เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากร มี คุณนีน่า วัน กอร์คอม อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจาก คุณอมรา พวงชมภู กรรมการผู้จัดการบริษัท สยามแฮนด์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อแบรนด์ดังยี่ห้อ “แตงโม” และ เจ้าของเรือนทองทิพย์ จังหวัดเชียงราย เพื่อไปสนทนาธรรม ณ เรือนทองทิพย์ เลขที่ ๓๓๓ หมู่ ๑ บ้านหนองด่าน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
"เรือนทองทิพย์" เป็นเรือนที่ออกแบบโดย คุณถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญในด้านจิตกรรม ปฏิมากรรม วรรณกรรม และสถาปัตยกรรม ผู้มีชื่อเสียงของไทย การเดินทางมาสนทนาธรรม ณ สถานที่นี้ เป็นการเดินทางที่ต่อเนื่องจากการสนทนาธรรม ประจำปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ ๒๗-๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมความการสนทนาธรรมได้ที่นี่..
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จ.เชียงใหม่ ๒๗-๒๘ มกราคม ๒๕๕๘
หลังการสนทนาธรรมที่เชียงใหม่จบลง คณะของท่านอาจารย์ ได้เดินทางต่อไปยังเชียงราย ในตอนเย็นของวันที่ ๒๘ มกราคม ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายๆ ยามค่ำ เมื่อถึงเชียงราย ได้แวะรับประทานอาหารเย็น ณ ร้านมุมไม้ ร้านอาหารที่มีบรรยากาศและกลิ่นอายของเรือนไม้ทางภาคเหนือ ดีมากๆ ครับ
ข้าพเจ้าคิดพิจารณาอยู่บ่อยๆ ถึงการได้รับผลของกรรมของบุคคล กล่าวคือ ทั้งผลของกุศลกรรม และอกุศลกรรม ที่บุคคลได้กระทำไว้ในสังสารวัฏฏ์ การได้เดินทางติดตามคณะฯของท่านอาจารย์มาที่จังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ โดยส่วนตัวก็มีเหตุให้พิจารณาบ่อยๆ ถึงการได้รับผลของกุศลกรรมที่ดี กล่าวคือ นอกจากจะได้ฟังและเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตแล้ว ยังได้รับประทานอาหารอร่อยๆ มากมายหลายชนิด ได้รื่นรมย์กับทัศนียภาพสองข้างทาง บนรถบัสปรับอากาศคันใหม่และหรูหรา สะดวกสบายมากๆ และแวะพักชมสถานที่ข้างทางผ่าน
หากไม่ใช่เพราะบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน ไหนเลยจะได้มีโอกาสได้พบเห็นสิ่งเหล่านี้ ท่ามกลางกัลยาณมิตร ที่เป็นปัจจัยให้มีการได้ฟังและเข้าใจพระธรรม เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่มีค่าที่สุด ที่เคยคิดบ่อยๆ ว่า ถ้าจะขวนขวายเพื่อการมาท่องเที่ยวเช่นนี้ โดยปราศจากเป้าหมายหลัก คือ การได้ฟังพระธรรมและการได้มีโอกาสทำงานด้วยแล้ว ก็คงจะไม่มา หรือไม่ขวนขวายที่จะมาเหมือนเช่นแต่ก่อน ที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม คิดอยู่บ่อยๆ ถึงพระคุณของท่านอาจารย์ ที่ให้มีโอกาสได้เข้าใจความจริงขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ทุกครั้ง ที่ได้ฟังท่านบรรยายด้วยความเมตตาอย่างยิ่งต่อทุกคนที่ได้ฟัง ให้เห็นถึงความมีสาระ ของการได้มีชีวิตอยู่ เพื่อการได้เข้าใจพระธรรม เป็นสำคัญ หากมิใช่เพราะท่านอาจารย์ ก็คงนอนอยู่บ้านเหมือนเคย ตื่นเช้าขึ้นมารับประทานอาหาร ทำงาน หาเงิน (เดี๋ยวนี้ไม่ได้หาแล้ว ขอคุณภรรยาใช้ไปวันๆ ) เย็นลงก็เข้านอน เหมือนกันทุกวัน มีหรือ ที่จะได้ออกมาเห็นความสวยงาม รื่นรมย์ ลิ้มรสอาหารอร่อยๆ พักในที่พักแสนสวย หลายครั้ง ที่คิดว่า เราเอง ก็ไม่ได้มีเงินทองมากมายเช่นที่ใครๆ มี แต่มีความสุขเหลือประมาณ และเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน ก็ด้วยพระคุณหาที่สุดมิได้ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ได้ให้สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์แลรัตนะใดในโลก คือ ความเข้าใจพระธรรม ความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จากการตรัสรู้และทรงแสดงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสาระเดียว ที่มีค่าที่สุด ของการได้มีชีวิตอยู่ หลังรับประทานอาหารค่ำที่ร้านมุมไม้ ร้านอาหารอร่อยในบรรยากาศรื่นรมย์ของเชียงรายแล้ว คณะของเรา ได้เดินทางเข้าพัก ณ โรงแรมคำธนา เดอะโคโลเนียล โฮเต็ล เป็นโรงแรมที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่มีที่พักที่สวยงาม หรูหรา และ สะดวกสบาย มากๆ ครับ
ลงรูปสวยงามหลายรูป ไม่ได้ค่าจ้างอะไรจากทางโรงแรมหรอกนะครับ เห็นว่าสวยดี น่าพัก เผื่อท่านผู้อ่านเดินทางไปเชียงราย ก็ลองพิจารณาดูเป็นทางเลือกนะครับ และขอกราบอนุโมทนาคุณอมรา พวงชมภู ที่เอื้อเฟื้อค่าที่พักทั้งหมดแก่คณะฯในครั้งนี้ครับ อนึ่ง แม้ว่าการเดินทางในครั้งนี้ จะสะดวกสบาย อันเป็นกุศลวิบากที่ได้รับ แต่ก็มีอกุศลวิบากตามสมควร กล่าวคือ ยามดึกดื่นเที่ยงคืน ผู้เข้าพักส่วนใหญ่ ที่ทางพนักงาน เล่าให้ฟัง ว่าเป็นเยาวชนคนหนุ่มสาว จากแถวๆ ประเทศอิสราเอล ที่ชอบมาท่องเที่ยว ป่าเขาลำเนาไพร ขึ้นช้าง ลงม้า บุกป่า ฝ่าดง ที่นี่ มักส่งเสียงดัง วิ่งกันโครมคราม หลังการเดินเที่ยวในเมืองยามดึก และมักกลับมาตอนเที่ยงคืน แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ สำหรับคนที่เคยมีชีวิตในวัยรุ่นกับเพื่อนฝูงที่สนุกสนานเฮฮามา อย่างข้าพเจ้า อีกอย่าง ก็แค่เสียง ที่เกิดขึ้น ปรากฏและดับไป แม้ว่าจะยังไม่รู้จริงๆ เช่นนั้น แต่ก็มั่นคงขึ้น และน้อมไปสู่ความเข้าใจ จากการที่ได้ฟังมา ว่า เพียงเกิดขึ้น ปรากฏ และดับไป
การเดินทางมาที่เชียงรายในครั้งนี้ ได้รับการประสานงานจากพี่เผ่าทิพย์ มอนเทนดอน ซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณอมรา พวงชมภู ซึ่งท่านเป็นผู้ฝักใฝ่ สนใจในพระศาสนา พี่เผ่าทิพย์เล่าว่า ท่านชอบทำบุญมาก ชอบที่จะบริจาคทรัพย์เพื่อเกื้อกูลวัดต่างๆ ในประเทศ เมื่อทราบว่าท่านอาจารย์จะเดินทางไปสนทนาธรรม ที่ จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้แจ้งความประสงค์แก่พี่เผ่าทิพย์ เพื่อขอกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ ไปสนทนาธรรมต่อ ที่ เรือนทองทิพย์ จังหวัดเชียงราย ซึ่งท่านซื้อไว้จากคุณถวัลย์ ดัชนี เมื่อไม่นานมานี้
