ธรรมย่อมชนะอธรรม
โดย kanchana.c  6 มิ.ย. 2553
หัวข้อหมายเลข 16390

เมื่อบ้านเมืองไม่สงบ มีการแบ่งพวก แบ่งสี แบ่งแยกความคิดออกไปหลายฝ่าย จนเกิดเหตุจลาจล เกือบจะเป็นสงครามกลางเมืองนั้น (ระหว่าง เม.ย. ๕๓ – พ.ค. ๕๓) หลายคนไม่สบายใจ วิตกกังวล กลัวพวกที่ตัวเองคิดว่าดีนั้นจะแพ้ เมื่อรวมกลุ่มคุยกัน ก็จะปลอบใจกันว่า ไม่ต้องกลัว ธรรมย่อมชนะอธรรม ซึ่งทำให้สบายใจขึ้น โดยที่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า “ธรรมย่อมชนะอธรรม” นั้นมีหมายความลึกซึ้งอย่างไร แค่ไหน

วันเสาร์ที่ ๕ มิ.ย. ๕๓ ได้ไปสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ซึ่งได้นำปริสาสูตร (ว่าด้วยบริษัท ๓ จำพวก) มาสนทนา สรุปได้ว่า บริษัท ๓ จำพวก คือ บริษัทที่มีแต่คนดี ๑ บริษัทที่เป็นพรรค คือ แบ่งพวกทะเลาะกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอก คือ ปาก (ช่างเหมือนเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมาเลย ชอบจริงๆ คำว่า ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอก คือ ปากเป็นคำพูดที่ทำให้เห็นภาพพจน์ชัดเจนจริงๆ ) ๑ และบริษัทที่สามัคคีกัน พร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน มองดูกันและกันด้วยสายตาของคนที่รักใคร่กันหนึ่ง

เมื่อมีผู้ถามว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเป็นอย่างนี้ ท่านอาจารย์ก็ตอบว่า บ้านเมืองไหนๆ ยุคใดๆ ในอดีตก็เป็นอย่างนี้

เมื่อท่านย้อนถามว่า “รักชาติคืออะไร” และ “ชาติ คืออะไร” พวกเราก็ตอบกันสะเปะสะปะไม่ตรงเป้าสักที ท่านก็เลยเฉลยว่า ชาติ คือ คน รักชาติ ก็คือเมตตากันและกัน ไม่ว่าจะเป็นใครในโลกนี้

เมื่อมีโอกาสฟังท่านอธิบายคำว่า “ธรรมย่อมชนะอธรรม” ซึ่งตามความเข้าใจของตนเองนั้นสรุปว่า (ไม่ทราบว่าจะถูกต้องลึกซึ้งอย่างที่ท่านอธิบายหรือไม่) ทุกอย่างเป็นธรรม แต่เมื่อพูดว่า “ธรรมย่อมชนะอธรรม” นั้น ธรรมก็คือกุศลธรรม อธรรม ก็คือ อกุศลธรรม กุศลชนะอกุศล เมื่อกุศลเกิด แสดงว่ากุศลมีกำลังกว่าอกุศล และเมื่อกุศลเกิด ก็สามารถดับอกุศลได้ และกุศลที่มีกำลังสามารถดับอกุศลเป็นสมุจเฉทได้ อกุศลไม่สามารถดับกุศลเป็นสมุจเฉทได้ เมื่อมีปัญญาก็ดับอวิชชาได้ แต่อวิชชาดับปัญญาเป็นสมุจเฉทไม่ได้ ไม่อย่างนั้นท่านพระเทวทัตคงไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระผู้มีพระภาคว่า จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต

ดังนั้น จึงไม่มีความหมายแต่เฉพาะเวลาต่อสู้กันแล้ว พวกคนดีย่อมชนะคนไม่ดี อย่างที่พวกเราเข้าใจกัน ไม่อย่างนั้นมหาวิทยาลัยนาลันทาคงไม่ถูกเผาจนหมด และพระภิกษุถูกฆ่าเป็นหมื่นๆ รูป เพราะไม่ใช่มีแต่เฉพาะกรรมในปัจจุบัน ยังมีกรรมในอดีตที่มองไม่เห็นอีก ที่ปุถุชนอย่างเราๆ ไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครมีเวรต่อกันอย่างไร



ความคิดเห็น 1    โดย Saris  วันที่ 7 มิ.ย. 2553

คำพูดว่า "ธรรมย่อมชนะอธรรม" ผมเองก็สงสัยมานานแล้วครับ เพราะสิ่งที่เห็นก็คือ ใครมีกำลังมากกว่า มียุทธวิธี มีกลศึก มีชัยภูมิดีกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ วันนี้ได้กระจ่างถึงความหมายนี้แล้ว

กุศลชนะอกุศล เมื่อกุศลเกิด แสดงว่ากุศลมีกำลังกว่าอกุศล และเมื่อกุศลเกิดก็
สามารถดับอกุศลได้ และกุศลที่มีกำลังสามารถดับอกุศลเป็นสมุจเฉทได้ อกุศลไม่
สามารถดับกุศลเป็นสมุจเฉทได้ เมื่อมีปัญญาก็ดับอวิชชาได้ แต่อวิชชาดับปัญญาเป็นสมุจเฉทไม่ได้

ขอบคุณครับ

และขออนุโมทนาสาธุ


ความคิดเห็น 2    โดย aurasa  วันที่ 8 มิ.ย. 2553

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย เมตตา  วันที่ 8 มิ.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย choonj  วันที่ 8 มิ.ย. 2553

ยุคใดๆ ในอดีตก็เป็นอย่างนี้ แสดงว่ายังไม่จบ ความไม่สบายใจและวิตกกังวลยังต้องมีอีก อาจจะเร็วๆ นี้เพราะตอนนี้ลงใต้ดินไปแล้ว จะเห็นได้จากอันตรายของการขาดศีลข้อที่ ๔ พูดเท็จ ก็เริ่มต้นจากการพูดเท็จ พูดเท็จคำโตๆ พูดบ่อยๆ มากๆ พร้อมทั้งสร้างสถานการณ์ จนมีคนเชื่อ แล้วก็รวบรวมเป็นพรรค อีกกลุ่มหนึ่งที่ขัดผลประโยชน์ก็เช่นเดียวกัน พูดเท็จจนมีคนเชื่อ แล้วก็รวบรวมเป็นอีกพรรค ทิ่มแทงกันด้วยหอก เอ็ม๗๙ ฯลฯ ศีลข้อที่๔ การพูดเท็จ สามารถทำให้ผู้ฟังเชื่อได้อย่างสนิดใจ จนทำให้มีการเผาบ้านเมือง เป็นเรื่องของใกล้กาลวิบัติ เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน ถ้าทุกคนศรีษะนี้หมอบให้พระพุทธเจ้า ความไม่สบายใจและวิตกกังวนจะมีได้อย่างไร ในเมื่อพระพุทธเจ้าห้ามใว้ในศีล ข้อที่ ๔ ห้ามพูดเท็จ


ความคิดเห็น 5    โดย kinder  วันที่ 8 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 6    โดย Jans  วันที่ 8 มิ.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย jaran  วันที่ 9 มิ.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย คุณ  วันที่ 10 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย pannipa.v  วันที่ 10 มิ.ย. 2553

ผู้ชนะ.....ย่อมก่อเวร ผู้แพ้.....ย่อมอยู่เป็นทุกข์

ผู้สงบระงับ.....ละความชนะ และความแพ้ได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข

(อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)


ความคิดเห็น 10    โดย ms.pimpaka  วันที่ 28 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