็นมโนทวาราวัชชนและก็เป็นสภาพที่ติดข้องในภาวะในความเป็น เราอาจจะรู้ตอนที่เราเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่นั่นไม่ใช่วาระแรกของชาติหนึ่งๆ
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมต้องรู้ว่า กำลังฟังสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ได้ฟังกำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- สภาพธรรมมีจริงแต่ไม่ได้ปรากฏอย่างที่เป็นจริง ถ้าปรากฏอย่างที่เป็นจริงจะลึกซึ้งไหม เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจ
- ฟังแล้วไตร่ตรองหรือเปล่า เป็นความจริงอย่างนั้นมั้ย ถ้าไตร่ตรองรู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นจึงเริ่มเห็นความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- เริ่มเห็นพระพุทธเจ้า เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้า เริ่มเคารพจากการที่ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นถึงที่สุด เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ให้คนอื่นรู้ถึงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- ความจริงมีทุกขณะที่จะทำให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงถูกต้อง ทุกครั้งที่เห็นเห็นหลายอย่างแสดงให้เห็นว่า ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
- ภวังคจิตเห็นอะไรได้มั้ย เพราะอะไร (เพราะอารมณ์ของภวังคจิตไม่ได้เป็นอารมณ์ของชาตินี้) เขาพูดถึงอารมณ์แต่เราถามว่า ขณะนี้มีภวังคจิต ภวังคจิตเห็นอะไรได้มั้ย ได้ยินได้มั้ย คิดได้มั้ยชอบได้มั้ย ไม่ชอบได้มั้ย เพราะอะไร (เพราะกิจของภวังคจิตเพียงแค่ดำรงชีวิต) นี่แหละที่เรากำลังศึกษานัยหนึ่งของกิจของจิตคือแต่ละจิตต้องมีหน้าที่
- นี่เป็นเหตุที่เราสนทนากันเรื่องกิจของจิตว่า ๑ ปฏิสนธิกิจครั้งเดียวในชาติหนึ่งๆ หลังจากนั้นแล้วผลของกรรมต้องเกิดต่อดำรงภพชาติไว้เพื่อที่จะรับผลของกรรมอื่นๆ และผลของกรรมนั้นด้วยต่อไปอีกจนกว่าจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีคุณอาช่าหรือไม่มีคุณอาช่า มีอะไร (เห็น) แล้วก็มีผลของกรรมที่ทำให้ต้องดำรงภพชาติเป็นภวังค์ขณะที่ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่ได้รู้สิ่งกระทบสัมผัส ไม่คิดนึกอะไร ๖ ทางต้องเป็นภวังคจิต
ถ้าไม่มีภวังคจิต ไม่มีจิตเห็น ไม่มีจิตได้ยิน ไม่มีจิตได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก มีจิตรึเปล่า มีจิตอะไร
- ไม่มีจิตเหล่านี้แล้วมีจิตอะไรไหม เป็นอะไรกันแน่ มีอะไรกันแน่ (อาวัชชนจิต)
- ไม่ใช่ ฟังดีๆ ถามว่า เมื่อไม่มีภวังคจิต ไม่มีจิตที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มีอะไร (เหลือแต่จุติ)
- ธรรมคิดเองไม่ได้ต้องเข้าใจจริงๆ สภาพรู้เกิดขึ้นต้องทำกิจ (ถึงตอบว่าถ้าไม่เป็นจุติก็ต้องเป็นอาวัชชนกิจ) เดี๋ยวก่อน ถามคำเดียวว่า ถ้าไม่ใช่ภวังคจิต ไม่มีภวังคจิตขณะนั้น ไม่มีเห็น ทางตาหู จมูก ลิ้น กายและไม่มีการคิดนึกเลยทั้งสิ้น ไม่มีภวังคจิต มีอะไร ตอบทำเดียวไม่ใช่ให้คิดเรื่องราวใหญ่โต แต่นี่เป็นความมั่นคงในการที่จะเข้าใจกิจของจิต