(ภาพพี่เผ่าทิพย์ มอนเทนดอน ผู้ประสานงาน ในการจัดสนทนาธรรมในครั้งนี้)
การเดินทางมาพร้อมทุกๆ ท่าน ที่จังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นภาพชีวิต ของแต่ละท่าน ในหลายๆ อิริยาบถ โดยเฉพาะ คุณนีน่า วัน กอร์คอม ชาวฮอลแลนด์ ที่ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์มานานถึงสี่สิบกว่าปีแล้ว ตัวท่านและสามีซึ่งเข้ามาทำงานเป็นอุปทูตที่เมืองไทยในสมัยนั้น ได้พบและศึกษาพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ตั้งแต่สมัยที่ท่านอาจารย์บรรยายที่วัดมหาธาตุฯ ปัจจุบันท่านพำนักอยู่ที่เนเธอแลนด์ (ฮอลแลนด์) และมักเดินทางมาร่วมการสนทนาธรรม ทั้งที่เวียตนามและไทย เป็นเวลานานนับเดือน ในปีหนึ่งๆ ท่านกล่าวว่าคนไทยโชคดี ที่ได้ฟังพระธรรมโดยตรงจากท่านอาจารย์ สำหรับตัวท่านเอง ต้องอาศัยฟังจากเทป เมื่อมาเมืองไทย ทุกคนจะเห็นภาพประทับใจในขณะฟังธรรมของคุณนีน่าบ่อยๆ ขณะที่ฟัง ในมือของคุณนีน่าจะถือเครื่องบันทึกเสียง หรือไม่ก็วางไว้ใกล้ๆ ตลอดเวลา ท่านมีผลงานการเขียนหนังสือธรรมะภาษาอังกฤษ หลายเล่ม บางเล่ม ได้รับการแปลต่อเป็นภาษาไทย ภาษาเวียตนาม และภาษาอื่นๆ ด้วย เช่น พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน , พระพุทธศาสนาในชีวิตประจำวัน , เข้าใจธรรม เป็นต้น ได้เห็นคุณนีน่า เดินออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารอยู่หลายๆ รอบแล้ว ทำให้นึกถึงคำพูดของหลายๆ ท่าน ที่กล่าวถึง การมีชีวิตอยู่เพื่อการเข้าใจธรรมะ ครับ
(ภาพคุณนีน่า วัน กอร์คอม)
(ภาพพี่เดือนฉาย ค่ำอำนวย ผู้จัดทริปสนทนาธรรมในที่ต่างๆ ผู้มากด้วยเมตตา)
หลังรับประทานอาหาร ทุกคนเก็บกระเป๋า เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เพื่อเดินทางไปสนทนาธรรม ณ เรือนทองทิพย์ เมื่อพูดถึงเรื่องกระเป๋า ก็มีเรื่องตื่นเต้น ที่เป็นอกุศลวิบากของข้าพเจ้าและอีกสองสามท่าน เนื่องจากรถตู้ที่จะพาคณะบางส่วน กลับไปขึ้นเครื่องบินที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำกระเป๋าของข้าพเจ้า คุณนภา คุณปริญญา และคุณเบญจมาส ติดรถไปด้วย พี่เดือนฉาย ผู้จัดทริปสนทนาธรรมผู้ใจดี ใจเย็น มากด้วยเมตตาและความสามารถ ยากที่จะหาใครเสมอเหมือนได้ เพราะทุกคนย่อมรู้ว่า คนมากๆ ปัญหาย่อมมีมากมาย เช่นกัน
ครั้งนี้ เมื่อทราบปัญหา พี่เดือนฉายก็พยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะได้กระเป๋ากลับมา เนื่องจากข้าพเจ้าและท่านอื่นๆ ที่กล่าวนั้น จะขึ้นเครื่องที่สนามบินเชียงราย ในตอนเย็น เมื่อทราบว่ากระเป๋าเดินทางติดรถไปเชียงใหม่แล้ว และไม่สามารถวนรถกลับมาคืนได้ เนื่องจากต้องรีบไปส่งท่านที่จะขึ้นเครื่องให้ทัน หนึ่งในจำนวนนั้นคือคุณเล็กสุรภา ที่กรุณาช่วยนำของสำคัญ คือ กุญแจรถของพี่ปริญญา ซึ่งอยู่ในกระเป๋าเดินทาง กลับมาฝากไว้ให้ที่สนามบินดอนเมือง ส่วนกระเป๋าเดินทางทั้งหมดนั้น คุณแจ๊คได้นำไปฝาก ไว้ที่พี่ชุมพร ที่เชียงใหม่ โดยข้าพเจ้าได้ติดต่อเพื่อนที่อยู่ที่เชียงใหม่ ให้นำส่งโดยบริษัทรับส่ง มายังร้านของคุณแอ๊ว ที่เคยใช้บริการบ่อยๆ อยู่แล้ว และเมื่อได้กระเป๋าแล้ว คุณประกิต สามีที่แสนดีของคุณแอ๊ว ก็กรุณานำมาส่งให้ข้าพเจ้าถึงที่บ้านเลยทีเดียว ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่เมตตาให้ความอนุเคราะห์ ช่วยเหลือในครั้งนี้นะครับ การมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิต จะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ความเข้าใจธรรมะที่มั่นคงขึ้น และย่อมเป็นผู้ตรง ที่รู้ตนเองว่า ขณะที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น มีความรู้สึกเช่นไร หวั่นไหวไป กับด้วยกำลังของกิเลส มากน้อยประการใด ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ จากการพิจารณา ไม่มาก ก็น้อย และประโยชน์สูงสุด คือ เข้าใจจริงๆ ว่าทุกขณะที่เกิดขึ้น เป็นไปนั้น เป็นแต่ธรรม "ไม่ใช่เรา"
เนื่องจาก การมาสนทนาธรรม ที่จังหวัดเชียงราย ของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ เป็นไปกับกุศลศรัทธาอย่างยิ่ง ของท่านเจ้าของบ้าน คือ คุณอมรา พวงชมภู ซึ่งท่านได้กล่าวว่าเป็นการจัดเตรียมสถานที่ ด้วยความศรัทธานอบน้อมเคารพต่อท่านอาจารย์ ที่ให้ความเมตตาเดินทางมาในครั้งนี้ และ จากความรู้สึกของข้าพเจ้าเอง ที่ได้ฟังความการสนทนา ที่เป็นไปด้วยความปรารถนาดี ที่จะให้ทุกๆ ท่านที่ได้ฟัง ได้มีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้องจริงๆ ซึ่งข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงความเมตตาปรารถนาดีนั้น ของท่านผู้มีนามว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในชาตินี้ ในระหว่างที่ท่านอาจารย์กล่าวแสดงความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ ด้วยความเมตตา เป็นมิตร เป็นเพื่อนที่หวังดี โดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝงเลยนั้น ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ทำให้ข้าพเจ้า ไม่เดินเข้าไปบันทึกภาพใกล้ๆ บ่อยๆ เหมือนที่เคย เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการรบกวนการฟังได้ ซึ่งจะเป็นการเสียประโยชน์ของทุกๆ ท่าน ที่กำลังต้องอาศัยการฟังด้วยดี ด้วยการพิจารณา เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ได้ฟัง ทั้งหมด คือ ประโยชน์ ที่บุคคลจำนวนน้อยในสังสารวัฏฏ์ จะพึงได้รับ เนื่องเพราะ ธรรมะ ไม่สาธารณะแก่บุคคลโดยทั่วไป ที่มิได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน จึงยากที่จะได้พบ และ แม้ว่าได้พบแล้ว ก็ยังยากที่จะเข้าใจได้ และ หากไม่มีศรัทธาที่มั่นคงพอ ย่อมจะเป็นบุคคลที่ถูกโลภะ ความติดข้อง ความต้องการ ชักนำด้วยความมีกำลัง ให้ไปทำสิ่งอื่น ที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ได้ถูกต้อง ตรงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทางไว้ จนกระทั่งกลายเป็นผู้หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่สามารถที่จะได้พบได้เจอกับพระธรรมอีกเลย นี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง แก่ผู้ที่ไม่รู้ว่า ตนเองไม่รู้ และ ประมาทในพระธรรมอันลึกซึ้งยิ่ง
