เรียนความเห็นที่ 11 ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
การนั่งสมาธิ
และการหาทางเจอ ไม่หลงทาง แม้ผู้ที่ไม่ได้ฝึกสมาธิก็หาทางเจอได้ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สมาธิ คือ ความตั้งมั่นของจิต ซึ่งสภาพธรรมที่เป็นสมาธิ คือ เอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตทุกประเภท ดังนั้น สมาธิที่เป็นเอกัคคตาเจตสิกจึงเกิดกับจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้ครับ
ดังนั้น จึงมีทั้งที่เป็นสมาธิที่ถูกต้องที่เป็นสัมมาสมาธิ เกิดกับจิตที่เป็นกุศล และสมาธิที่เป็นมิจฉาสมาธิสมาธิที่ผิด ที่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลครับ
อกุศลเป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี นำมาซึ่งโทษกับจิตที่เกิด คือ บุคคลนั้นเอง ดังนั้น การทำสมาธิที่ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่มีปัญญาเป็นเบื้องต้น เพียงต้องการสงบจึงไปทำสมาธิ ขณะนั้นปัญญาไม่ได้รู้อะไร ได้แต่นิ่ง ซึ่งตามที่กล่าวแล้ว สมาธิ คือ ความตั้งมั่นของจิตที่เป็นความนิ่ง ไม่ซัดส่ายไปที่ใด เป็นอกุศลก็ได้ คือ ขณะนั้นเป็นมิจฉาสมาธิ ที่กล่าวเป็นอกุศล เป็นความนิ่ง ไม่คิดเรื่องใด แต่เป็นมิจฉาสมาธิเพราะไม่ได้เริ่มจากความเข้าใจถูก ไมได้เห็นโทษของกิเลส จึงจะอบรมสมถภาวนา และมีความต้องการที่สงบ และที่สำคัญที่สุด ปัญญาไมได้รู้อะไรในขณะนั้น เพียงแต่นิ่งและมีความสุข ซึ่งความสุขเกิดกับโลภะก็ได้ ดังนั้นเมื่อปัญญาไม่รู้อะไรในขณะนั้นก็ไม่ใช่การเจริญสมถภาวนาและเป็นมิจฉาสมาธิ คือ เป็นความตั้งมั่นของจิตที่เป็นอกุศลครับ เพราะปัญญาไม่ได้รู้อะไรเลยในขณะนั้นครับ
ดังนั้นเมื่อเป็นอกุศลเป็นสมาธิที่ผิด ย่อมมีผลกระทบกับตัวเราแน่นอน คือ อกุศลไม่ดีก็สะสมความไม่รู้ สะสมความเข้าใจผิด และเจริญอกุศลบ่อยๆ เพราะไปทำสมาธิที่ผิดนั่นเองครับ เมื่ออกุศลเกิดบ่อยก็สะสมสิ่งที่ไม่ดี สะสมความไม่รู้ ก็ทำให้ไม่สามารถดับกิเลส และไม่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และที่สำคัญการทำที่ผิดเช่นนี้ก็ทำให้เห็นผิดได้ และทำให้ไปเกิดในอบายภูมิเพราะมีความเห็นผิดเป็นปัจจัย นี่คือผลกระทบที่น่ากลัวอันเกิดจากอวิชชาความไม่รู้ จึงทำให้มีการทำสมาธิเป็นมิจฉาสมาธิครับ
ส่วนสัมมาสมาธิ คือ การเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา อันเป็นการเจริญกุศลและปัญญา และทำให้จิตสงบจากกิเลสชั่วขณะนั้นที่เจริญสมถภาวนา ดังนั้น ความสงบจากกิเลส ไม่ใช่สงบจากเรื่องราวที่คิด ไม่คิดเรื่องอื่น คิดแต่เรื่องเดียว นั่นเป็นลักษณะสมาธิ แต่ไม่ใช่ลักษณะที่สงบจากกิเลส เพราะต้องเป็นกุศลด้วย ไม่ใช่เพียงจิตไม่ซัดส่ายครับ
ดังนั้นการเจริญสมถภาวนาจึงไม่ใช่การเจริญสมาธิตามที่เข้าใจ เพราะต้องเป็นการเจริญกุศลที่เกิดต่อเนื่องๆ บ่อยๆ จนจิตตั้งมั่นในกุศลครับ
การเจริญสัมมาสมาธิที่เป็นการเจริญวิปัสสนา คือ สมาธิชั่วขณะ ที่เกิดขึ้นในการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้นมีปัญญา รู้ความจริงพร้อมกับสมาธิที่ตั้งมั่นในทางที่ถูกครับ ดังนั้นสัมมาสมาธิย่อมมีผลกระทบกับตัวเรา คือ มีกุศลเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ และที่สำคัญ มีความเข้าใจถูกในสภาพธรรม ปัญญารู้ความจริง อันเป็นสัมมาสมาธิที่เกิดกับวิปัสสนาครับ
ที่สำคัญ หากเราไม่เริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ แล้วมุ่งที่จะทำสมาธิเพราะต้องการความสงบ และ เข้าใจว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ก็จะถูกโลภะหลอกให้ทำและก็เจริญมิจฉาสมาธิ เจริญอกุศลมากขึ้น ก็ทำให้ตัวเรามีความเข้าใจผิด มากไปด้วยอกุศลนั่นเอง ดังนั้นขอให้เข้าใจใหม่ว่า ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และขณะที่ปัญญาเจริญรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ขณะนั้นก็ปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่ว่าการนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติครับ
ขอให้เข้าใจใหม่เพื่อความเป็นผู้ตรงและเจริญในหนทางที่ถูกต้องครับ สมาธิที่ถูกและผิดจึงมีผลกับผู้กระทำตามที่กล่าวมาครับ ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
การนั่งสมาธิ
จะนั่งสมาธิ หรือจะเข้าใจสมาธิ
สมาธินั้น...แค่ไหนจึงเป็นมิจฉาสมาธิ แค่ไหนจึงเป็นสัมมาสมาธิ.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แม้แต่ในเรื่องของสมาธิซึ่งจะต้องเข้าใจให้ถูกตั้งแต่ต้นว่า สมาธิ คือ อะไร? สมาธิเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง (เอกัคคตาเจตสิก) ที่เกิดร่วมกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ ไม่มีเว้น เกิดกับอกุศลจิตก็ได้ เกิดกับกุศลจิตก็ได้, สมาธิที่เป็นกุศลไม่ได้อยู่ที่การนั่ง แต่อยู่ที่สภาพจิต ไม่ใช่ว่าใครนั่งได้นานแล้วก็เป็นสัมมาสมาธิ แต่ต้องเป็นสภาพจิตที่สงบจากอกุศล [ขณะที่นั่งสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ในขณะนั้น มีสมาธิก็จริงแต่เป็นมิจฉาสมาธิ เป็นอกุศล ขึ้นชื่อว่าอกุศลแล้วไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย มีโทษโดยส่วนเดียวเท่านั้น] ถ้าจะว่าไปแล้ว ในยุคนี้ส่วนใหญ่เข้าใจว่าสมาธิเป็นการไปนั่ง ซึ่งไม่ใช่การอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก แต่เป็นเรื่องของวิธีทำ ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมีความละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเข้าใจได้ง่าย พระองค์ทรงแสดงพระธรรมโดยใช้พยัญชนะมากมายหลากหลาย ทั้งหมดทั้งปวงเพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ไม่ใช่ไปทำอะไรโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาบุญกุศลแด่ผู้อาวุโส
ที่ชี้ทางให้ผู้น้อยได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณครับ
ผู้น้อยจะนำคำที่ผู้อาวุโสบอกไปดำเนินชีวิตประจำวัน
ทำสมาธิจิตเมตตา
เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีไม่มากก็น้อยต่อสังคมครับ
ขอบคุณครับ
ขออนุโมทนา
สมาธิมี 2 อย่าง คือ มิจฉาสมาธิ และ สัมมาสมาธิ ถ้าเจริญผิด มีโทษมาก กั้น มรรค ผล นิพพาน ส่วนสัมมาสมาธิ ต้องประกอบด้วยปัญญา เห็นโทษของอกุศล คือ โลภะ โทสะ โมหะ ถ้าเข้าใจแนวทางเจริญสติปัฏฐาน และขณะที่สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นก็มีสัมมาสมาธิเกิดร่วมด้วย ฯลฯ ค่ะ
* * เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนาครับ * *
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ก่อนนอนหลังจากไหว้พระระลึกถึงพระคุณของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แล้ว ผมชอบนั่ง (บางครั้งก็นอน) สมาธิ เพื่อให้จิตสงบนิ่งผ่อนคลายความเครียดและฟุ้งซ่านจากอารมณ์ที่อาจมีตกค้างในการดำเนินชีวิตประจำวัน และก็ต่อด้วยการแผ่เมตตาให้ตนเอง พ่อแม่และผู้มีพระคุณทั้งหลาย รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร ญาติมิตรทั้งที่ล่วงลับไปและที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งผู้ร่วมงานและร่วมโลก รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ให้ได้เจริญในธรรมหมดสิ้นกิเลสหลุดพ้นจากทุกข์และเข้าถึงนิพพานเป็นที่สุด และผมรู้สึกว่าการนั่งสมาธิก่อนนอนนี้ทำให้ผมนอนหลับสนิทขึ้น และตื่นมาสมองสดชื่นแจ่มใสเป็นประโยชน์ต่อการทำกิจวัตรการงานวันต่อไปได้ดี และมีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปเที่ยวทัศนะศึกษาในป่าใหญ่กับกลุ่มเพื่อน