การฝึก อัชฌาสัยเตวิชโช คืออะไรครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
อัชฌาสัยเตวิชโช หมายถึง ผู้ที่มีอัธยาศัย น้อมไปใน วิชชา 3
วิชชา 3 คือ ปัญญาที่เป็น ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ ประกอบด้วย
1. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ปัญญา ญาณเป็นเหตุระลึกขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน
ได้, ระลึกชาติได้
2. จุตูปปาตญาณ ปัญญา ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไป
ตามกรรม, เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
3. อาสวักขยญาณ ปัญญา ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย,
ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ,
ซึ่งสำหรับวิชชา 3 เป็นคุณธรรมของพระอรหันต์ที่อบรมสมถภาวนาและวิปัสสนา
ภาวนาด้วยครับ การเจริญสมถภาวนาอย่างสูงสุดทำให้ได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
และจุตูปปาตญาณ แต่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้ แต่เมื่อเจริญวิปัสสนาภาวนา จนถึง
ที่สุด ก็สามารถถึงการดับกิเลสได้ ประกอบด้วยปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้ เป็น
อาสวักขยญาณ ดังนั้นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชา 3 จึงต้องเป็นผู้เลิศอย่างมาก เป็นถึงพระ
อรหันต์ผู้เลิศที่อบรมสมถภาวนาสูงสุดและวิปัสสนาจนดับกิเลสได้วยครับ ดังนั้นจึง
เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ไม่ใช่กาลสมบัติเลย คือ ไม่ใช่สมัยพุทธกาลที่ผู้คนสมัยนั้นอบรม
ปัญญามามาก จนสามารถดับกิเลสได้ด้วยและได้เจริญสมถภานาได้ คุณธรรมประการ
อื่นๆ ด้วยครับ แต่ปัจจุบัน แม้แต่การเข้าใจหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้องไม่หลงไปใน
ทางที่ผิดยังยาก ไม่ต้องกล่าวถึการเจริญจนได้วิชชา 3 ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ครับ
ดังนั้นควรเริ่มจากความเข้าใจถูกขั้นการฟัง โดยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม
ปัญญาเจริญขึ้นก็จะค่อยๆ เข้าใจหนทางที่ถูก โดยไม่ห่วงว่าจะได้คุณธรมอะไรเลยครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น บุคคลผู้ที่ศึกษาพระธรรม ย่อมเป็นผู้ตรง ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ จึงฟังด้วยความตั้งใจ มีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา ยังไม่ต้องไปไหนไกลๆ เพราะไปยังไม่ได้ เนื่องจากว่ายังไม่เข้าใจ ซึ่งจะต้องเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ตั้งแต่คำว่า ธรรม คือ อะไร ธรรม หมายถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ ธรรม ไม่ใช่เรื่องทำ เพราะเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย สิ่งที่ควรสะสมเป็นอย่างยิ่งนั้นก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย เืมื่อสะสมบ่อยๆ เนืองๆ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อกล่าวถึง วิชชา ๓ แล้ว ไม่พ้นไปจากปัญญา เลย เพราะวิชชา เป็นอีกชื่อหนึ่งของปัญญา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เห็นอย่างแจ่มแจ้ง การระลึกชาติได้ และการรู้จุติ และ อุบัิติของสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นเรื่องของปัญญาที่เกิดจากการอบรมเจริญของสงบของจิต (สมถภาวนา) แต่เมื่อถึงวิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ (ปัญญาที่ทำให้ถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งอาสวกิเลสทั้งปวง) นั่นคือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น เป็นผลของการอบรมเจริญวิปัสสนาที่จะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้รู้ นั้น ในปฐมยาม ทรงระลึกชาิิติหนหลังได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในมัชฌิมยาม ทรงเห็นการจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายที่จะต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนเองได้กระทำแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอถึงปัจฉิมยาม พระองค์จึงได้ตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเ้จ้า ได้วิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ นี้คือ บุคคลสูงสุด ผู้ได้วิชชา ๓ นอกจากนั้น พระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้อบรมเจรญทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ล้วนเป็นผู้ได้วิชชา ๓ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องของปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ทั้งหมด เลย ในฐานะที่เป็นสาวกแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ธรรมะเป็นเรื่องของการ "ละ" ไม่มีคน สัตว์ บุคคลใดๆ จะทำอะไรได้เลย...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะแล้ว มโนมยิทธิ นี่คืออะไรครับ?
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒- หน้าที่ 90
ฤทธิ์ที่มาโดยนัยนี้ว่า ภิกษุในพระศาสนานี้เนรมิตกายอื่นนอกจากกาย
นี้ มีรูป สำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
เป็นต้น ชื่อว่า มโนมยาอิทธิ [มโนมยิทธิ] เพราะเป็นไปโดยสำเร็จแห่ง
สรีระที่สำเร็จมาแต่ใจ อันอื่น ในภายในสรีระนั่นเอง.
------------------------------------------------------------------
มโนมยิทธิญาณ คือ ปัญญทำให้เกิดฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ สามารถนิรมิตกายอื่นขึ้นนอกจากกายนี้ ให้เหมือนกับกายที่เป็นอยู่เป็นต้น ดังอุปมาเรื่องงู กับคราบของงู
เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชชา ๘ ของผู้สำเร็จเฌานขั้นสูงสุด ชำนาญ จนคล่องแคล่ว
ดังนั้นผู้ที่จะมีฤทธิ์ดังกล่าวนี้ได้ ต้องเจริญฌานทั้งรูปฌานและอรูปฌานและ มีความ
ชำนาญมากครับ และก็เนรมิตรูปอื่น ด้วยใจที่ออกจากฌานสูงสุด รูปนั้นก็เหมือนกับรูป
ที่คิดไว้และเหมือนกับรูปของตนทุกประการ เป็นต้นครับ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของ
ปัญญาระดับสูงที่อบรมฌานจนถึงขั้นสูงสุดที่สำคัญ ยังไม่เข้าใจเรื่องฌาน ไม่ได้เห็น
โทษของกิเลสในชีวิตประจำวัน แต่กับมีความต้องการฤทธิ์ด้วยโลภะ ดังนั้นโลภะจึง
ไม่ใช่หนทางไปสู่การเจริญสมถภาวนาเลยครับ จึงเป็นเรื่องของปัญญาตั้งแต่ต้นเพราะ
ฉะนั้นจึงไม่ใช่ใคร บุคคลใดที่จะไปทำมโนมยิทธิได้แบบง่ายๆ ครับ และมโนมยิทธิก็
ไม่ใช่หนทางดับกิเลสครับ ขออนุโมทนา