ทำอย่างไรดี ให้บิดามารดามีความเข้าใจในสภาวธรรม เพราะท่านมักอ้างเรื่องการทำมาค้าขาย มีแนวทางอย่างไรที่จะเป็น วิธีที่ฉลาดและดีที่สุดหรือว่าต้องรอให้กุศลวิบากของท่านเกิดขึ้นเอง ครับ
มารดาบิดาหรือบุคคลใดก็ตาม จะเข้าใจสภาวธรรมได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือถ้ามีโอกาส เราอาจพูดถึงปรมัตถธรรมหรือเปิดเทปที่กล่าวถึงปรมัตถธรรมให้ท่านได้ยินบ้างในบางโอกาส หรือชวนให้ท่านเห็นประโยชน์ของการศึกษาปรมัตถธรรม ว่ามีประโยชน์อย่างไร ซึ่งทั้งหมดไม่ควรหวังอะไรมาก ถ้าท่านสะสมมาที่จะเป็นผู้รับฟังเรื่องที่มีเหตุผล ท่านก็สนใจศึกษา แต่ถ้าไม่มีอุปนิสัยในเรื่องสภาพธรรมอย่างละเอียด ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงไม่ได้
พระธรรมไม่สาธารณะกับทุกคน ถ้าท่านสะสมเหตุมา วันนี้ไม่สนใจ แต่สักวันหนึ่งท่านอาจจะสนใจก็ได้ อาจจะยังไม่ถึงเวลา แต่เราก็สามารถช่วยทางอ้อมได้ เช่น พูดธรรมะที่เราฟังแล้วเข้าใจให้ท่านฟังวันละหน่อย เช่น พูดชักชวนให้ทำบุญ พูดเรื่องศีล คุณของการรักษาศีล โทษของการทุศีล พูดเรื่องสติปัฏฐาน หรือเล่าชาดกให้ท่านฟัง ฯลฯ
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาอย่างไรคือ ต้องอาศัยเหตุปัจจัยพร้อม สภาพธัมมะแต่ละอย่างจึงจะเกิดได้ การเห็นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเหตุ ปัจจัย คืออาศัย ตา และกระทบกับ รูป (สี) เป็นต้น จึงจะเกิดการเห็นได้ ความสนใจและเข้าใจพระธรรม ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยพร้อมหลายประการเช่นกัน คือ ตัวบุคคลนั้นสะสมความสนใจในพระธรรม การคบสัตบุรุษ การได้ยินได้ฟังพระธรรม และกาลเวลาที่เหตุปัจจัยพร้อมที่จะสนใจพระธรรม (อินทรีย์แก่กล้า) ดังนั้น การให้ใครเข้าใจพระธรรม มิใช่การบังคับเพราะไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม การให้ท่านได้ยินได้ฟัง โดยเราเปิดเอง พูดอธิบายเล็กน้อย โดยดูกาลและเทศะ ส่วนท่านจะสนใจหรือไม่ ไม่มีใครทราบได้ว่าท่านสะสมความสนใจพระธรรมมาหรือไม่ แต่เราก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด และต้องไม่ลืมเสมอว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตนและเป็นอนัตตา สุดท้ายก็ต้องกลับมาเริ่มที่เราว่า เรามีความเข้าใจถูกต้องหรือยังครับ
อ่านเพิ่มเติมจากพระสุตตันตปิฎก ..
