ดิฉันสงสัยว่าทำไมตัวเอง เวลาพูดอะไร จึงไม่มีคนเชื่อ หรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูดหรือคิด ทั้งๆ ที่สิ่งที่เราพูดนั้นก็เป็นจริงทุกครั้ง ความที่คนอื่นไม่เชื่อหรือเห็นด้วย จึงทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายต่อส่วนรวม เช่น เรื่องการทำงาน ดิฉันมองเห็นปัญหาต่างๆ รออยู่ข้างหน้า ถ้าทำแบบนี้ แต่ไม่มีคนเชื่อ แล้วปัญหาก็เกิดจริงๆ ดิฉันจึงแปลกใจว่าดิฉันทำกรรมอะไรไว้ จึงไม่มีคนเชื่อ ในสิ่งที่เราพูด
ในสัพพลหุสสูตรตอนหนึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงวิบากของการพูดเพ้อเจ้อว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมผัปปลาปะอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่างเบาที่สุด ย่อมยังคำไม่ควรเชื่อถือให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์.
ดังนั้น ควรทราบตามพระสูตรนี้ว่า เมื่อพูดสิ่งใดแล้วไม่มีใครเชื่อถือเป็นผลของการพูดเพ้อเจ้อนั่นเองครับ
สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ) ..คนส่วนใหญ่ชินและคิดว่าเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จนลืมว่าเป็นอกุศลจิต มีโทษอย่างไรขออนุโมทนาคะ
กรรม ยุติธรรมที่สุดต่อการให้ผล ครับ ถึงแม้ว่าในชาติปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กระทำเหตุอะไรที่จะเป็นเหตุให้คนอื่นไม่เชื่อถือเลย แต่เป็นเพราะอกุศลกรรมที่เคยกระทำมาแล้วนั่นเอง ให้ผล จึงเป็นเช่นนั้น เหตุย่อมสมควรแก่ผล ครับดังนั้น ผู้ที่มีปัญญาท่านจึงเห็นโทษในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ครับ
วจีทุจริตมี ๔ ประการ
๑. คนพูดเท็จบ่อยๆ ก็เป็นเหตุให้พูดอะไรก็ไม่มีคนเชื่อถือ
๒. คนที่พูดส่อเสียด เป็นเหตุให้แตกจากมิตร
๓. คนที่พูดคำหยาบ เป็นเหตุให้ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ
๔. คนที่พูดเพ้อเจ้อ เป็นเหตุให้คนไม่เชื่อถือในคำพูด
บ่อยครั้งค่ะ ที่ได้รับอกุศวิบากต่างๆ ทางทวารทั้งห้า ทำให้พิจารณาได้ว่า เออ ตัวเราหนอ ช่างเป็นหญิงหยาบคายเสียนี่กระไร จึงได้รับสิ่งเหล่านี้ และทำให้ระมัดระวังที่จะไม่ทำอกุศลกรรมได้มากขึ้น ด้วยความเกรงและละอายต่อผลกระมังคะ
ได้ทราบวิบากของวจีทุจริตทั้ง ๔ ก็วันนี้เอง ทำให้เข้าใจการรับผลในชีวิตชาตินี้มากขึ้น ขอบคุณและอนุโมทนานะค่ะ
เช่นกันค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
พระโสดาบัน ยังมีโอกาสพูดเพ้อเจ้อได้ แต่ก็ไม่เป็นเหตุให้ท่านไปเกิดในทุคติภูมิ ครับ
เป็นเหมือนกันค่ะ เลยได้ทราบเหตุที่เคยทำไว้ ขออนุโมทนาค่ะ
ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นและก็มีปัจจัยมากมาย กรรมที่พูดเพ้อเจ้อบ้างหรือพูดเท็จบ้าง หรือบางนัยคือ ให้ทานโดยไม่เคารพ ด้วยผลของกรรมนั้นบุคคลอื่นย่อมไม่เชื่อฟัง
บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ ให้ด้วยมือตนเองให้ของที่ไม่เหลือ. แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาสคนใช้ คนทำงาน ก็เชื่อฟังดี เงี่ยหูฟัง ไม่ส่งจิตไปที่อื่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร ทั้งนี้เป็นเพราะผลของกรรมที่ตนกระทำโดยเคารพ แต่ที่สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะเชื่อเราหรือไม่เชื่อเรา ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตาใครจะห้ามการสะสมของแต่ละบุคคลได้ ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและที่เดือดร้อนก็เพราะความยึดถือว่าเป็นเราเป็นสัตว์บุคคล จึงควรอบรมความเข้าใจว่าเป็นธรรม ปัญหาที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่ใครเชื่อฟังไม่เชื่อฟังก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่มีในขณะนี้
ได้รับความรู้มากมาย ขออนุโมทนา
อ้างอิงจากจากความเห็นที่ ๑๐...โดย คุณอนุโมทนา.
