กลัวตาย หรือว่าจะกลัวกรรมกิเลสของตนเอง
โดย เมตตา  3 ส.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 13057

เวลาเกิด ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น ก็เพราะเหตุปัจจัย

เวลาตาย ก็ตายเพราะเหตุปัจจัย

ขณะเกิด ขณะเห็น ขณะตาย ... เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต..ต้องเกิดขึ้นแน่ หนีไม่พ้น

กรรม ... กิเลส ... ของตนเอง ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้ผล

เชิญร่วมสนทนาค่ะ ... กลัวตาย หรือว่าจะกลัวกรรมกิเลสของตนเอง



ความคิดเห็น 1    โดย suwit02  วันที่ 3 ส.ค. 2552

จากการศึกษา ผมทราบว่าถึง จะกลัวตายอย่างไร และจะทำอย่างไร ก็ไม่มีทางพ้นจากความตาย (นอกจากจะไม่เกิดอีก) แต่ว่าผมก็ยังกลัวตายมาก แถมยังกลัวว่าจะไม่ได้เกิด ซ้ำเข้าไปอีก เป็นอันว่า ผมปรารถนาในเหตุ คือความเกิด แต่เกลียดกลัวผล คือความตาย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอฟังความเห็นของท่านทั้งหลาย ด้วยคนครับ เนื่องจากคำว่า " กรรมกิเลส " มีความหมายทั้งอย่างหยาบและอย่างละเอียด เพื่อความสะดวกของท่านทั้งหลาย ผมขอแสดงข้อมูลของคำว่า " กรรมกิเลส " ดังต่อไปนี้

[เล่มที่ 16] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 79

สิงคาลกสูตร

[๑๗๕] ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาทและการคบหาภรรยาผู้อื่น เรากล่าวว่าเป็น กรรมกิเลส บัณฑิตทั้งหลายไม่สรรเสริญ

[เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 108

เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส พระขีณาสพทั้งหลาย ย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะมานะทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นจาก กรรมกิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดบ่อยๆ บรรลุถึงภูมิที่ฝึกแล้ว (อรหัตตผล) พระขีณาสพเหล่านั้น เป็นผู้มีความชนะในโลกอินทรีย์ทั้งหลาย.

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 3 ส.ค. 2552

ตอบจากใจจริงเลยนะคะ ...

ที่กลัวตาย ... เพราะไม่แน่ใจว่าจะไปเกิดที่ไหนซิค่ะ ถ้าได้ไปเกิดในสุคติภูมิ ... ก็ไม่กลัวตายหรอกค่ะ ... ชอบ โดยเฉพาะเทวโลก แต่ถ้าได้ไปเกิดในอบายภูมิ ... แค่คิดก็สะดุ้งแล้วล่ะค่ะ ปุถุชนยังมีคติไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นจึงเลี่ยงที่จะกระทำกรรมอันเป็นเหตุให้ไปสู่อบาย

ส่วนนิพพานยังอีกไกล ... ไม่กล้าคิดค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย Sam  วันที่ 3 ส.ค. 2552

ไม่รู้กลัวตายจริงหรือเปล่า เพราะความตายเป็นจิตเพียงขณะเดียวที่เกิดแล้วดับไป ทันที เร็วยิ่งกว่ากระพริบตาเสียอีกครับ

แต่ที่กลัวแน่ๆ คือก่อนจะตายอาจจะเจ็บปวดทรมานมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือ หลังจากตายแล้วไม่รู้จะไปเกิดที่ไหน หากเป็นทุคติภูมิก็ต้องแย่แน่ๆ หรือแม้จะได้ไป เกิดในสุคติภูมิ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมอีกหรือเปล่า

คิดไปคิดมา ก็นึกขึ้นได้ว่า ไม่ควรเศร้าโศกถึงอดีตที่ล่วงไปแล้ว และไม่ควรกังวล ถึงอนาคตที่ยังไม่มาถึง ถ้าอย่างนั้น พิจารณากรรมและกิเลสที่มีอยู่เต็มในขณะนี้ น่าจะเป็นประโยชน์กว่าครับ


ความคิดเห็น 4    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 3 ส.ค. 2552

เหตุหนึ่งที่ผมกลัวตาย คือ กลัวทุกขเวทนา ครับ

เนื่องจากสภาพใกล้ตายนั้น เป็นสภาพที่ไม่น่าพึงปราถนา ส่วนจะเกิดเป็นอะไรต่อไปกลัวน้อยกว่าตอนจะตายครับ ไม่ทราบว่า ความกลัวลักษณะนี้ เกิดจากการปรุงแต่งและเห็นผิดเรื่องใดครับ


