ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อนิมิตฺต”
คำว่า อนิมิตฺต เป็นคำภาษาบาลีโดยตรง [อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - นิ - มิด - ตะ] มาจากคำว่า น (ไม่,ไม่มี,เว้นจาก) [แปลง น เป็น อ] กับคำว่า นิมิตฺต (เครื่องหมาย,สิ่งที่บ่งบอกให้รู้) รวมกันเป็น อนิมิตฺต แปลว่า ไม่มีเครื่องหมาย ซึ่งในที่นี้จะขอนำเสนอในความหมายที่มุ่งหมายถึงชีวิตของแต่ละคน ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกให้รู้ว่าจะตายเมื่อใด เพราะความตาย ก็เป็นธรรมที่มีจริง เป็นจิตขณะสุดท้ายในชาตินี้ คือ จุติจิต ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เคลื่อนพ้นจากสภาพความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้อย่างสิ้นเชิง และเมื่อยังมีกิเลสอยู่ เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิต เกิดสืบต่อเป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่ทันที โดยไม่มีจิตอื่นคั่นเลย เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ข้อความในปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย สุตตนิบาต สัลลสูตร มีคำอธิบายความหมายของคำว่า อนิมิตฺต (ไม่มีเครื่องหมาย) ไว้ดังนี้ ว่า
“ในบทเหล่านั้น บทว่า อนิมิตฺตํ ได้แก่ เว้นจากเครื่องหมาย คือ เว้นจากกิริยาอาการ. เหมือนอย่างว่า มีเครื่องหมาย คือกิริยาอาการ ในบทเป็นต้นว่า เราจักควักลูกตา หรือ เราจักโกนขนคิ้ว (ก็มีกิริยาอาการท่าทางให้รู้อย่างนั้น) ท่านจงขโมยสินค้านั้นโดยเครื่องหมายนั้น (เป็นตัวอย่างของการมีเครื่องหมายให้รู้) ฉันใด ในชีวิต มิได้เป็นฉันนั้น ไม่อาจจะได้ว่า ท่านจงเป็นอยู่ก่อน จงอย่าตาย จนกว่าเราจะทำสิ่งนี้สำเร็จ”
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง เป็นคำสอนที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่สามารถเปิดเผยความจริงซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้นานแสนนาน ให้ได้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง แม้แต่ชีวิตของแต่ละบุคคลที่เป็นไป นั้น ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม (สิ่งที่มีจริง) คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ มีรูปธรรม เกิดขึ้นเป็นไปด้วย และชีวิตในชาตินี้ที่ได้เกิดมาจะสิ้นสุดเมื่อจิตขณะสุดท้ายในชาตินี้เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งก็คือ จุติจิต เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เรียกว่า ตายจากความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ความตาย เป็นความจริงที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น เมื่อถึงคราวตาย ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ เราจักต้องตายแน่แท้ เราจะต้องตายเหมือนอย่างคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ได้อย่างยากแสนยาก เพราะต้องเป็นผลของกุศลกรรมเท่านั้นจึงจะทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาแล้วก็มีชีวิตเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามการะสมของแต่ละบุคคล และสุดท้ายแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย จะเห็นได้จริงๆ ว่า ก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน คือ ไม่ทราบว่าก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ ชาติก่อนเกิดเป็นอะไร, ต่อจากนั้น จะไปไหน ก็ไม่ทราบ คือ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ภพภูมิใด ไม่สามารถจะทราบได้ เพราะขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญ ว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด เป็นไปตามเหตุปัจจัย, ที่แน่ๆ ย่อมทราบว่า จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทราบ ว่า จะตายตอนไหน กล่าวคือ จะตายตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนกลางคืน ก็ไม่สามารถจะทราบได้ นี้คือความจริง ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะเกื้อกูลเพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตอย่างแท้จริง ขณะนี้ทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ในสุคติภูมิ พ้นจากการเกิดในอบายภูมิแล้วในขณะนี้ แต่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วจะไปเกิดในภพภูมิใด ย่อมไม่แน่ ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด อาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งไปเกิดได้ง่ายมากทีเดียวสำหรับอบายภูมิ เป็นเรื่องที่จะประมาทไม่ได้เลย ถ้าหากว่าไม่ได้ระลึกเลยว่า ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมาและเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ ไม่สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นการได้อย่างยากแสนยาก เพราะไม่ได้สะสมที่พึ่งให้กับตนเอง
ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันที่จะต้องตายอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลังความสามารถของตนเองเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด เพราะชีวิตไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกให้รู้ว่าจะตายเมื่อใด เนื่องจากว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การมีโอกาสได้ยินได้ฟังเรื่องความตาย ไม่ใช่เพื่อให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ แต่เพื่อเกื้อกูลให้เกิดสติและปัญญารวมถึงสภาพธรรมฝ่ายดีอื่นๆ เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย เป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ด้วยการเริ่มต้นจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ พร้อมทั้งตั้งตนไว้ชอบ คือ ศึกษาพระธรรมแล้วมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ และ ไม่ประมาทในอกุศลแม้จะเล็กน้อย ด้วย จึงจะเป็นชีวิตที่เป็นไปกับด้วยประโยชน์อย่างแท้จริง บุคคลผู้ไม่ประมาทในชีวิตอันมีประมาณน้อยนี้ ย่อมจะไม่เดือดร้อนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ดังนั้น ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก จะเป็นเราหรือจะเป็นของใคร ไม่ได้ ข้อสำคัญ คือ ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ต้องเกิดอีกอย่างแน่นอน ต้องมีคนใหม่ที่มาจากคนนี้ ดีชั่ว อย่างไร ที่ได้สะสมไว้ในชาตินี้
และในชาติก่อนๆ ก็จะติดตามสืบต่อไป เป็นคนต่อไป เพราะฉะนั้นแล้ว ชาตินี้ก็ควรจะเป็นคนนี้ให้ดีที่สุด ด้วยการสะสมความดีและฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นปัญญาของตนเอง สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ไม่ประมาทในชีวิตอันมีประมาณน้อยนี้ซึ่งไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกให้รู้เลยว่าจะตายเมื่อใด.
อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ
ขออนุโมทนาครับ