บังเอิญผมหลงทางกับคณะและต้องอยู่ในป่าคนเดียวหาทางออกไม่ได้ ตอนนั้นจิตตก กลัวและฟุ้งซ่านเกือบสติแตก บังเอิญอาศัยการที่ได้ฝึกนั่งสมาธิมาเป็นประจำ เลยได้คิดขึ้นว่าจะลองนั่งสมาธิให้จิตหายกลัวและหายฟุ้งซ่านดู เผื่อจะได้เป็นทางให้เกิดสติและปัญญามากขึ้น เพื่อนำมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นให้สามารถหาหนทางออกจากป่าได้ หลังจากนั่งสมาธิได้ระยะหนึ่งจิตเริ่มนิ่งและสงบ ก็ออกจากสมาธิ และเริ่มหาหนทางที่จะเดินออกจากที่หลง โดยคิดถึงเคล็ดวิชาลูกเสือที่เคยเรียนตอนเด็กๆ โดยการหักกิ่งไม้ตามทางที่ผ่านมา เพื่อ
1. ไม่ต้องวนเวียนกลับมาที่เดิมเหมือนเขาวงกต เพราะในป่าทึบมีต้นไม้พุ่มไม้ซึ่งผู้ไม่คุ้นชินแต่ละจุดจะดูเหมือนกันหมดทำให้หาทางออกได้ยาก
2. เพื่อให้ผู้อื่นที่อาจกลับมาช่วยค้นหาตัวจะได้รู้ทางที่เราไปทางไหน ...ในที่สุดด้วยอานิสงค์จากสมาธิและสติที่ได้คืนมา ทำให้ผมคลำทางจนกระทั่งสามารถออกจากจุดที่หลงและไปพบกับกลุ่มคณะเดินทางได้ในเวลาประมาณชั่วโมงกว่า
จากลักษณะการนั่งสมาธิตามจริงทั้ง 2 เรื่องของกระผมที่เล่าข้างต้นไม่ทราบว่าตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นการใช้สมาธิถูกตามหลักสัมมาหรือมิจฉาอย่างใดบ้าง
ขอท่านผู้รู้กรุณาช่วยพิจารณาและอธิบายให้ทราบเพื่อจะได้แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง
ต่อไป
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 11 ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
การนั่งสมาธิ
และการหาทางเจอ ไม่หลงทาง แม้ผู้ที่ไม่ได้ฝึกสมาธิก็หาทางเจอได้ ครับ
ขอขอบพระคุณคุณ Paderm ที่ได้กรุณาแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งความเห็นก่อนหน้าที่เคยโพสต์ไว้ในเรื่องเกี่ยวกับ การนั่งสมาธิ ทำให้เห็นถึงความลึกซึ้งของธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังต้องศึกษาเพื่อให้เข้าใจธรรมะในแง่มุมอื่นๆ ที่อาจไม่ใช่อย่างที่ผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างพอเพียงเห็นก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องสมาธิในมุมมองด้านอภิธรรมแล้วซึ่งเป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล ขึ้นอยู่กับเจตนาของการนั่งสมาธิว่ามีเป้าหมายเพื่อลดกิเลสหรือไม่ ถ้าใช่ก็เป็นกุศล ถ้าไม่ใช่ก็เป็นอกุศล ถ้าไม่รู้ว่านั่งเพื่ออะไร แต่เพราะติด อยากนั่งสบายดี ก็เป็นได้ทั้งหลงและโลภเป็นอกุศล
...สาธุ
โชคดีที่ขณะนี้มนุษย์สามารถมีเทคโนโลยีทางอินเตอร์เนตทำการเชื่อมต่อสื่อสารกันในสังคมได้สะดวกรวดเร็วและกว้างขวางกันทั่วโลก ทำให้กระผมสมาชิกน้องใหม่ได้มีโอกาสพบเจอกลุ่มเพื่อนกัลยาณมิตรในเวปนี้ รู้สึกเหมือนได้พบขุมทรัพย์ที่มีค่าในทางธรรมแห่งใหญ่ที่ผู้เดินทางธรรมใฝ่หา มนต์แห่งสัปปายะที่มีผู้รู้ทางธรรมที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกลุ่มใหญ่ในที่นี้ได้แผ่รังสีดั่งสนามแม่เหล็กดึงดูดให้จิตน้อยดวงนี้ได้มาพบเจอ จึงขอกราบท่านผู้อาวุโสทางธรรมทุกท่าน ที่อยู่ในเวปแห่งนี้ได้เมตตาแนะนำจิตน้อยดวงนี้ และหากมีส่วนใดที่กระผมกระทำล่วงเกินหรือแสดงความโง่เขลาอยู่ขอได้อโหสิและสั่งสอน ด้วยครับ
กระผมอาจโชคดีที่เคยหลงและหลุดรอดมาจากป่าลึกในเวลาไม่นานนัก แต่ในทางธรรมกระผมกำลังคลำหาทางออกอยู่และหวังว่าคงจะได้ช่วยกันกับเพื่อนกัลยาณมิตรแห่งนี้ได้ร่วมแบ่งปันพลังจากสติปัญญาที่มีรู้อยู่ เพื่อหาทางออกจากป่าใหญ่แห่งวัฏฏะสงสาร สู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งอาจกินเวลาไม่นานหรือนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับวาสนาบุญกรรมและความมีสติไม่ประมาทของจิตแต่ละดวงที่ได้สะสมกันมาต่อไป