ความคิดเห็น 5    โดย orawan.c  วันที่ 3 ส.ค. 2552

ทุกคนต้องตายแน่ๆ

จึงอยู่ที่ว่าเตรียมพร้อมที่จะตายหรือยัง ถ้าละอกุศลกรรม เจริญกุศลกรรมบ่อยๆ เนืองๆ ตามกำลังของปัญญา และไม่ละเลยที่จะอบรมปัญญาด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ตามความเข้าใจ จึงชื่อว่าไม่ประมาท และเตรียมพร้อมที่จะตาย เพราะตายแล้วต้องเกิดแน่ๆ ซึ่งจะเกิดในสุคติภูมิหรือทุคติภูมิ ย่อมแล้วแต่กรรมแน่นอน


ความคิดเห็น 6    โดย pornpaon  วันที่ 3 ส.ค. 2552

กลัวหรือไม่กลัว ... ทุกคนที่เกิด ต้องตาย ดิฉันก็กลัวทุกขเวทนาทางกายที่ทรมานต่างๆ ก่อนจุติจิตเกิด และหวั่นไหวกับความจริงที่ว่า อบายทุคติเป็นที่ไปถึงได้ง่ายของปุถุชน ตอนนี้ ... ขณะนี้ ...

หากถามว่า ควรกลัวตาย หรือว่าควรกลัวกรรมกิเลสของตนกันแน่ ดิฉันคิดว่า ที่ควรกลัวและระวังไว้เท่าที่ปัญญาน้อยนิดที่มี จะพึงระลึกระวังได้ คือ ควรกลัวกรรมกิเลสของตนเองไว้เสมอ อย่าประมาท

เพราะดิฉัน ยังไม่พร้อมที่จะตาย (ซึ่งคงเป็นการหลงลืมสติ ทำกาล) จริงๆ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 3 ส.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละบุคคลที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกพ้นได้ขึ้นอยู่กับว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา หรือ ญาติพี่น้องเป็นต้น ย่อมสามารถเป็นที่พึ่ง สามารถช่วยเหลือทำกิจต่างๆ ให้แก่เราได้ แต่พอถึงเวลาตายมาถึง บุคคลเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะช่วยต้านทานไว้ได้เลย ดังนั้น ในเมื่อทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไร? เรื่องตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเป็นเพียงจิตขณะเดียว ที่เกิดขึ้นทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะนี้จิตที่ว่านั้น (จุติจิต) ยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครทราบได้ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ จึงเป็นขณะที่สำคัญ ดังนั้น การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมกุศลในชีวิตประจำวัน ตามกำลัง ย่อมเป็นสิ่งที่สมควร ครับ ..

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


ความคิดเห็น 8    โดย arin  วันที่ 4 ส.ค. 2552

จากการได้ฟังเทปท่านอาจารย์ ได้สนทนากับคุณพี่ท่านหนึ่ง มีใจความพอสรุปได้ว่าการที่เราได้มาเป็นบุคคล ในชาตินี้ แสดงว่าชาติก่อนนั้น ก่อนตาย ต้องมีกุศลเป็นเหตุ นำมา ให้มาเกิด เป็นแน่แท้ และยังได้มาฟังธรรมอีก

น่าดีใจนะ ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย suwit02  วันที่ 4 ส.ค. 2552

สาธุ


ความคิดเห็น 10    โดย เมตตา  วันที่ 4 ส.ค. 2552

เหตุต้องสมควรแก่ผลแน่นอนค่ะ กุศลกรรมใด กรรมหนึ่งในอดีตเป็นเหตุให้ ได้มาเป็นบุคคลในชาตินี้ และยังได้มาฟังพระธรรมอีก การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ยาก การได้มาฟังพระสัทธรรมยิ่งยากกว่า จึงไม่ควรประมาทที่จะฟัง- พระธรรม อบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมที่ลึกซึ้ง ...