จากที่ได้กล่าวแล้ว ถึงกุศลศรัทธาของคุณอมรา พวงชมภู ที่มีต่อท่านอาจารย์ และเมื่อข้าพเจ้าได้กลับมาถอดเทปการสนทนา เพื่อลงกระทู้ ก็พบว่า ควรที่จะได้นำลงความการสนทนาบางตอนดังกล่าว โดยครบถ้วนตามสมควร เพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้ที่ได้ติดตามอ่านและพิจารณา เพื่อความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น และ เป็นผู้ที่ละเอียดกับทุกคำที่ได้ยิน ไม่เผิน โดยคิดว่าเข้าใจแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกในความเมตตาของท่านอาจารย์ ที่กล่าวเตือนถึง ความอดทนและความเพียร ซึ่งจะเป็นบารมี ที่จะยังบุคคล ให้ถึงฝั่งได้ ในวันหนึ่ง แม้แสนไกล
ขอนำความการสนทนาในวันนั้น ซึ่งท่านอาจารย์ได้สนทนากับคุณชลิต ชวลิตอังกูร ช่างภาพหนุ่มผู้มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย ที่มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นตอนที่จะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะแก่ท่านที่ยังเป็นผู้แสวงหาความจริง ซึ่งย่อมอาจได้รับประโยชน์ ด้วยความเข้าใจ จากการได้อ่านและพิจารณาอย่างช้าๆ แม้จะเป็นอีกกระทู้หนึ่ง ที่มีความยาวของข้อความเป็นพิเศษ แต่ข้าพเจ้าเข้าใจว่า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่สนใจ และมีศรัทธา ที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ สำหรับข้าพเจ้าเอง ก็ชอบที่จะอ่านข้อความการสนทนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายต่อหลายรอบ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ท่านอาจารย์ เมื่อกี้นี้ได้สนทนาบ้าง (คุณชลิต) จะมาร่วมสนทนาด้วยไหม? ที่จริงก็ไม่ใช่ชั้นเรียนเลย เป็นการสนทนาธรรม ระหว่างผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรม แล้วก็รู้ว่า ยังได้ยินน้อยมาก แล้วก็เข้าใจคำนั้น แค่ไหน? เพราะฉะนั้น ก็ธรรมดาๆ สนทนาธรรมจริงๆ ถ้าเป็นชั้นเรียนก็คงจะเบื่อ แต่ว่า ถ้าเป็นการสนทนาธรรม ก็ ไม่ว่าใครจะสนใจอะไร ในทางพระพุทธศาสนา ทางธรรมะ ก็มีคำตอบ คุณชลิต นะคะ ไม่ได้เข้าชั้นเรียน นะคะ สนทนาธรรมค่ะ
คุณชลิต ผมอยากจะรู้เฉยๆ ครับว่า เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แล้วก็ ที่เราทำอยู่ มันถูกต้อง จริงๆ
ท่านอาจารย์ น่าสงสัย แล้วใครจะตอบ?
คุณชลิต นี่แหละครับ (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ใช่คนอื่น เพราะ "คนอื่น" รู้ไม่ได้เลย เพราะ เขาบอกให้เราเป็นเรา ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เราก็เลยเชื่อ เพราะ "เขาบอก"
แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่รู้ จึงบอกอย่างที่พระองค์ตรัสบอกไม่ได้เลยสักคน จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม "เริ่มต้น" จากคำว่า "ธรรมะ" ไม่ประมาท "คำนี้" ความหมายของธรรมะ ตั้งแต่ไม่เข้าใจเลย จนกระทั่ง "ฟัง" เข้าใจขึ้น จนถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็คือ รู้แจ้งสภาพของธรรมะ
เพราะฉะนั้น "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริงๆ แน่นอน เราจะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี ไม่มีประโยชน์ เราจะไม่พูด ถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่า ยังไม่เกิด แต่ "สิ่งนี้" ที่กำลังมี ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น ที่คิดว่ามี เรารู้ "ความจริง" ของ "สิ่งนั้น" หรือยัง? เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง เราทำขึ้นมาได้ไหม? ทำไม่ได้!!! ไม่ให้เกิด ได้ไหม? ไม่ให้มี ก็ไม่ได้!!! แสดงถึงความเป็น "อนัตตา" เราอาจจะได้ยินคำบ่อยๆ คำว่า "อนัตตา" ชาวพุทธได้ยินมาก หมายความว่า "อะ" คือ "ไม่" ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตัวตน "ตัวตน" ที่นี่ ไม่ได้หมายความเฉพาะ ตรงนี้ แต่ อะไรก็ตาม ที่เราเห็นเป็น "สิ่งหนึ่งสิ่งใด" เห็นเป็นถ้วยแก้ว เห็นเป็นโต๊ะ เห็นเป็นดอกไม้ แสดงว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ว่า อนัตตา คือ สิ่งที่มีจริงนี้ ไม่ใช่ไม่มี มีแน่ๆ จะบอกว่าไม่มีไม่ได้ แต่ มี เมื่อเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
"ได้ยินเสียง" ไหม? ไม่ให้ได้ยิน ได้ไหม?
คุณชลิต ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร?
คุณชลิต มันเผลอไปได้ยินเอง
ท่านอาจารย์ (หัวเราะ) เนี่ยค่ะ แสดงให้เห็นว่า ทั้งหมด ยังเป็น "ความคิดของเรา" อยู่ ยังไม่มั่นคงต่อคำว่า "สิ่งที่มีจริง" เมื่อกี้นี้ ต้องเกิด ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แล้วก็ห้ามไม่ให้ได้ยิน ก็ไม่ได้ เพราะอะไร? ถ้าจะเข้าใจธรรมะ ที่สำคัญที่สุด คือ ต้อง เพราะอะไร? เพราะอะไร? เพราะอะไร? ถึงจะเข้าใจจริงๆ ถ้าได้ยินแล้วเผินไป ก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น ห้ามไม่ให้ได้ยิน ได้ไหม?
คุณชลิต ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะอะไร?
คุณชลิต เพราะเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ เพราะเป็นอนัตตา เป็นอนัตตาอย่างไร? เห็นไหม? ถ้ามีคำถามไปเรื่อยๆ จะเริ่มเข้าใจจริงๆ ในคำว่า "ธรรมะ" ในคำที่ว่า "อนัตตา" แม้แต่สองคำนี้ ก็ต้องเข้าใจ
เมื่อกี้นี้ เราพูดถึงเรื่องศรัทธา ใช่ไหม? พอเข้าใจแล้วใช่ไหม? หลายคนพูดถึง ขอถาม... มีศรัทธา หรือยัง?