แม้พระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมก็ทรงทราบกาลที่เหมาะสมที่ควรแสดง
ข้อความจาก .. อรรถกถาติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๒
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาครับ
ขอกราบ คุณพ่อและคุณแม่ ในพระคุณที่ทำให้ได้เกิดมา และได้ศึกษาพระธรรมครับ
ในยุคสมัยนี้ ผู้ที่เป็นอุคติตัญญู หรือวิปปัญจิตัญญู ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะยังมีอยู่ไหมส่วนใหญ่จึงมีเพียงผู้ที่เป็นเนยยบุคคลกับปทปรมะ ซึ่งผู้ที่เป็นเนยยบุคคลก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าใครเป็น หรือใครไม่เป็น ต้องอาศัยการสนทนาธรรมกัน จึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงได้มากน้อยเพียงใด
ผู้ที่เป็นเนยบุคคลต้องอาศัยการฟังมาก พิจารณามาก อบรมมาก ใช้เวลานานมากกว่าญาณแต่ละขั้นจะเกิด แต่ก็สามารถจะเป็นผู้ที่ตรัสรู้ได้ ดังเช่น พระราหุล เราจึงต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมคำสอนให้ละเอียดขึ้น เพื่อช่วยตนเองให้เกิดปัญญาความเห็นถูกจริงๆ ก่อน ส่วนบุพการี หากท่านไม่ได้สะสมการฟังพระธรรมในขั้นปัญญามา การได้ฟังพระธรรมในขั้นศีล และขั้นทาน อาจจะเป็นประโยชน์กับท่านมากกว่าครับ
การศึกษาธรรมะ เป็นเรื่องยาก และกว้างมาก มีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ในเมื่อเรายังรู้ไม่มากเราก็ไม่สามารถจะชักชวนคนอื่นฟังได้ ขณะที่ท่านอยู่ด้วยกับเรา อาจจะเปิดเทปธรรมะไปด้วย หากถ้อยคำใดสะดุจใจท่าน ท่านก็คงจะเริ่มสนใจ และเริ่มฟังธรรมหากท่านถามอะไร แล้วเราพอทราบ ก็พร้อมจะแนะนำท่านเต็มที่คะ
มารดาของพระสารีบุตร ซึ่งเป็นแม่ของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์ ตอนแรกก็ไม่สนใจฟังธรรม เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ได้ฟังธรรมจากพระสารีบุตร และได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน พระสารีบุตรไปปรินิพพานที่บ้านเกิดเพื่อจะไปโปรดมารดา และทดแทนบุญคุณของมารดาค่ะ
ค่อยๆ แนะนำท่านทีละเล็กละน้อย แม้การคุยกันในชีวิตประจำวัน ก็คุยธรรมได้ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ถ้าท่านไม่ได้สะสมมาเป็นเรื่องยากครับ ผมเคยพูดธรรมให้ฟังไม่ถึง ๕ นาทีท่านหลับเลย ก็ดีเหมื่อนกันครับถ้าจะให้ท่านหลับก็พูดธรรมให้ฟัง บางที่ผู้เป็นลูกก็ต้องทำให้ท่านเชื่อถือก่อน ถ้าท่านไม่เชื่อถือจะให้ท่านฟังคงยากใหญ่ เช่นผมเป็นต้น
ถ้าท่านเคยสะสมมา ง่ายมากครับ
จากประสบการณ์ ขอแนะดังนี้ครับ
๑.ถ้าคุณแม่ไม่ชอบฟังธรรม ลองอัดเสียงอ่านของท่านเจ้าของกระทู้ลงในเทปหรือซีดี
๒.ถ้าเป็นผู้ชาย ให้บวชวัดใกล้บ้านคุณแม่ พอคุณแม่มาทำบุญก็เทศน์ให้ท่านฟัง
๓.เขียนพระธรรมด้วยลายมือ แล้วส่งเป็นจดหมายให้คุณแม่อ่านทุกสัปดาห์
เพราะคุณแม่ทุกท่านย่อมภูมิใจในผลงานของลูก และย่อมแปลกใจว่าทำไมเราถึงสนใจพระธรรม เมื่อเรามีความพยายามให้ท่านเห็นเช่นนี้ ท่านก็จะศรัทธาว่าพระธรรมสามารถเปลี่ยนลูกที่เกเรเป็นคนที่ดีและตอบแทนพระคุณได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ. . .
ยินดีในกุศลจิตค่ะ