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย ประสาน  วันที่ 5 ส.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย opanayigo  วันที่ 5 ส.ค. 2552

ขออนุญาตสนทนา ธรรมในชีวิตประจำวันแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต

ไม่ต้องถึงกับกลัวตายค่ะ อันที่จริงกลัวการสูญเสีย พลัดพราก จากความเป็น ตัวตน มากกว่า (มานะ+อวิชชา) ยิ่งกว่าเวทนา ก็เป็นไปตาม กรรม กิเลส วิบาก เรายังหวง ห่วง เยื่อใย ผูกพัน ไม่ว่าเป็นคน สัตว์ สิ่งของ โดยเฉพาะ ตัวฉันเอง

หากขาดพันธการ ครอบครัว เพื่อน ทรัพย์ศฤคาร ฯลฯ ต่างๆ ในชีวิต จากมีสู่ความไม่มี ไม่สำคัญ อีกต่อไป เป็นธรรมดา (แท้ๆ )

พร้อมไหมค่ะ ... หากต้องตายก่อนตาย เพราะเราไม่อยากเสียความเป็น ตัวตน ไป กล้าไหมค่ะที่จะไม่มีเรา??

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย suwit02  วันที่ 6 ส.ค. 2552

อ้างอิงความเห็นที่ 12

อันที่จริงกลัวการสูญเสีย พลัดพราก จากความเป็น ตัวตน มากกว่า

ใช่ครับ

กล้าไหมค่ะที่จะไม่มีเรา??

ไม่กล้าครับ


ความคิดเห็น 14    โดย โชคดี  วันที่ 7 ส.ค. 2552

อยากบอกว่าไม่กลัวตายเลยค่ะ แต่สิ่งที่กลัวมากกว่าในขณะนี้ก็คือ กลัวมีเวลาไม่พอที่จะฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์มากกว่าค่ะ


ความคิดเห็น 15    โดย พุทธรักษา  วันที่ 7 ส.ค. 2552

ท่านอาจารย์เคยสอนว่า ...

การเกิด นั้นแหละ ที่นำมาซึ่ง การเจ็บ การป่วย การแก่และความเดือดร้อนใจต่างๆ ที่เกิดจากการพลัดพราก ประสบกับความสุข ความทุกข์ ต่างๆ ถ้าไม่มีการเกิด ก็ไม่ต้องกลัวตาย.?

เมื่อพิจารณาแล้ว ... ทำให้นึกถึง "สุพรหมสูตร" ในพระไตรปิฎก

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๕๕

๗. สุพรหมสูตร

[๒๖๙] สุพรหมเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาด เสียวอยู่เป็นนิตย์ ทั้งเมื่อกิจไม่เกิดขึ้น ทั้ง เกิดขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าความไม่สะดุ้งกลัวมี อยู่ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว โปรดตรัส บอกความไม่สะดุ้งนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.

[๒๖๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เรายังมองไม่เห็นความสวัสดีแห่ง สัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญาและความ เพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอก จากความสละวางทุกสิ่งทุกอย่าง.
สุพรหมเทวบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ฯลฯ ก็อันตรธานไปในที่นั้นเอง.

โดยส่วนตัว คิดว่าถ้าจะกลัว ก็ควรกลัวที่ต้นเหตุ คือ การเกิดซึ่งปกติแล้วเรามักจะเห็นว่า การเกิดนั้นดีเช่นมีเด็กเกิดมา ก็ดีใจที่ได้ลูกได้หลาน ฯลฯ แต่ ในที่สุด ก็ต้องตายทุกคน ... เมื่อมีเหตุ-ปัจจัยจะเร็วหรือช้าเท่านั้น.


ความคิดเห็น 16    โดย วิริยะ  วันที่ 8 ส.ค. 2552

ดิฉันคิดว่า มนุษย์กลัวตายด้วยกันทุกคนด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แต่ว่า มนุษย์อาจจะไม่เคยแม้แต่ถามตนเองว่า ทำไมจึงกลัวตาย

หลังจากศึกษาพระธรรมแล้วจึงจะได้คำตอบที่เป็นความจริงที่มาจาส่วนลึกของจิตใจถึงเหตุผลของความกลัวตาย และหลังจากนั้น เราอาจจะพูดถึงความตายด้วยความรู้สึกที่เบาขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็มิใช่ว่าจะหายกลัว เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาพระธรรมต่อไป อาจจะ จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตก็ได้

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย suwit02  วันที่ 8 ส.ค. 2552

ที่นี่น่ารื่นรมย์


ความคิดเห็น 18    โดย โชคดี  วันที่ 8 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 19    โดย saifon.p  วันที่ 8 ส.ค. 2552

สิ่งที่กลัวมากกว่าในขณะนี้ก็คือ กลัวมีเวลาไม่พอที่จะฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์มากกว่าค่ะ

... กลัวก็เป็นธรรม ... ขออนุโมทนาค่ะ