คุณชลิต มีครับ
ท่านอาจารย์ ศรัทธา คือ อะไร?
คุณชลิต สำหรับผม คือ ความเชื่อ ครับ
ท่านอาจารย์ เชื่อว่า อย่างไร?
คุณชลิต เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคำสอนอื่น แล้วเชื่อ ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย เป็นศรัทธา หรือเปล่า?
คุณชลิต มิจฉามังครับ?
ท่านอาจารย์ หมายความว่า เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ความจริง เชื่ออย่างนั้น ไม่ใช่ศรัทธา
ที่บอกไว้ "ตั้งตนไว้ชอบ" คือ อย่างไร? จากการไม่มีศรัทธา เป็นผู้มีศรัทธา ต้องหมายความว่า "จิต" ที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ผ่องใส ที่ได้ยิน "คำจริง" เห็นไหม? แต่ความผ่องใส หมายความว่า ขณะนั้น ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ที่ "ได้ฟังคำจริง"
พอได้ฟัง "คำจริง" แล้ว มีศรัทธา เพิ่มขึ้นไหม?
คุณชลิต เพิ่มขึ้น ครับ
ท่านอาจารย์ โดยอย่างไร? ที่ว่าศรัทธาจะเพิ่ม
คุณชลิต รู้สึกว่า มันเป็นความจริง จริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้ว ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร? ตอนนี้มีศรัทธาแล้ว ที่จะฟัง ใช่ไหม? แล้วก็รู้ว่า "จริง" แล้วศรัทธาจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
คุณชลิต ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
ท่านอาจารย์ มีแล้วใช่ไหม? ตอนนี้
คุณชลิต มีครับ ผมคิดว่า ผมมี
ท่านอาจารย์ น้อยไหม? หรือว่า พอแล้ว?
คุณชลิต เขาเพิ่มขึ้นเองมังครับ?
ท่านอาจารย์ เพิ่มขึ้นเอง? อยู่ดีๆ อะไรก็เกิดขึ้นมาเอง? หรือว่า เพราะไม่รู้ว่า "มีเหตุ" จึงเข้าใจว่า เพิ่มขึ้นเอง?
คุณชลิต อาจจะเป็นอย่างหลัง ที่อาจารย์บอก เพราะมันจะไม่รู้ ว่ามันเพิ่มขึ้นเอง
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ต้องมีปัจจัย ฟังวันนี้ เข้าใจแค่ไหน? เห็นว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าเป็นสิ่งที่มีจริง จะรู้ยิ่งกว่านี้ไหม?
คุณชลิต ได้ครับ
ท่านอาจารย์ โดยอย่างไรคะ? นี่คือ "ความตรง" รู้อย่างนี้ เพราะ "ได้ฟัง" ใช่ไหม?
คุณชลิต ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะ "เพิ่มขึ้น" ก็เพราะ "ได้ฟังเพิ่มขึ้น" หรือเปล่า?
คุณชลิต เป็นไปได้ครับ
ท่านอาจารย์ ความรู้ที่เพิ่มขึ้น ก็ต้องได้ฟังเพิ่มขึ้น
"ฟัง" แล้วก็ "ไตร่ตรอง" จนกระทั่งเป็น "ความเข้าใจ" ที่ "มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง" ว่า ทุกอย่าง เป็นอนัตตา "อนัตตา" หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ "เกิด" เพราะ "มีเหตุปัจจัย" ที่จะทำให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้นๆ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ตอนนี้ "มีตา" ไหม?
คุณชลิต มีครับ
ท่านอาจารย์ ตา "ของเรา" หรือเปล่า?
คุณชลิต ตา "ของผม" ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ตรงแล้วค่ะ "ธรรมะ" คือ อะไรคะ? สิ่งที่มีจริงๆ "ตา" มีจริง ห้ามไม่ให้ตาเกิด ได้ไหม?
คุณชลิต ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร "ตา" ที่เกิดแล้ว ดับแล้ว เป็นใครหรือเปล่า?
คุณชลิต ไม่ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นของใครหรือเปล่า?
คุณชลิต ไม่ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "ตา" มีไหม?
คุณชลิต ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ค่ะ
คุณชลิต ถ้าตอนนี้ก็มีครับ ตาเนื้อหรือครับ?
ท่านอาจารย์ ยังไงก็ตามแต่ค่ะ ตรงไปตรงมาเลย ตรงไปตรงมาว่า เดี๋ยวนี้ มีตาไหม?
คุณชลิต มีครับ
ท่านอาจารย์ "เป็นธรรมะ" หรือเปล่า?
คุณชลิต ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ เนี่ยค่ะ คือ การฟังของเรา ขอประทานโทษ ที่ต้องสนทนาอย่างนี้
คุณชลิต ดีครับ ขอบคุณครับ
ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่า คนที่เพิ่งเริ่มฟัง ไม่มีทางที่จะเข้าใจจริงๆ "เหมือนเข้าใจ" คำธรรมดาๆ ง่ายๆ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง แน่ๆ เพราะ กำลังมี แล้วก็ ไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้าง หรือ ไปทำให้เกิดขึ้นด้วย แต่ เกิดแล้ว ต้องมีปัจจัย ที่จะทำให้สิ่งนี้ เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น แต่เรายังไม่สามารถที่จะรู้ถึงปัจจัย ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะเรายังไม่ได้รู้ "ตัวจริง" ของธรรมะนั้นเลย ถูกปิดบังไว้หมด ด้วย "ความไม่รู้"
เพราะฉะนั้น เราต้อง "ค่อยๆ " เป็น "คนตรง" ที่จะ "ไตร่ตรอง" และ "ตรงต่อความจริง" ตลอดไป หมายความว่า ถ้าคลาดเคลื่อน ไม่จริง ปัญญา คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ต้องสามารถรู้ได้ ว่านั่นไม่ถูก นั้นไม่จริง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ "เรา" ตัดสิน แต่ "ใคร?" ที่จะรู้ยิ่งกว่าใคร ในสากลจักรวาล เทวดา ยังต้องมาเฝ้า ทูลถาม พระพรหม ก็ยังต้องมาเฝ้าทูลถาม
แม้แต่เรื่องธรรมดา ว่า มงคล คือ อะไร? แค่นี้ คิดกันไปต่างๆ เหมือนตอนแรก ที่เราพูดกันว่า "ต่างคน ต่างคิด" แต่ "คิดอะไร?" ถูก หรือ ผิด? "คิด" เรื่องอะไร? "คิด" ตามที่ "ได้ฟัง" หรือ "คิดเอง?" เพราะฉะนั้น ถามอีกครั้งหนึ่ง ถามไปถามมาก็ได้ ใช่ไหม?
คุณชลิต ได้ครับ
ท่านอาจารย์ นี่เป็นประโยชน์ ที่ ถ้าคุณชลิต จะเข้าใจถูกต้อง ตามพระธรรม แม้นสักนิดหนึ่ง ดิฉัน ก็ดีใจมาก
คุณชลิต สาธุ ขอบคุณครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะรู้สึกว่า การได้พบกัน ไม่มีอะไรจะมีประโยชน์ เท่ากับเป็นเพื่อนที่ดี ที่ให้ "สิ่งที่ถูกต้อง" ไม่ผิดเลย
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ "ตา" มีไหม?
คุณชลิต "ตา" มีครับ
ท่านอาจารย์ มี นะคะ ทำให้ตา เกิดขึ้นได้ไหม?
คุณชลิต ทำไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ นะคะ เพราะฉะนั้น "ตา" ขณะนี้ "เห็น" อะไรหรือเปล่า?