- ใครไม่ให้จิตเกิดได้ไหม อนัตตา เพราะฉะนั้นจิตต้องเกิดใช่ไหม เมื่อมีเหตุที่จะให้เกิดต้องเกิดใช่ไหม ถ้าดับเหตุที่จะให้จิตเกิดได้ทั้งหมด จิตจะเกิดได้ไหม
- เพราะฉะนั้นจิตเกิดเป็นภวังค์แล้วมีเห็นมีได้ยินมีคิดนึกทาง ๕ ทวารและมโนทวาร แต่ขณะใดที่ไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่จิตที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและไม่คิดนึกทางใจ จิตต่อไปมีมั้ย มีอะไร (กิริยาจิต) ถ้ามีมโนทวาราวัชชนจิตก็ต้องมีจิตที่คิดแต่นี่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่จิตที่คิดก็ไม่มีขณะนั้นมีอะไร
- ฟังดีๆ อีกครั้งหนึ่ง ไม่มีภวังคจิต ไม่มีจิตที่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีอะไร (จุติจิต)
- เพราะฉะนั้นถามว่า ถามว่า นี่เป็นการให้คิดให้ละเอียด ให้รอบคอบ ให้ตรงต่อคำถามและต่อทุกอย่าง ขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่เรื่องยาวๆ กำลังพูดถึงจิตแต่ละขณะทำกิจอะไร (ต้องมีจิตอยู่แล้ว)
- ไม่ใช่ว่าต้องมีหรือไม่ต้องมี ฟังคำถามอีกที ขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นเป็นอะไร คำตอบคือเป็นอะไร (ถ้าจะให้ตอบคือเดา)
- ไม่ได้ เดาไม่ได้ ฟังดีๆ เขารู้แต่เขาไม่ได้พิจารณาไม่ได้ไตร่ตรองคำถามและไม่มั่นคงในการที่ว่าไม่มีเราแล้วมีอะไร เรากำลังพูดถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ภวังค์ ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ขณะนั้นเป็นอะไรที่ไม่ใช่ภวังค์ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นเป็นอะไร (มีรูป)
- เราไม่ได้พูดถึงเรื่องรูปเลยใช่ไหม เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ถามเขาเราเอาเรื่องรูปมาพูดได้อย่างไร พูดถึงอะไรก็ต้องเป็นเรื่องนั้น (ถ้าไม่ใช่จิตที่กล่าวมาทั้งหมดต้องเป็นปฏิสนธิจิตถ้ามีเหตุอยู่)
- เรากำลังพูดเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นฟัง ฟัง เรากำลังพูดถึงจิตที่เกิดขึ้นทำกิจใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ภวังคจิต จิตไม่ได้เกิดทำภวังคกิจ ไม่ใช่การที่จะเห็น ได้ยิน ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและคิดนึก ขณะนั้นเป็นอะไร ขณะนั้นไม่ใช่ต่อจากนั้น ขณะนั้นเป็นอะไร ที่ไม่ใช่ภวังค์ ที่ไม่ใช่ทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจทั้งหมด ขณะนั้นไม่ใช่ขณะอื่น ต้องเป็นคนที่ละเอียดฟังแล้วไตร่ตรอง เริ่มเป็นคนไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราเอง นี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดไม่ใช่ตามเขา
- (ต้องเป็นจุติหรือปฏิสนธกิจ) ถามว่าขณะนั้นขณะเดียวใช่ไหมเป็นอะไร ไม่ใช่หรือ หรืออย่างนั้นหรืออย่างนี้ ต้องฟังคำถาม ไตร่ตรอง คิดและตอบให้ตรง
(คำตอบคือปฏิสนธิ) เดี๋ยวก่อน ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้อะไรเลยแล้วเป็นปฏิสนธิหรือ
- (ถ้ายังมีเหตุอยู่และถ้าไม่เป็นภวังค์ไม่ได้เป็นวิถีจิต) ขณะนั้นฟังนะคะ ไม่ใช่เป็นทั้งหมดนั่น แล้วก็ขณะนั้นต้อง ๑ ขณะใช่ไหม ขณะนั้นกี่ขณะ เห็น ๑ ขณะ ได้ยิน ๑ ขณะ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ ถ้าไม่ใช่ ๑ ขณะเหล่านั้นเลย ขณะนั้นเป็นอะไรที่ไม่ใช่ขณะต่างๆ ที่เรากล่าวแล้ว จะเป็นกี่ขณะ ขณะนั้น (ถ้าไม่ใช่จิตพวกนั้นก็ต้องเป็นปัญจทวาร)