ใครจะห้ามการสะสมของแต่ละบุคคลได้ ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและที่เดือดร้อนก็เพราะยึดถือว่าเป็นเรา ขออนุโมทนาค่ะ.
ขนาดการสะสมของตัวเองยังบังคับบัญชาไม่ได้เลยและเดือดร้อนทุกครั้งที่เป็นเรา
ขออนุโมทนาครับ
ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นและก็มีปัจจัยมากมาย กรรมที่พูดเพ้อเจ้อบ้างหรือพูดเท็จบ้าง หรือบางนัยคือ ให้ทานโดยไม่เคารพด้วยผลของกรรมนั้นบุคคลอื่นย่อมไม่เชื่อฟัง
บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ ให้ด้วยมือตนเองให้ของที่ไม่เหลือ แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาสคนใช้ คนทำงาน ก็เชื่อฟังดี เงี่ยหูฟัง ไม่ส่งจิตไปที่อื่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร ทั้งนี้เป็นเพราะผลของกรรมที่ตนกระทำโดยเคารพ แต่ที่สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะเชื่อเราหรือไม่เชื่อเรา ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตาใครจะห้ามการสะสมของแต่ละบุคคลได้ ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและที่เดือดร้อนก็เพราะความยึดถือว่าเป็นเราเป็นสัตว์บุคคล จึงควรอบรมความเข้าใจว่าเป็นธรรม ปัญหาที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่ใครเชื่อฟังไม่เชื่อฟังก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่มีในขณะนี้
สาธุ
ขอบพระคุณทุกท่านมากค่ะ ที่ให้ข้อคิดเห็นต่างๆ มากมายและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นอย่างยิ่ง จนบางครั้งคิดว่าถ้าเราทำกรรมข้อนี้มาไม่ดีต่อไปมีเรื่องอะไร เราก็ไม่ต้องพูดปล่อยไปตามเหตุปัจจัยที่มันควรจะเป็นดีไหมในเมื่อเราพูดคนอื่นไม่เชื่อถือ เราก็ไม่ควรพูดปล่อยวางดีกว่า ดิฉันคิดถูกหรือเปล่าค่ะ เพราะเป็นแบบนี้มาตลอด จนดิฉันไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรอีกเพราะพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
ควรรู้จักบุคคล กาลเทศะ และประโยชน์
สิ่งใดไม่จริง ไม่ควรพูด
สิ่งใดจริง แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ควรสำเหนียกที่จะไม่พูด
สิ่งใดจริง แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ควรพูด แต่รู้จักกาลเทศะ
ประโยชน์คือ เพื่อความเจริญในการงานรวมทั้ง
ประโยชน์คือ ความเจริญในทางกุศล ละอกุศล
สภาพธรรมมะทั้งหลายเป็นอนัตตาจะปล่อยหรือไม่ปล่อยแล้วแต่เหตุปัจจัยครับ สภาพคิดก็เป็นธรรมมะ คิดได้แต่บังคับบัญชาไม่ได้
ขออนุโมทนาครับ
ดิฉันมีผู้บังคับบัญชาที่มีความเห็นไม่ตรงกันเลยในด้านการบริหารงาน ดิฉันจะบริหารงานแบบกระจายอำนาจ แบบสร้างเครือข่าย แต่หัวหน้าดิฉันชอบแบบกุมอำนาจ คือต้องการให้มีคนอยู่ในปกครองมากๆ ทั้งที่ๆ งานต้องสร้างเครือข่ายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมทำด้วย ทำให้ไม่ต้องใช้คนมากเลย และเป็นการประหยัดงบให้หน่วยงานด้วย แต่ผู้บังคับบัญชาดิฉันกลับไม่เห็นด้วย บางครั้งก็ทำให้ดิฉันท้อเหมือนกัน และต้องปล่อยวาง และคิดว่าคงไม่สมควรที่จะพูดต่อไปแล้ว