คุณชลิต เห็นอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ตาค่ะ ตา ตา
คุณชลิต ตาของผม?
ท่านอาจารย์ นี่ ของผม ก็มาแล้ว เป็นธรรมะต่างหาก ไม่ใช่ของใคร
คุณชลิต ครับผม
ท่านอาจารย์ พอพูดถึง "ตา" ไม่ใช่ของใครเลย สิ่งหนึ่ง ที่มีจริง เท่านั้น จะอยู่ที่ไหนก็ได้ ในน้ำมีตาไหม?
คุณชลิต ไม่มีมังครับ?
ท่านอาจารย์ ไม่มีปลา? เพราะฉะนั้น มีตาไหม? ในน้ำ นก มีตาไหม? งู? "ตา" ไม่เป็นคน ไม่เป็นนก ไม่เป็นปลา ตา เป็น ตา นี่คือ ธรรมะ ที่ ตรง แล้วก็ เปลี่ยนแปลงไม่ได้!!!
แล้ว ตาจริงๆ นี่ คือ อะไร?
คุณชลิต เป็นเนื้อเยื่อ เป็นออแกนิสซึ่ม เป็น....
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเนื้อ ไม่เป็นปัจจัยให้ "จิตเห็น" เกิด ตรงนี้ก็มีเนื้อ ตรงนั้นก็มีเนื้อ ไม่เห็น "จิตเห็น" เกิดตรงนั้นเลย เพราะฉะนั้น "ตา" ต้องเป็นรูป ที่มองไม่เห็น และ ไม่ใช่อ่อน ไม่ใช่แข็ง ด้วย ที่ "เห็น" คือ สิ่งหนึ่ง ในโลกกี่โลกก็ตาม จะมีธรรมะเพียงอย่างเดียว ที่สามารถเห็นได้ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เดี๋ยวนี้!!!
"เสียง" ไม่ได้ปรากฏให้ "เห็น" "กลิ่น" ไม่ได้ปรากฏให้ "เห็น" "ความคิด" ไม่ได้ปรากฏให้ "เห็น" "ความโลภ" ไม่ได้ปรากฏให้ "เห็น" ไม่มีอะไรสักอย่าง ที่ปรากฏให้เห็นได้ นอกจาก "สิ่งที่กำลังปรากฏ" เท่านั้น หนึ่ง ในบรรดาธรรมะทั้งหลาย คือ หนึ่งในสิ่งที่มีจริงทั้งหลาย มีเพียงสิ่งเดียว แล้วจะเห็นเมื่อไหร่? "สิ่งนี้" จะ "เห็น" เมื่อไหร่? จะ "ถูกเห็น" เมื่อไหร่?
คุณชลิต "สิ่งนี้" หมายถึงอะไรครับ?
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ มี "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" ใช่ไหม?
คุณชลิต ครับ
ท่านอาจารย์ แล้ว ปรากฏกับอะไร?
คุณชลิต ปรากฏกับอะไร? ผมไม่เข้าใจคำถาม
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มี "ตา" ไม่มี "จิต" ที่เกิดขึ้น "เห็น" สิ่งที่กำลังปรากฏ "ปรากฏ" ได้ไหม?
คุณชลิต ปรากฏ ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่มีตา
คุณชลิต ไม่มีตา ก็ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น "สิ่งนี้" แม้มีจริง แต่ถ้า ไม่มี "เห็น" สิ่งนี้ ปรากฏไม่ได้ว่ามี
คุณชลิต อืมมม์
ท่านอาจารย์ "เริ่ม" เป็นผู้ตรง ต่อคำว่า "อนัตตา" เพราะฉะนั้น พูดคำไหน ตรง ต่อคำนั้นไปตลอด ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง อะไรที่มีจริง ก็ต้องจริง
คุณชลิต ครับ
ท่านอาจารย์ "แข็ง" มีจริงไหม? เมื่อไหร่?
คุณชลิต เมื่อเรากำหนดให้มัน....
ท่านอาจารย์ "เรา" อีกแล้ว (หัวเราะ) เห็นไหม? "แข็ง" มีจริง เมื่อไหร่? โต๊ะ แข็งไหม?
คุณชลิต แข็งครับ
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่?
คุณชลิต เมื่อจิตไปจับครับ เมื่อจิตไปจับ ไปให้ความหมาย ไปตีความหมาย
ท่านอาจารย์ ตียังไงก็ไม่แข็ง (หัวเราะ) แต่ แค่ "กระทบ" "แข็ง" ปรากฏ
คุณชลิต กายสัมผัส เหรอครับ?
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า "กระทบ" แล้วต่อไป เราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนกระทั่ง มีความเข้าใจ ความเป็นอนัตตา มั่นคงขึ้น นี่คือ "ปริยัติ" แต่ถ้า ไม่มีความรู้อย่างนี้เลย กำลังเห็นอย่างนี้ กำลังกระทบอย่างนี้ จะรู้ได้อย่างไร? ว่า "เป็นธรรมะ" "ไม่ใช่เรา" ไม่มีทาง
เพราะฉะนั้น จึงอาศัยพระธรรม เป็นที่พึ่ง เคยพูด พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ไหม?
คุณชลิต เคยครับ
ท่านอาจารย์ หมายความว่า?
คุณชลิต ไม่ทราบครับ
ท่านอาจารย์ เห็นไหม? แล้วพูดทำไม?
คุณชลิต มันอยู่ในบทสวด น่ะครับ
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ แล้ว สวดทำไม?
คุณชลิต สวดเอาสมาธิ ครับ
ท่านอาจารย์ แล้ว สมาธิ คือ อะไร?
คุณชลิต เอ้อ....ความเป็นหนึ่ง ความนิ่งๆ ของจิต ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะ หรือเปล่า?
คุณชลิต เป็นสภาวะ เป็นธรรมะ ครับ
ท่านอาจารย์ ดีไหม? สมาธิ?
คุณชลิต ดีครับ
ท่านอาจารย์ ผิด!!! (หัวเราะ)
เพราะว่า "สมาธิ" ไม่ใช่ "จิต" ถูกต้องไหม? ต้องแยก ละเอียดยิบ เลย "จิต" เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้แจ้ง แต่ละหนึ่ง ที่กำลังปรากฏ ในเสียง ในกลิ่น ในอะไรก็ตามแต่ "ทีละหนึ่ง" ด้วย "จิต" ทำอย่างอื่น ไม่ได้เลย!!! จิต "จำ" ไม่ได้ จิต "ชั่ว" ไม่ได้ แต่ว่า มีสภาพ "นามธรรม" ที่เกิดกับจิต แต่ ไม่ใช่จิต แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ๕๒ ประเภท แล้วแต่ว่า จะมี "เจตสิก" นามธรรม ที่เกิดกับจิต ใช้คำว่า "เจตสิก" แล้วแต่ว่า เจตสิกใด เกิดกับจิตนั้น ก็ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ พร้อมกับจิต ที่เกิดขึ้นเห็น หรือ เกิดขึ้น รู้แจ้งอารมณ์ เพราะฉะนั้น "แข็ง" มี ใช่ไหม? "อะไร?" รู้แข็ง ว่าแข็งมี ร่างกายจริงๆ ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น ต้องแยกละเอียด ตั้งแต่ต้น ว่า สิ่งที่มีจริง หลากหลาย มากมาย แต่ก็ ต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เช่น แข็ง , เสียง , กลิ่น , รส ไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้า ไม่มี "ธาตุรู้" หรือ "สภาพรู้" เกิดขึ้น "รู้" สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่ปรากฏว่า มี
ค่อยๆ ฟัง ถ้าไม่มี "สภาพรู้" หรือ "ธาตุรู้" เกิดขึ้น "รู้สิ่งนั้นๆ " ก็ไม่ปรากฏว่ามีสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น "โลก" มีไหม? เคยได้ยินคำว่า "โลก" ไหม?