- เดี๋ยวก่อน บอกแล้วว่าไม่ใช่ภวังค์ ไม่ใช่ปัญจทวาราวัชชนะ ไม่ใช่สัมปฏิจฉันนะ ไม่ใช่สันตีรณะไม่ใช่ชวนะ ทั้งทางมโนทวารด้วย แล้วมีจิตเกิดไหม
- นี่คือการที่เราจะเข้าใจธรรมมั่นคง ละเอียด ไตร่ตรอง ลึกซึ้ง เปลี่ยนไม่ได้เพราะเป็นความจริง เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่า จิตเกิดแล้วดับ จิตที่ดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดตราบใดที่ยังมีปัจจัยให้เกิดใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นจิตเกิดแล้วไม่ดับมีไหม เมื่อจิตนั้นดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดใช่ไหม และจิตเกิดแล้วจิตทุกขณะต้องทำกิจใช่ไหม ไม่ใช่เกิดมาเปล่าๆ ไม่มีแต่จิตเกิดขึ้นทำกิจ เป็นลักษณะของจิต เป็นภาวะของจิตที่ต้องเกิดขึ้นทำกิจ ไม่อย่างนั้นไม่มีอะไรในโลกนี้ ไม่มีอะไรเลยไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีอะไรทำเลยใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นฟังคำถามอีกครั้งหนึ่งและการที่เข้าใจคำที่กล่าวแล้วจะเป็นคำตอบ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่วิถีจิตทั้งหมด ขณะนั้นเป็นอะไร
- (รู้ว่าต้องเป็นจิต แต่ไม่ทราบว่าจิตไหน) แต่ต้องมีใช่มั้ย ทุกคนรับรอง ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่ภวังค์ เพราะฉะนั้นจิตนั้นไม่ใช่เดี๋ยวนี้ใช่มั้ย
- ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่ใช่ภวังค์ ไม่ใช่วิถีจิตทั้งหมด ต้องมีจิตใช่ไหมที่ไม่ใช่จิตเหล่านี้
- ถ้าบอกว่า มีจิตต้องมีหน้าที่มีกิจใช่ไหม รู้หรือยังว่าจิตอะไร
- ทุกคนอยากจะทราบใช่ไหม คิดไม่ออกแล้วใช่ไหม จิตนั้นต้องทำจุติเป็นขณะสุดท้ายของชาตินี้ทำกิจพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ ทำจุติกิจหมายความว่า พ้นสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ เป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้
- ถ้าจิตนี้ไม่เกิดก็ไม่ตายใช่ไหม ไม่ว่าจะเจ็บหนัก ไม่ว่าจะถูกยิง ไม่ว่าจะกำลังสนุกหัวเราะหรืออะไรก็ตาม ถ้าจิตนี้เกิดขึ้นพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ทันที จะเป็นคนนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ยังสงสัยมั้ย
- ถ้าขณะนั้น ไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่วิถีจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่จุติจิต ขณะนั้นอะไร
- ถูกต้อง เข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่เราทั้งหมดแต่ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามีจิตต้องมีหน้าที่ทุกขณะ จิตเกิดขึ้นต้องทำหน้าที่ ไม่มีจิตที่ไม่ทำหน้าที่เลย จิตมีมีมากแต่หน้าที่ของจิตทั้งหมดมี ๑๔ กิจ
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจมั่นคง ไม่มีเราแต่มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อไหร่จะเห็น เมื่อไหร่จะตาย เมื่อไหร่จะเกิดใช่ไหม
เพราะฉะนั้นฟังคำถามต่อไปอีก จะได้คิดด้วยความเข้าใจ ขณะที่จุติจิตเกิดแล้วปฏิสนธิจิตเกิดรู้มั้ยว่า อะไรเกิด (ภวังค์)
