สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที่มูลนิธิฯ
วันอาทิตย์ที่ ๙ ก.พ. ๒๕๕๒
ท่านอาจารย์ อะไร..เป็นของคุณธนากรบ้างค่ะ
ผู้ฟัง ไม่มีเลยครับ
ท่านอาจารย์ ก่อน..หน้านี้มีไหมค่ะ?
ผู้ฟัง ก่อนนี้ ก็เคยยึดถือว่าของๆ ผมหมดเลย
ท่านอาจารย์ อะไร..บ้าง?
ผู้ฟัง ก็ตั้งแต่ศีรษะเป็นต้นมา
ท่านอาจารย์ ตอนนี้..ศีรษะปรากฎไหมค่ะ?
ผู้ฟัง ปรากฎเมื่อคิดนึกครับ แล้วก็หมดไป
ท่านอาจารย์ คิดนึก..อย่างไรจึงจะปรากฎ?
ผู้ฟัง ที่คิดก็เป็นเรื่องราว แต่จริงๆ ไม่มี
ท่านอาจารย์ พูดถึง..ศีรษะ คิดยังไงที่จะให้ศีรษะปรากฎ
ผู้ฟัง บางที ก็ทรงจำเป็นรูปร่าง หรือศีรษะ บางทีก็เป็นลักษณะแข็งที่ปรากฎ
ท่านอาจารย์ ถ้า..ไม่วาดรูป จะนึกออกไหมค่ะ
ผู้ฟัง นึกไม่ออกครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น..แสดงให้เห็นว่า สิ่งใดที่ไม่ปรากฎ ก็ยังหลงยึดถือว่ามีและยังเข้าใจว่าเป็นเราด้วย นี้คือความไม่รู้ระดับไหน สิ่งที่มีก็ยังไม่รู้ แล้วสิ่งที่ไม่มี ก็ยังไปจำว่ามี ทั้งๆ ที่ไม่มีเลย ถ้าเข้าใจความจริงของโลก คือสภาพธรรมที่ปรากฎแต่ละทาง ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฎทางตาให้เห็น ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีการกระทบสัมผัสอะไรๆ เลย จะมีอะไรในโลกปรากฏได้ไหม ไม่มี แต่เมื่อมีสิ่งนี้เกิดแล้วดับ ไม่รู้การเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับอย่างเร็ว ก็สืบต่อ จนกระทั่ง มีความทรงจำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกคนที่เกิดมา แรกเกิดนี้รู้อะไรไหมค่ะ เกิดมามีเห็นไหม เกิดแล้วมี เกิดแล้วได้ยินไหม ได้ยิน คิดหรือเปล่า คิด แต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่สิ่งที่ปรากฎ ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร นี่คือความจริงนะค่ะ
เมื่อออกจากครรภ์มารดา ก็จะมีสิ่งที่ปรากฎทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หรือพอเกิดมาก็รู้เลย เป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ใช่ไหม แสดงให้เห็นอวิชชา เกิดมาเพราะความไม่รู้ เกิดแล้วก็ไม่รู้ เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ ตั้งแต่เกิด แล้วลองดูซิค่ะ แต่ละวันที่ผ่านไปนี้ ความรู้จะเริ่มเกิดเมื่อไร จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นปัญญาจริงๆ เป็นแต่เพียงความจำ ซึ่งเกิดกับจิต แต่ละขณะ ขณะนี้นะค่ะ ถ้าไม่เคยเกิดมาที่จะจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฎ จะรู้ไหมว่าสิ่งที่ปรากฎนี้คืออะไร ก็คือไม่รู้
เพราะฉะนั้น เริ่มจากความไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่พอบ่อยขึ้นๆ ก็เริ่มจำได้ แต่ยังพูดไม่ได้ เรียกไม่ได้ แต่สามารถจะจำสิ่งที่ปรากฎทางตาได้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อันไม่รู้ความจริง คิดว่า สิ่งนั้นเที่ยง ไม่ได้มีความเข้าใจการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ซึ่งเป็นความจริงเลย ตั้งแต่เกิด แล้วเวลาที่ได้ยินเสียง เริ่มจำเสียงแล้วใช่ไหมค่ะ แต่ยังพูดไม่ได้อีก แต่ว่าก็จำจนกระทั่งเริ่มสามารถรู้ความหมายของเสียง ว่าเสียงแต่ละเสียง หมายความว่าอะไร นี่คือชีวิตจริงๆ ขณะนี้ก็ไม่รู้อะไร แม้แต่เสียงปรากฎก็ไม่รู้ ก็ยังจำ จนกระทั่งสามารถที่จะพูดได้ แต่ก็ไม่ได้รู้ความจริงในขณะนั้น ว่าขณะนั้นความจริงแท้คืออะไร เพราะเกิดมามีสิ่งที่ปรากฎ ยังไม่ได้เป็นใคร
เวลาที่ได้ยินเสียง เสียงก็ปรากฎ โดยยังไม่ได้เป็นเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็มีความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฎ พอโตขึ้นก็เริ่มรู้ จากการที่ได้รับคำบอกเล่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ จนกระทั่งโต แล้วไปโรงเรียน ก็รู้แต่เรื่องอื่นทั้งนั้น แต่ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว สภาพธรรมที่ปรากฎนั้น เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ความจำซึ่งจำมาตั้งแต่เด็ก ว่าสิ่งนั้นน่ะเที่ยง โตขึ้นก็จำเพิ่มขึ้นไปอีกว่า เที่ยง เที่ยงทุกอย่าง ไม่ว่าเห็นคนก็เที่ยง ต้นไม้ก็เที่ยง ทุกอย่างก็เที่ยง เพราะจำมา สิ่งนั้นแม้ไม่เห็น ก็เหมือนยังมีอยู่
สิ่งที่มีก็ยังไม่รู้
แล้วสิ่งที่ไม่มี ก็ยังไปจำว่ามี ทั้งๆ ที่ไม่มีเลย
ขออนุโมทนาครับ
แสดงให้เห็นอวิชชา เกิดมาเพราะความไม่รู้ เกิดแล้วก็ไม่รู้
อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ตอนนี้..ศีรษะปรากฎไหมค่ะ?
ปรากฎเมื่อคิดนึกครับ แล้วก็หมดไป
คิดนึก..อย่างไรจึงจะปรากฎ?
ที่คิดก็เป็นเรื่องราว แต่จริงๆ ไม่มี
ทุกอย่างก็เที่ยง เพราะจำมา สิ่งนั้นแม้ไม่เห็น ก็เหมือนยังมีอยู่
ขออนุโมทนาครับ
ผมเคยได้ยินว่า คนที่เพิ่งแขนขาดไป จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่ายังมีแขนอยู่ แสดงว่า จำว่ามีแขนอยู่ ทั้งๆ ที่แขนไม่มีแล้ว เหมือนกับคนปกติ ที่จำว่าร่างกายยังอยู่ครบ หากไม่มองหรือจับต้องดู ก็ไม่รู้จริงๆ นะครับว่ายังอยู่หรือเปล่า?
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
แสดงให้เห็นอวิชชา เกิดมาเพราะความไม่รู้ เกิดแล้วก็ไม่รู้ เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ ตั้งแต่เกิดพอโตขึ้นก็เริ่มรู้ จากการที่ได้รับคำบอกเล่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ จนกระทั่งโต ก็จำเพิ่มขึ้นไปอีกว่า เที่ยง เที่ยงทุกอย่าง ไม่ว่าเห็นคนก็เที่ยง
ขอกราบท่านอาจารย์ด้วยค้วยความเคารพค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ สาธุ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