ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๗
โดย khampan.a  30 เม.ย. 2560
หัวข้อหมายเลข 28808

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๗


~ ข้อปฏิบัติผิดยิ่งมีมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งจะทำให้พระสัทธรรม การที่จะเจริญหนทางข้อปฏิบัติที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยเจ้าอันตรธานเร็ว เท่านั้น เพราะย่อมมีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติ จนกระทั่งทำให้พระสัทธรรม คือ ข้อปฏิบัติที่ถูกต้องนั้น ลบเลือน

~ ถ้าใครก็ตามที่เป็นคนดี แล้วถูกคนอื่นว่ามากมายต่างๆ นานา คำว่าร้ายทุกคำ ไม่สามารถจะเปลี่ยนความดีนั้นให้เป็นความไม่ดีอย่างที่เขาว่าได้ ก็จบ ไม่มีอะไรที่จะต้องเดือดร้อนเลย
~ ใครที่ฟังพระธรรมเข้าใจ แสดงว่าเป็นผู้ได้รับผลจากทรงตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ใครก็ตามไม่ได้ศึกษาธรรม คิดเองหมด แล้วจะถูกไหม?

~ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เมตตาเป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโทสะ ก็จะไม่คิดที่จะเจริญเมตตา เพราะเหตุว่าเมตตาก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดง่าย แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรมจริงๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่า ถ้ายังคงมีอกุศลมากมาย การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) นี่ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นในเรื่องของการฟังพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องฟังแล้วพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองเพื่อประโยชน์อันแท้จริง

~ ในชาติหนึ่งๆ ที่เกิดมามีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม เป็นขณะที่แสนยากในสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าบางคนเกิดมามีโอกาสแต่ไม่ฟัง หรือว่าบางคนฟังแล้วไม่มีการสะสมที่จะเห็นประโยชน์ ก็ผ่านเลยไปในแต่ละวัน

~ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้มีประโยชน์เกื้อกูลให้ระลึกพิจารณาให้ถ่องแท้ เพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่นด้วย มิฉะนั้นแล้วถ้าบุคคลหนึ่งบุคคลใดเข้าใจผิด และก็ชักชวนบุคคลอื่นให้เข้าใจผิด ปฏิบัติผิดตามๆ กันไป ผู้นั้นก็ย่อมหมดโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรมโดยถูกต้อง

~ การที่กุศลแต่ละขณะจะเกิดได้ จะเจริญได้ จะเห็นว่า จะต้องอาศัยความเพียร ความอดทนต่อการที่จะไม่เป็นอกุศลในขณะนั้น

~ การที่จะเป็นคฤหัสถ์ที่ดี ก็คือฟังพระธรรม พิจารณาให้เข้าใจ ประพฤติปฏิบัติตามในเพศของคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าเพศของบรรพชิตนั้นต้องเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่จริงๆ สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติทั้งหมด สละ คือ ไม่มีความติดข้อง ไม่ใช่ว่าเมื่อไปแล้วก็ยังติดข้องอยู่ นี่ต้องพิจารณาเห็นความต่างกันระหว่างเพศคฤหัสถ์กับบรรพชิต เพราะฉะนั้น บรรพชิตจึงได้รับสักการะจากคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ไม่สามารถจะทำตามอย่างนั้นได้

~ คนที่มีกิเลส มีความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เหมือนเหยื่อที่ล่อให้กระทำทุจริตกรรม แล้วก็ได้รับผลของกรรมในภายหลัง ซึ่งเป็นวิบากที่เลวทราม เป็นวิบากที่ไม่เป็นสุขเลย เป็นวิบากที่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

~ ถ้าท่านเป็นผู้ที่เห็นว่า ความเห็นถูก การปฏิบัติถูก สำคัญกว่า ท่านย่อมจะเกื้อกูลทั้งตัวของท่านเองและบุคคลอื่นได้ ในข้อปฏิบัติที่ถูก ในความเห็นที่ถูก

~ ​สัจจะ (ความจริงใจ) หมายความถึงกุศลจิตซึ่งตรงต่อการอบรมเจริญกุศล เพื่อเป็นบารมี (ความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ยิ่งขึ้น ไม่คลาดเคลื่อนจากความคิดที่เป็นไปในกุศลว่า จะละเว้นการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยวาจาที่ไม่น่าฟัง เพราะรู้ว่าทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ว่าบางครั้งเวลาโกรธก็ลืมสัจจะนั้นเสียแล้ว หรือว่าไม่ตรงต่อการยับยั้งที่จะไม่พูดวาจาที่ไม่น่าฟังนั้น

~ ใครที่มักโกรธในชาตินี้ ให้ทราบว่าชาติก่อนๆ ก็ต้องมักโกรธ แล้วถ้าชาตินี้ยังมักโกรธอย่างชาตินี้ต่อไปอีก ก็ให้นึกถึงภาพชาติหน้าได้ว่าจะเป็นอย่างไร อยากจะเป็นอย่างนั้นต่อไป หรือว่าอยากเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าอยากจะเป็นอย่างอื่น ก็ต้องเริ่มสะสมทางฝ่ายกุศลไว้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้