คุณชลิต เคยครับ
ท่านอาจารย์ แล้วเคยคิดว่าอย่างไร?
คุณชลิต ก็แต่ก่อน ก็คิดว่า เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง อะไรอย่างนี้ ตาม Definition
ท่านอาจารย์ แต่ความจริง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำนี้ไว้ หมายความถึง สิ่งที่มี เมื่อเกิดขึ้นแล้วดับไป สิ่งที่มีนั้นแหละ เกิดแล้วดับ เป็น "โลก" ทั้งหมด สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขี้น สิ่งนั้นต้องดับ เป็นธรรมดา สิ่งที่เกิดดับนั้นแหละ เป็น "โลก" แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง พอรวมกัน ก็กว้างใหญ่ไพศาล ใช่ไหม? กล่าวว่า ดาวดวงหนึ่ง
แต่ความจริง แตกย่อยไปแล้ว ก็คือ ต้องมีธาตุที่เป็นหนึ่ง ไม่เหมือนกับธาตุใดๆ เลย ทั้งสิ้น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เช่น "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" "เสียง" ไม่ใช่ "กลิ่น" เป็น "แต่ละหนึ่ง" ทั้งหมด "เป็นธรรมะ" ทั้งหมด "เป็นอนัตตา" ทั้งหมด!!! เพราะฉะนั้น ที่เคยเข้าใจว่า "เรา" ถูก หรือ ผิด???
คุณชลิต ผิดครับ
ท่านอาจารย์ ผิด นะคะ แต่ "เป็นเรา" อยู่ ใช่ไหม?
คุณชลิต เป็นอยู่ครับ
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น ถ้า "ความเข้าใจ" ยังน้อย ก็ยัง "เป็นเรา" อยู่นั่นแหละ
เพราะฉะนั้น จึงมี ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ๓ คำ ภาษาบาลี หมายความว่า ปริยัติ คือ รอบรู้ ในพระพุทธพจน์ "คำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากไหม?
คุณชลิต ยากครับ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ว่ายาก?
คุณชลิต บางความหมาย ผมก็ไม่รู้ความหมายจริงๆ ของ "คำ"
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถูกต้อง เพราะละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่ยาก แล้วเราสามารถที่จะรู้ได้เร็ว ไหม?
คุณชลิต ไม่เร็วครับ
ท่านอาจารย์ นานไหม? กว่าจะรู้ได้?
คุณชลิต ใช้เวลานานครับ
ท่านอาจารย์ นี่คือ ปริยัติ ยังไม่ถึง ปฏิปัตติ ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ "สติสัมปชัญญะ" เกิดขึ้น "ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะ" เพียง "หนึ่ง" ทีละหนึ่ง ด้วยความเข้าใจขึ้น ในความ "ไม่ใช่เรา"
เพราะฉะนั้น ปริยัติ ส่องทางให้ปฏิปัตติ เกิดขึ้น รู้ความจริง ถ้าไม่มีปริยัติ การฟังเลย ไม่มีทางเลย ที่จะเข้าใจถูก เพราะ "แข็ง" ก็ยังคง เป็นเรา , เป็นโต๊ะ , เป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ความจริง "แข็ง" เป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะ "แข็ง" เป็น "แข็ง" สิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเป็น "แข็ง" เป็นธรรมะ ทั้งหมด นี่เป็นคำของผู้ที่ตรัสรู้หรือเปล่า?
คุณชลิต ไม่ทราบครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ให้เกิดความรู้ขึ้น เข้าใจถูกขึ้น จะเป็นคำสอนของคนอื่นได้ไหม?
คุณชลิต ก็ได้ครับ
ท่านอาจารย์ ก็ได้? อย่างนั้น เราก็ไม่ต้องฟังพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง ใครจะรู้ เกินพระพุทธเจ้า? เพราะฉะนั้น แม้แต่การฟัง ก็ยังสามารถที่จะรู้ได้ว่า "เราฟังใคร?" คำจริงทุกคำ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคำของพระองค์ ไม่ว่าท่านพระสารีบุตรจะกล่าว ท่านพระมหาโมคคัลลานะจะกล่าว หรือ ใครจะพูด "คำจริง" นั้น ต้องมาจากการได้ฟัง ได้เข้าใจ "คำ" ที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว
เพราะฉะนั้น เราสามารถ ที่จะเกิด "ความเข้าใจของตัวเอง" การฟังพระธรรม ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ว่า พิจารณาแล้ว "ความเห็นถูก" เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความเห็นถูก ไม่ใช่ความเห็นผิด "ความเห็นถูก" เกิดแล้ว เป็น "ความเห็นถูก" "ไม่ใช่เรา" จนกว่า ทุกอย่าง เมื่อไหร่ ปัญญา รอบรู้ในพระพุทธพจน์ "เริ่ม" เป็นปัจจัย ให้ธรรมะ ที่สามารถที่จะ เข้าถึงความจริงของ "เห็น" เดี๋ยวนี้!!! "ตรง" ตามที่ได้ "ฟัง" ทีละเล็ก ทีละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย จน สภาพธรรมะนั้น ปรากฏ จริงๆ อย่างที่ตรัสไว้ดีแล้ว ด้วยปัญญาของตนเอง!!! ที่ (มา) จากการฟัง จนกระทั่ง เป็นปัจจัยให้ ขณะนั้น เป็นปกติ รู้สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นปกติ ตามปกติ
เพราะ ถ้าไม่ใช่ปกติ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริง เพราะ "ความเป็นเรา" ลึกมาก และ "โลภะ" ก็เป็น "มายา" อย่างยิ่ง "ลวง" อย่างยิ่ง ให้คิดว่า นี่ถูก!!! นี่ใช่!!! แต่ความจริง "เป็นเรา" เพราะไม่ได้รู้ความจริง ทีละเล็ก ทีละน้อย
ขณะนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เห็น" เกิดแล้วดับ จริงไหม?
คุณชลิต จริงครับ
ท่านอาจารย์ จริงนะคะ มีศรัทธาแล้วค่ะ จากไม่มีศรัทธา มีศรัทธา และ ศรัทธาจะเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเลย ไม่ฟัง "คำของคนอื่น" เลย แต่ ฟัง "คำ" ที่ ฟังแล้ว เข้าใจ "ตรง" สามารถไตร่ตรองเองได้ เข้าใจเองได้ เป็น "สาวก" คือ "ผู้ฟัง" ไม่ใช่สาวกของเดียรถีย์ ในสมัยพุทธกาล มีอาจารย์สัญชัย มีมักขลิโคศาล มีปูรณกัสสปะ ไม่ใช่คำของคนเหล่านั้นเลย แต่ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น "คนฟังเข้าใจ" สามารถที่จะบอกได้ เข้าใจได้เลย (ว่า) นั่น เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? หรือเป็นคำของคนที่ "คิดเอง"? หรือเป็นคำที่ เพียงอ่าน แล้วเข้าใจเอง อธิบายเอง เขียนตำราเอง บอกคนอื่นเอง แต่ ไม่ถูกต้อง!!! เพราะ "ยังเป็นเขา"
เพราะฉะนั้น มีที่พึ่งหรือยัง?
คุณชลิต หมายถึงผมหรือครับ? มีแล้วครับ
ท่านอาจารย์ ใคร?
คุณชลิต พระพุทธเจ้าครับ
ท่านอาจารย์ เท่านั้นหรือคะ? มีอะไรอีกไหม?