- เพราะฉะนั้นเป็นผลของกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เลือกไม่ได้ว่าทันทีที่จุติของชาตินี้ดับปฏิสนธิจะเป็นผลของกรรมอะไรแต่ต้องเป็นผลของกรรมคือ วิบากจิต
- ชาตินี้ทำกรรมไว้มากมั้ย ทำกุศลกรรมมากมั้ย ทำอกุศลกรรมมากมั้ย แล้วชาติก่อนๆ ชาตินี้แสนโกฏิกัปป์เป็นอย่างนี้รึเปล่า เพราะฉะนั้นเลือกให้กรรมใดให้ผลได้ไหม
- เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนนี้เพราะกรรมหนึ่งในชาติก่อนหรือชาติโน้นๆ ในสังสารวัฏฏ์ก็ได้ ยังมีกำลังที่จะให้ผลทำให้เกิดได้ เลือกไม่ได้ว่าจะเป็นผลของกรรมชาติไหน
- ขาตินี้ที่เกิดเป็นอาช่า เป็นคุณสุคิน เป็นสุจินต์ เป็นใครๆ เป็นผลของกรรมอะไร (เป็นผลของกุศลกรรม) แต่ต่างกันใช่ไหม
- เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว จุติดับแล้ว ปฏิสนธิจิตต้องเกิดแน่นอนใช่ไหม เลือกไม่ได้ว่า กุศลกรรมจะให้ผลหรืออกุศลกรรมจะให้ผล แต่ถ้าเกิดเพราะเป็นผลของอกุศลกรรมเกิดในนรก เปรต เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสุรกาย ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจธรรมอย่างในขณะนี้
- ไปนรกเดี๋ยวนี้ได้ไหม ไปสวรรค์เดี๋ยวนี้ได้ไหมเทวโลก กรรมอะไรทำให้ไปเกิดที่ดี กรรมอะไรทำให้ไปเกิดไม่ดี
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงความจริงให้ทุกคนรู้เพื่อที่จะได้ไม่ประมาทในการที่จะทำกุศลและเว้นที่จะทำอกุศล
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริงที่ประเทศนี้ แสดงธรรมที่ประเทศนี้จึงจะต้องดำรงรักษาคำสอนของพระองค์ไว้เมื่อมีความเข้าใจให้ทุกคนในโลกได้เข้าใจด้วย
- สองพันห้าร้อยสองพันหกร้อยปีมาแล้วพระองค์ประทับที่นี่แสดงธรรมอย่างนี่ให้ทุกคนมีความเห็นที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะดำรงคำสอนเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเพื่อได้ประโยชน์จากการที่ได้รู้จักพระองค์
- เราคิดว่า ทุกอย่างที่มีจริงไม่ดับไปเลยและไม่เห็นว่าเกิดด้วยเพียงแต่ว่ามีตลอดเวลา แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่มีอะไรแน่นอน และสิ่งที่มีมากทุกอย่างเกิดดับทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือเลย
- สิ่งที่ดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลยแต่ก็มีสิ่งที่เกิดสืบต่อเรื่อยๆ จนกระทั่งเหมือนไม่มีอะไรที่ดับไปเลย แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับและเกิดแล้วดับไม่สิ้นสุดจนกว่ามีความเห็นที่ถูกต้อง
- เป็นโอกาสที่ประเสริฐมากที่ได้สะสมมาแล้วที่ได้ยินคำของพระองค์และเห็นพระคุณที่ทำให้เราเกิดความเข้าใจซึ่งไม่พอ ต้องเข้าใจอีกเข้าใจอีกจนกว่าจะรู้แจ้งสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจจะ
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงเพื่อรู้ความจริงว่า ไม่มีเราอย่างที่เคยคิดเป็นแต่เพียงสภาพธรรมทั้งหมด
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีว่า เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ที่เกิดดับถ้าไม่ดับก็ต้องมีอยู่ตลอดไปแต่นี่เปลี่ยนตลอด แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีดับจึงเปลี่ยน ถ้าไม่ดับก็เปลี่ยนไม่ได้