~ โกรธแล้วก็ยังไม่ลืม เพราะฉะนั้น เมื่อคิดผูกโกรธอีก ก็แสดงให้เห็นว่า ยังเป็นคนว่ายากที่ยังไม่เห็นโทษของความโกรธ

~ ไม่ประมาท เพราะเห็นว่าตราบใดที่ยังมีอกุศลธรรมอยู่ ก็จะต้องเจริญกุศล ทุกประการเพื่อที่จะละอกุศลธรรมนั้น

~ ผู้ที่ฉลาดจริงๆ หาโทษของตนเองว่ามีโทษอะไรบ้าง ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็น อาจจะไม่รู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่อาจจะรู้ดี และในขณะเดียวกัน ถ้ามีการ เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นก็หากุศลของคนอื่นที่จะอนุโมทนา (ชื่นชมยินดี) ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ กุศลจิตย่อมเจริญ เพราะเหตุว่าอนุโมทนาในกุศลของคนอื่น และเห็นโทษของตนเองว่าเป็นโทษ และก็จะได้ขัดเกลาละคลายโทษนั้นยิ่งขึ้น

~ ถ้าเป็นผู้ว่ายากหรือสอนยาก ก็ย่อมจะไม่รับฟังคำสอน และจะมีความขัด เคือง จะทำให้เมื่อโกรธแล้วก็ย่อมห่างเหินไป หรือว่าอาจจะจากไปตลอด ชีวิต ซึ่งก็จะไม่เป็นเหตุให้ละคลายกิเลส เพราะเหตุว่าไม่ยอมที่จะรู้จัก อกุศลของตนเอง และไม่เห็นความหวังดีของผู้ที่กล่าวสอนหรือพร่ำสอน
~ คนขลาดย่อมทำอกุศล แต่ว่าคนกล้านี้ กล้าที่จะทำกุศลและไม่ทำอกุศล เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนกล้าหาญที่จะไม่กระทำอกุศล, คนขลาดทำอกุศล เพราะเหตุว่ากลัวลำบากบ้าง กลัวยากจนบ้าง กลัวความทุกข์ต่างๆ บ้าง ก็เป็นเหตุให้กระทำทุจริต แต่ว่าผู้ที่กล้าหาญ แม้ว่าจะลำบาก แม้ว่าจะขัดสน แม้ว่าจะยากจน แต่ก็จะไม่ทำทุจริต นั่นก็ต้องเป็นผู้ที่มีความแกล้วกล้า คือ เป็นผู้ที่สามารถที่จะกล้าที่จะละเว้นทุจริตได้

~ หิริโอตตัปปะเป็นธรรมเครื่องคุ้มครองโลก ซึ่งจะทำให้ไม่เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ เพราะเหตุว่าหิริเป็นสภาพที่ละอาย รังเกียจอกุศลธรรม และโอตตัปปะก็เป็นสภาพธรรมที่กลัวบาป กลัวอกุศลธรรม

~ ชาวพุทธต้องเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก
~ สิ่งใดที่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่น ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ไม่ว่าใครจะมีความประพฤติอย่างไร มีความเกเรมากมายอย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีโอกาสที่จะได้สนใจในพระธรรมและฟังพระธรรม ก็ย่อมเป็นที่หวังได้ว่า คนนั้นย่อมจะดีขึ้น จะน้อยหรือจะมาก แล้วแต่พื้นของจิตที่สะสมมา
~ ถ้ามีความเห็นถูก ก็พูดถูก
~ ความเห็นผิดทั้งหมด วิวาท (คำพูดที่มีความแตกต่าง) จากความเห็นถูก
~ ถ้ามีความเห็นถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะไม่วิวาทกัน
~ คำอ่อนหวานด้วยเมตตา กับ คำอ่อนหวานด้วยโลภะ ย่อมต่างกัน
~ จะให้คนใจดี ไปพูดคำร้ายๆ ได้ไหม? ไม่ได้
~ ต้องไม่ลืมว่า ศึกษาธรรม เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อ ได้
~ ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ เพราะว่าไม่รู้ภูมิต่อไป แต่ถ้าเป็นผู้ที่สะสมบุญอยู่สม่ำเสมอเรื่อยๆ ก็มีโอกาสที่จะทำให้สุคติพอหวังได้ เป็นที่หวังได้ เหมือนกับการเกิดในชาตินี้ ในภูมิมนุษย์นี้ ต้องเป็นผลของกุศล เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่ง ซึ่งก็ยากแสนยากที่จะทำให้เกิดในภูมิมนุษย์ แต่ทุกท่านก็ได้เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์ด้วยผลของกุศลกรรม
~ สิ่งที่ถูกปกปิดไว้นานแสนนานด้วยความมืด (คือ ความไม่รู้) ปรากฏได้เพราะพระธรรม ความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ กิเลสทั้งหลายเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ โดยเหตุที่ว่าอยู่ภายในตัวเอง ไม่ได้อยู่ไกลเลย เป็นสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ในจิตใจ เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ และก็จะเป็นผู้ได้รับผลวิบากของอกุศลกรรมนั้นๆ เอง
~ ฟังธรรมให้เข้าใจว่าเป็นธรรม อกุศลเกิด ก็ฟังแล้ว ว่า เป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) จะเดือดร้อนอะไร?
~ ความไม่รู้ที่มืดมิดมานาน ก็สามารถค่อยๆ หมดไปได้ ด้วยความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
~ อย่าประมาทปัญญาแม้เพียงเล็กน้อย ขณะนี้ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจก็สะสมทำหน้าที่ที่จะปรุงแต่ง ต่อไปข้างหน้าอีก ๑๐ ปี ปัญญาจะเกิดขึ้นมากเท่าไหร่ก็แล้วแต่ปัจจัย เพราะเหตุว่าเคยได้ฟังมาแล้วในชาติก่อน ในชาตินี้และต่อไปได้พอได้ยินอีกก็สามารถเข้าใจได้ ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เคยได้ยินเลย

~ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อที่จะเข้าใจธรรม ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลส.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๖

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย j.jim  วันที่ 30 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย Noparat  วันที่ 30 เม.ย. 2560

"คำอ่อนหวานด้วยเมตตา กับคำอ่อนหวานด้วยโลภะ ย่อมต่างกัน"

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย peem  วันที่ 30 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย อดุลย์  วันที่ 30 เม.ย. 2560

คนขี้ขลาดจะทำอกุศลเพราะกลัวจนบ้างกลัวลำบากบ้าง คนขี้ขลาดก็จะทำการทุจริตคนกล้าหาญกล้าที่ไม่ทำอกุศลแม้จะลำบากยากจนก็ไม่ทุจริตถือว่าเป็นผู้กล้าหาญเพราะมีหิริโอตตัปปะธรรมที่คุ้มครองโลก แต่ที่เขากล้าเพราะเขามีปัญญาจากการฟังพระธรรมฯ กราบอนุโมทนาสาธุในการให้พระธรรมถือเป็นให้ที่ประเสริฐและสูงสุดด้วยครับ


ความคิดเห็น 5    โดย thilda  วันที่ 30 เม.ย. 2560

"มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อที่จะเข้าใจธรรม ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลส."

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย สิริพรรณ  วันที่ 30 เม.ย. 2560

เพราะไม่ฟังพระธรรม จึงหลงอยู่ในความมืด และเห็นผิด เป็นเหตุให้กระทำอกุศล สะสมอกุศลที่มีอยู่แล้วจากชาติก่อนๆ ให้มากขึ้นเพิ่มขึ้น ต่อไป เหตุนี้ การได้ฟังพระธรรมจึงเป็นโอกาศที่ประเสริฐอย่างยิ่งนำไปสู่การละคลายความไม่รู้ ค่อยๆ ละอกุศล จนถึงการละทั้งหมดเพื่อการพ้นภัยในสังสารวัฎฎ์ กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในธรรมทานด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย worrasak  วันที่ 1 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 1 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 1 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 1 พ.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย s_sophon  วันที่ 2 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย jaturong  วันที่ 2 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย siraya  วันที่ 3 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย p.methanawingmai  วันที่ 3 พ.ค. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 18    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 3 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 20    โดย aurasa  วันที่ 5 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 21    โดย kukeart  วันที่ 6 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 22    โดย AmAm  วันที่ 7 พ.ค. 2560

คนขลาดทำอกุศลเพราะกลัวทุกข์ คนกล้าจะทำแต่กุศลเพราะไม่กลัวทุกข์

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 23    โดย chatchai.k  วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 


ความคิดเห็น 24    โดย มังกรทอง  วันที่ 6 ก.พ. 2565

ผู้ที่ฉลาดจริงๆ หาโทษของตนเองว่ามีโทษอะไรบ้าง ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็น อาจจะไม่รู้ แต่ตนเองเท่านั้นที่อาจจะรู้ดี และในขณะเดียวกัน ถ้ามีการ เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นก็หากุศลของคนอื่นที่จะอนุโมทนา (ชื่นชมยินดี) ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันๆ กุศลจิตย่อมเจริญ เพราะเหตุว่าอนุโมทนาในกุศลของคนอื่น และเห็นโทษของตนเองว่าเป็นโทษ และก็จะได้ขัดเกลาละคลายโทษนั้นยิ่งขึ้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 25    โดย chatchai.k  วันที่ 6 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