จะเปลี่ยนเขาคงยากมาก
เปลี่ยนที่ตัวเราดีกว่าครับ
ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน การที่จะไปเปลี่ยนความคิดของคนอื่นให้มาเห็นตามเรานั้นมันยากจริงๆ ก็ทำใจได้เป็นบางครั้ง เพราะการที่คนอื่นเห็นไม่ตรงกัน ทำให้เกิดผลกระทบต่อคนหลายคน ทำให้เราเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน แต่ก็ระยะสั้นๆ พอฟังธรรมอ่านหนังสือธรรมะ ก็จะช่วยให้ปล่อยวางได้
ขออนุญาตถามในหัวข้อเดียวกันนี้เลยนะคะ ของดิฉันจะเป็นเรื่องกลิ่นค่ะ ตอนอยู่บ้านเก่า บ้านที่ติดหลังบ้านทำงานเกี่ยวกับพ่นสี เหม็นกลิ่นสีมาก บ้านนี้ไม่ได้อยู่นานค่ะ พอย้ายบ้านมาก็มีแถวละแวกบ้านล้างเครื่องจักรด้วยการพ่นน้ำมัน เหม็นมากอีก เป็นห่วงสุขภาพตัวเองและคนในครอบครัวจนร้องเรียนไปที่เขต เจ้าหน้าที่ก็มาช่วยดูแลให้เพราะเป็นเขตที่อยู่อาศัย แล้วก็เป็นคนจมูกไวและแพ้กลิ่นบุหรี่ เคยต้องนั่งเครื่องบินนานๆ ก็ไปนั่งติดฝรั่งที่นอนอ้าปากหันมาทางเราอีก ที่น่าแปลกก็คือเวลาเหม็นกลิ่นอะไรที่จะได้กลิ่นก่อนคนอื่น ถามคนรอบข้างว่าได้กลิ่นไหมก็ได้ แต่ก็ดูไม่มีใครเดือดร้อนเท่าหลังๆ นี้พอกลิ่นอะไรมาก็ เออ ต้องเป็นเราแหละ ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่ได้เจอหรอก พอได้อ่านเรื่องของคุณoomก็เลยสงสัยเรื่องกลิ่น แล้วที่ร้องเรียนไปเพื่อความถูกต้อง (ตามกฎหมาย) นี่ยังควรทำอยู่ไหมคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนพอสมควร ถ้ามีเจตนาให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน อย่างนี้ไม่สมควรทำ แต่ถ้าคิดว่าเพื่อสุขภาพของผู้พักอาศัย โรงงานควรอยู่คนละโซนกัน และในใจเราไม่ได้คิดร้ายต่อผู้ประกอบการ การร้องเรียนอย่างนี้ไม่มีโทษครับ
ถ้าแก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องคิดว่าเป็นวิบากกรรมของเรา ที่ต้องพบเจอ เพราะเราเป็นคนย้ายบ้านเข้ามาอยู่ใกล้แหล่งเครื่องจักร ซึ่งการแก้ไขคงยาก เพราะเขาอยู่มาก่อนเรา เรามาที่หลัง เพียงแต่ต้องคุยกับเจ้าของว่าพอมีทางแก้ไขลดกลิ่นสีให้น้อยลงได้หรือไม่ เพราะพวกช่างเขาอาจมีวิธีแก้ไข
การร้องเรียนถ้าเพื่อส่วนร่วมก็คงไม่ผิดถ้าทุกคนเดือดร้อนเหมือนๆ กัน แต่ถ้าคนอื่นๆ เขาไม่เดือดร้อนเลย เราเดือดร้อนอยู่คนเดียว ก็จะเป็นการสร้างศัตรูหรือเปล่า เพราะทำไมคนอื่นเขาอยู่กันได้ ไม่เดือดร้อน
บริษัทที่ล้างเครื่องมาอยู่ทีหลังค่ะ ตัวเจ้าของไม่ค่อยอยู่ จะเป็นพนักงานกับแรงงานต่างชาติทำงาน เจ้าของพอทราบว่าชาวบ้านเดือดร้อนก็ดูเหมือนเต็มใจแก้ไข แรกๆ จะยกเครื่องฟอกอากาศมาให้ แต่ดิฉันไม่ยอมรับเพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุและไม่ใช่บ้านเดียวที่ได้รับผลกระทบ เจ้าของเลยจะเปลี่ยนชนิดน้ำมัน หลังๆ นี่ก็มีนานๆ ทีได้กลิ่นบ้าง พอโทรไปสอบถามก็บอกว่าไม่ได้ทำแล้ว ย้ายไปทำอีกที่ที่ชานเมือง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าไม่หนักหนาสาหัสก็คงจะทนไปล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