คุณชลิต คำสอนของพระองค์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น มีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม และ อะไรอีก?
คุณชลิต พระสงฆ์ครับ
ท่านอาจารย์ พระสงฆ์ สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ใช่เพราะคนอื่นสรรเสริญ ว่าเขาปฏิบัติดี แต่ต้องเป็น "ปัญญา" ที่ทำให้ปฏิบัติดี คือ ปฏิบัติ ตรงและถูก ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น เราก็ "มีตน เป็นที่พึ่ง" แต่ไม่ได้หมายความถึงว่า เป็นเราจริงๆ แต่มี "ปัญญา" ความเห็นถูก จากการได้ฟังพระธรรม ทำให้ชาตินี้ ไม่หลงผิด!!! ไม่เข้าใจผิด!!! เพราะเหตุว่า ถ้าเข้าใจผิด...หันหลัง...ให้พระสัทธรรม... ไม่มีโอกาสที่จะได้ "รู้จัก" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลย เพมือนพวกเดียรถีย์ ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ไม่ไกลเลย ไม่มาเฝ้า เราอาจจะเป็นอย่างนั้น!!! ถ้าเรา ประมาท
คุณชลิต น่ากลัว
ท่านอาจารย์ น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่ "ตรง" บารมีทั้ง ๑๐ มั่นคง อดทน ยากแน่ๆ
คุณชลิต ยากครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าไม่ยาก ผิด หรือ ถูก?
คุณชลิต ผิดครับ
ท่านอาจารย์ ผิด!!! ต้องยอมรับ ตามความเป็นจริง เพื่อเราจะได้เป็น คนที่เห็นถูกต้อง
ชาตินี้ มีโอกาสจะได้ "รู้การเกิดดับของจิตเห็น" ไหม?
คุณชลิต อืมม์ ไม่กล้าคอนเฟิร์ม (ยืนยัน) ด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ ทำไมล่ะคะ? "ตรง" ไงคะ? ลองคิดค่ะ ชาตินี้ มีโอกาสจะได้ประจักษ์ รู้แจ้งการเกิดดับของ "จิต" เดี๋ยวนี้ไหม? ไม่ว่าจะ "เห็น" หรือ "ได้ยิน" หรือ "คิด"
คุณชลิต ชาตินี้เหรอครับ? ไม่แน่ใจ ไม่แน่!!
ท่านอาจารย์ ยังมีหวังหรือคะ? "ไม่แน่ใจ" นี่ หมายความว่า ยังมีหวังหรือคะ?
คุณชลิต ก็ครับ มองในแง่ดีไว้ก่อน (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ คือ โลภะ ค่ะ ยังเป็นทาสของโลภะ แล้ว อะไร? จะรู้ว่า นั่นเป็นศัตรูภายใน ไม่ได้อยู่ข้างนอกเลย ศัตรูภายนอก ทำร้ายกายได้ ทำร้าย "ใจ" ไม่ได้ แต่ว่า ศัตรูภายใน ทำร้ายใจ ทันทีที่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคฯ ไม่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา อนุเคราะห์อย่างยิ่ง และ ข้อสำคัญ ต้องไม่ลืมว่า เมื่อตรัสรู้แล้ว ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงพระธรรม เพราะอะไร? ธรรมะ ลึกซึ้ง กว่าจะได้ตรัสรู้ คือ รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับ เดี๋ยวนี้!!! ยากแค่ไหน?!!! ต้องเป็น "ปัญญา" จริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาเล็กน้อย คือ เริ่มตั้งแต่เข้าใจถูก เห็นถูก ด้วยการ "ฟัง" ไม่มีปัจจัยที่จะทำให้สามารถ "ถึงเฉพาะ" ด้วย "สติสัมปชัญญะ" ที่จะ "รู้ความจริงเดี๋ยวนี้" ได้ นี่คือ พระธรรม ที่ทรงแสดงไว้ เพื่ออนุเคราะห์ พระมหากรุณา ไม่ให้เห็นผิด!!! เพราะเหตุว่า ถ้ามีความเห็นผิด ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ชาตินี้...ยังหันหลังให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...พระสัทธรรม... เพราะฉะนั้น...ต่อไป...ก็ไม่มีวันพบ..... ก็จะเป็นพวกเดียรถีย์ สาวกเดียรถีย์ เพราะไม่เห็นประโยชน์ ของการ "เป็นผู้ที่ตรง" ที่สามารถจะ "เริ่มเข้าใจถูกต้อง" ในขั้น "ฟัง ความจริง"
เพราะฉะนั้น ศรัทธา หรือไม่ศรัทธา รู้ได้เลย ถ้าเป็นความเห็นผิด ไม่ใช่ศรัทธา จิตขณะนั้น ไม่ผ่องใส มีโลภะ มีความต้องการ มีความไม่รู้ มีความเห็นผิด!!! เพราะฉะนั้น จิตขณะนั้น หม่นหมอง เจือปนด้วยกิเลส ท่านใช้คำว่า เศร้าหมอง มีมลทิน เพราะกิเลส ซึ่ง กิเลสทั้งหมด ดับได้ มีผู้บรรลุคุณธรรม เป็นพระอรหันต์ มากมาย เพราะ "รู้ความจริง" ไม่ใช่ เพราะ ไม่รู้!!! เพราะฉะนั้น "การฟัง" จึงเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ "ตรง" และรู้ว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" เป็นใคร? แล้ว "เรา" เป็นใคร?
ถามอีกครั้งหนึ่ง ชาตินี้ มีโอกาสที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมะ ที่กำลังเกิดดับ เดี๋ยวนี้ ไหม?
คุณชลิต เอ่อ....คงไม่แน่ใจ...คงไม่.....
ท่านอาจารย์ "คง" หมายความว่าอย่างไร? "คง" ยังมีหวัง?
คุณชลิต ก็อยากจะทำให้ดีที่สุดน่ะครับ
ท่านอาจารย์ อยากน่ะ ใครอยากล่ะคะ?
คุณชลิต ผมเองครับ ความโลภ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "ไม่ใช่ปัญญา" ถ้าเป็น "ปัญญา" "ทำ" ได้ไหม?
คุณชลิต ทำได้
ท่านอาจารย์ ใครทำ?
คุณชลิต เอ่อ....ก็ยังเป็นผมอีก
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่า ที่ "ยึดถือ" ว่า "เรา" คือ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น "ปรมัตถธรรม" เราได้ยินคำว่า "ธรรมะ" สิ่งที่มีจริง เรายังได้ยิน "ปรมัตถธรรม" ปะ-ระ-มะ คือ บรม ยิ่งใหญ่ อรรถ สภาพนั้นๆ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ "โกรธ" เกิด "ลักษณะ" ของโกรธ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ไม่ได้เลย "อวิชชา" กำลังไม่รู้ ไม่เข้าใจ จะให้เป็น ความรู้ ความเข้าใจ ได้อย่างไร? "อวิชชา" ไม่มีทางจะเข้าใจ!!! แต่ว่า "ปัญญา" ความเข้าใจเกิดขึ้น "อวิชชา" ก็ไม่สามารถที่จะเกิด ในขณะที่ "วิชชา" เกิดได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่ง "วิชชา" มีกำลังขึ้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ในชีวิต ในบรรดาสังขารธรรม ทั้งหมด "ปัญญา" ประเสริฐสุด เพราะ สามารถดับกิเลสได้ ถ้าดับกิเลสไม่ได้ ไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสาวก
แต่ไม่ใช่ว่า ใครก็ดับกิเลสได้ โดยไม่รู้อะไร ต้องมั่นคง เพราะฉะนั้น ศรัทธา คือ ได้ฟังแล้ว เคยฟังอย่างนี้มาก่อนหรือเปล่าคะ?