- ค่อยๆ เข้าใจความจริง ค่อยๆ ละความไม่รู้และความติดข้องที่ทำให้ต้องเกิดไม่หยุด เพราะฉะนั้นเริ่มคิด เริ่มพิจารณา เริ่มไตร่ตรองว่า เกิดแล้วก็ตายแล้วก็หมดสิ้นทุกอย่างไม่จบสิ้น มีประโยชน์อะไรหรือเปล่า
- มีสุข มีทุกข์ มีเกิดเป็นคน เกิดเป็นสัตว์ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็ไม่จบกับการที่สามารถที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราเลยทุกอย่างเกิดเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่เบื่อที่จะเกิดอีกเกิดอีกตายอีกตายอีก
- เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงจนประจักษ์แจ้งที่สามารถที่จะค่อยๆ เห็นความไม่มีสาระของธรรมที่เกิดดับ เมื่อมีปัญญาก็รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงสั้นมากไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเพราะฉะนั้นมีประโยชน์อะไรที่จะเป็นอย่างนี้ไม่จบ แต่ถ้าไม่มีปัญญาที่เข้าใจความจริงจนประจักษ์แจ้งก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการดับไม่มีอะไรเกิดเลยซึ่งหมายความถึงนิพพาน
- เพราะฉะนั้นจะถึงปัญญาระดับที่สามารถที่จะดับทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกิดอีกได้เลยก็ต้องเริ่มเข้าใจความจริงทีละเล็กทีละน้อยตรงตามความเป็นจริง
- เริ่มเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นรึเปล่า เดี๋ยวนี้เป็นจริงอย่างที่ได้ฟังรึเปล่า (เข้าใจแค่ขั้นฟัง) ดีมากที่เริ่มเข้าใจจริงๆ ตามความเป็นจริงว่า เพียงฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์ความจริงที่กำลังเกิดดับ
- นี่เป็นการเริ่มเข้าใจมั่นคงในอริยสัจ ๔ เมื่อมีความเข้าใจขั้นต้นก็จะนำไปสู่ “ปฏิปัตติ” ซึ่งเป็นขั้นที่ ๒ ปริยัติ ปฏิปัตติ
- ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยแล้วไปนั่งดูโน่นดูนี่ คิดว่าจะรู้ความจริงที่เกิดดับได้ไหม (เป็นไปไม่ได้เพราะคนที่คิดอย่างนั้นไม่ได้เข้าใจอะไรเลยเพียงทำตามคนที่สอนแต่ไม่เข้าใจความจริง) ยินดีอย่างยิ่งที่ความเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประดิษฐานที่ประเทศอินเดีย
- ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงในปริยัติ ปฏิปัตติเกิดไม่ได้ ปฏิเวธเกิดไม่ได้ บังคับให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด พยายามที่จะทำให้เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้
- ต้องเข้าใจมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ทรงแสดงให้เราเริ่มเข้าใจสิ่งที่จริงแต่ละหนึ่ง
- สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็นเป็นเห็นเท่านั้นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ เห็นเกิดขึ้นทำกิจอะไรรึเปล่า ทำกิจอะไร (กิจเห็น) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เรารู้จักกี่กิจแล้ว (๕ กิจ) และมีกิจต่อไปที่เขารู้ด้วยใช่ไหม ก็นับกิจมาเลย (เท่าที่จำได้ ปฏิสนธิ๑ ภวังค์๒ อาวัชชนะ๓ จุติ๔ เห็น๕ ได้ยิน๖ ลิ้มรส๗ ได้กลิ่น๘ รู้ทางกาย๙ คิด)
- เดี๋ยวก่อน คิดเป็นกิจอะไร (ชวนะ) นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องศึกษาให้มั่นคงทีละคำ ไม่ใช่เรื่องจำแต่เป็นเรื่องเข้าใจจริงๆ
- ส่วนใหญ่เราฟัง เราคิด เราเข้าใจ เราคิดเข้าใจจำได้แต่ความลึกซึ้งยังไม่พอ เราพูดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้เพื่ออะไร เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามที่เราพูดแต่ละคำ
- พูดถึงเห็นกำลังเห็น พูดถึงได้ยิน พูดถึงคิด พูดถึงชอบ ทุกอย่างมีเดี๋ยวนี้แต่ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นเราพูดให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทุกวันและเดี๋ยวนี้กำลังมีเพื่อเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเราเป็นอริยสัจรอบที่ ๑ ก่อน เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้ตามลำดับ
- เราเริ่มรู้จักธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตและเราก็รู้เพิ่มขึ้นว่า จิตเกิดขึ้นต้องทำกิจหนึ่งกิจใดใน ๑๔ กิจ เพราะฉะนั้นเราจะพูดถึงจิตตามลำดับที่เข้าใจได้
- กิจที่ ๑ ปฏิสนธิกิจ มีจิตหลายประเภทซึ่งเป็นผลของกรรม กรรมดีกรรมชั่วต่างๆ ทำกิจเกิดขึ้นในภพภูมิต่างๆ และกรรมนั้นแหละไม่ได้เพียงทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดยังทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้นดำรงความเป็นบุคคลนั้นไว้จนกว่าจะสิ้นสุดของกรรม
- เพราะฉะนั้นจิตที่ทำกิจดำรงความเป็นบุคคลนั้นไม่ได้ทำกิจเห็นอะไรเลยทั้งหมด ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึกแต่กิจดำรงภพชาติเป็นภวังคกิจ และกิจที่ ๓ กิจสุดท้ายซึ่งเหมือนกัน ปฏิสนธิจิต ภวังคจิตเป็นจิตประเภทเดียวกัน เกิดเพราะกรรมเดียวกันและยังมีจิตซึ่งเป็นจุติจิตเป็นผลของกรรมประเภทเดียวกันเกิดขึ้น แต่ปฏิสนธิจิตทำกิจแรกจุติจิตทำกิจสุดท้ายสิ้นสุดและภวังค์ระหว่างที่ยังไม่สิ้นสุดทำกิจดำรงภพชาติ ๓ กิจนี้แน่นอน เป็นจิตประเภทเดียวกันไม่รู้อารมณ์ทางตา หูจมูก ลิ้น กาย มั่นคงในเรื่องนี้ก่อนและต่อไปเราจะพูดถึงกิจซึ่งไม่ใช่ ๓ กิจนี้
- เพราะฉะนั้นระหว่างปฏิสนธิเกิดกับจุติตาย จิตที่เกิดระหว่างที่ยังไม่ตายทำ ๑๒ กิจ ไม่ว่าจะเป็นจิตมากมายอย่างไร เท่าไหร่ ประเภทใดก็ตามจะต้องทำกิจ ๑ เท่านั้นใน ๑๔ กิจ ไม่ทำกิจเลยไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่อไปจะได้ทราบว่า จิตอะไรบ้างที่ทำกิจหนึ่งๆ เพราะจิตมีมากแต่ต้องทำ ๑ กิจใน ๑๔ กิจเท่านั้น
- การที่จะรู้ความจริงของจิตที่ทำกิจเดี๋ยวนี้ไม่ง่าย ต้องอาศัยความเข้าใจทีละน้อยๆ จนค่อยๆ สามารถเป็นปัจจัยให้ถึงปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งเป็น “ปฏิปัตติ” กำลังรู้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ตามที่ได้เข้าใจ
- สำหรับวันนี้ก็ถึงเวลาแล้วเพราะฉะนั้นเขาก็ไปอ่านทบทวนและไม่ลืมว่า จิตที่เขากำลังเริ่มรู้ทำกิจอะไร หวังว่าทุกคนจะเข้าใจความลึกซึ้ง ไม่ประมาทเพื่อที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยินดีในกุศลคุณสุคินและชาวอินเดียผู้ร่วมสนทนาทุกท่านครับ
กราบอนุโมทนากุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