คุณชลิต ไม่เคยครับ
ท่านอาจารย์ เพราะ "ก่อนการตรัสรู้" จะไม่มีใคร กล่าว "คำอย่างนี้" เลย ใหม่หมด แต่พอตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ได้ยิน ได้ฟัง ต่อๆ กันมา แต่ต้องรักษาคำสอนไว้ ไม่ให้คลาดเคลื่อน หรือ ลบเลือน เพราะ เข้าใจผิด ได้ง่ายมาก อย่างเมื่อกี้นี้ "จะพยายาม" ถูกไหม?
คุณชลิต ครับ
ท่านอาจารย์ จะพยายาม? จะพยายามได้ไหม? พยายามทำอะไร?
คุณชลิต ก็ปฏิบัติให้อยู่ในร่อง ในรอย
ท่านอาจารย์ (หัวเราะ) ร่องรอย คือ อะไร? นี่เริ่ม "คิดเอง" แล้ว
คุณชลิต ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ แปรแล้ว จาก ธรรมะ ไม่ได้ฟังแล้ว ไม่ได้ฟังต่อไปอีก ซึ่งจะทำให้ตรง ต่อไปอีก ก็กลายเป็น คลาดเคลื่อน แล้ว
แล้วก็ไม่รู้ตัว ถ้าไม่บอก ถ้าไม่มี "คำของพระพุทธเจ้า" ตรัสไว้อย่างละเอียดยิ่ง ป้องกันทุกอย่าง ปริยัติ ปฏิปัตติ ยังไม่พอ สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ กำกับไว้อีก เพราะฉะนั้น "มีที่พึ่ง" เมื่อได้ฟังพระธรรม และ เข้าใจขึ้น ความเป็น "ผู้ตรง" คนอื่น เลือกให้ไม่ได้เลย ตามการสะสม ใครสะสม ที่จะมีโลภะมาก โลภะ พาไปได้ตลอด พาไปไหนก็ได้ พาไปสวรรค์ ก็ได้ รูปพรหม ก็ได้ อรูปพรหม ก็ได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ พาออกจากสังสารวัฏฏ์ และ ดับกิเลส ไม่ได้!!!
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๒ หน้าที่ ๑๗๘ - ๑๘๐
เรื่องปฐมโพธิกาล
พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วยสามารถเบิกบานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนท์เถระทูลถาม จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อเนกชาติสํสารํ" เป็นต้น.
ทรงกำจัดมารแล้วทรงเปล่งพระอุทาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต ทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว
ในปฐมยาม ทรงทำลายความมืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ
ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว
ในปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว ทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมและปฏิโลม
ในเวลาอรุณขึ้น ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะทรงเปล่งอุทาน ที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
" เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ ของท่าน เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว "
.........
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณอมรา พวงชมภู สำหรับรสของพระธรรม อันเลิศที่สุด ครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏฏ์ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ จะซาบซึ้งยิ่ง ในหทัย ไปตราบเท่ากาลนาน ในขณะของธรรมทานอันเลิศ แวดล้อมด้วยบรรยากาศที่โอ่อ่าโอฬาร อย่างยิ่ง ทั้งหมด ดับไปแล้ว หมดไปแล้ว ไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาอีก
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณอมรา พวงชมภู
คุณเผ่าทิพย์ มอนเทนดอน พี่เดือนฉาย ค่ำอำนวย และ ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ที่ติดตามการเจริญกุศลของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณอมรา พวงชมภู
คุณเผ่าทิพย์ มอนเทนดอน คุณป้าเดือนฉาย ค่ำอำนวย และ ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ที่ติดตามการเจริญกุศลของท่านอาจารย์ในครั้งนี้
และขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ
งดงามด้วยภาพและเรื่องราว โดยเฉพาะธรรมะที่นำมาเผยแพร่ต่อ ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของคุณวันชัย ภู่งาม ภาพสวยงามประทับใจเช่นเคยค่า
การสนทนาธรรมครั้งนี้ มีประโยชน์มากเลยค่ะ แม้จะไม่มีการถ่ายทอดสด
แต่ทุกท่าน ก็ได้รับกุศลวิบากจากกระทู้คุณวันชัยค่ะ ขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
ขอกราบนมัสการอย่างสูงสุดแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณอาวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ.
เป็นการจัดทำที่ประณีต ละเอียดอ่อน วิจิตร บรรจง งดงาม ดังเช่นในทุกๆ ครั้ง
ทั้งการเรียงร้อยถ้อยคำจากพระธรรมที่มีค่าประเสริฐสุด
และรูปภาพบรรยากาศที่งดงามด้วยการเจริญกุศลที่น่าประทับใจยิ่ง
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ.
แม้ภาพที่งดงามของสถานที่ และทุกท่านในภาพเหล่านั้น งดงามมากๆ แล้ว
พระธรรมที่ไพเราะในความเป็นจริง
ก็งดงามที่สุดค่ะ
กราบแทบเท้าท่านอ.สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
ไพเราะมากๆ ครับ บทความเยี่ยมยอดจริงๆ ครับ
ผมติดตามตลอดเลย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เมื่อใดที่ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรอง จนเป็นความเข้าใจของตนเอง
ด้วยความมั่นคงในแต่ละคำ... คำนั้นย่อมไม่เปลี่ยน
ความเข้าใจนั้นเองก็จะนำไปสู่ความเข้าใจท่ีเพิ่มขึ้นๆ ๆ ....
...วาจาสัจจะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่ีเคารพอย่างยิ่ง
กราบขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณอมรา พวงชมภู
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
ท่ีถ่ายทอดทั้งภาพท่ีงดงามและเนื้อหาสาระธรรมเพื่อผู้อ่านได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณคุณวันชัยที่กรุณาจัดทำและเผยแพร่ค่ะ คำที่คุณชลิตสนทนาเอื้อเฟื้อให้ได้รับ
ความเข้าใจในธรรมอย่างมากค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน สาธุ สาธุ สาธุ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาณ.โอกาสนี้
และอนุโมทนา สาธุกับทุกๆ ท่านที่ร่วมกุศลในครั้งนี้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย
และทุกท่านครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโมทนาในกุศลวิริยะและขอบคุณอย่างมากในการถ่ายทอดภาพและข้อความ
ของคุณวันชัยนะคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
นับเป็นกุศลที่ได้กระทำมาแต่ปางก่อนในแสนโกฏิกัปป์ ท่านอาจารย์ได้ให้ความกรุณาสนทนา
ด้วย แม้ชั่วขณะ พระธรรมะยากและลึกซึ้ง แต่ท่านอาจารย์สุจินต์ก็ยังสนทนากับผู้ที่ยังห่างไกล
จากการรู้แจ้งอริยสัจจะ แม้มีแค่ศรัทธาที่จะฟัง แล้วพิจารณา ด้วยสัจจะและความมั่นคง ใน
พระธรรม จะไม่ขอขาดการฟังตลอดไป กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
"...เพราะ ถ้าไม่ใช่ปกติ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริง เพราะ "ความเป็นเรา" ลึกมาก และ "โลภะ" ก็เป็น "มายา" อย่างยิ่ง "ลวง" อย่างยิ่ง ให้คิดว่า นี่ถูก!!! นี่ใช่!!! แต่ความจริง "เป็นเรา" เพราะไม่ได้รู้ความจริง ทีละเล็ก ทีละน้อย..."
เมื่ออ่านอีกครั้ง...อีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านไป... ก็เข้าใจมากขึ้นๆ ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