สมาทานศีล-รับศีล-ถือศีล-รักษาศีล-ทรงศีล
โดย ใหญ่ราชบุรี  24 ก.ค. 2558
หัวข้อหมายเลข 26817

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียนขอคำจำกัดความของแต่ละคำข้างต้นและหากจะจำแนกเป็นสภาพธรรมด้วยก็จะเป็นความละเอียดยิ่งขึ้น เช่น ศีล เป็น สภาพธรรมมีองค์ประกอบใดบ้าง

ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้คำอธิบายค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 24 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ศีล ที่ปรากฏในคำสอนทางพระพุทธศาสนามีหลากหลายนัย มีคำแปลหลายความหมาย หมายถึง การรวบรวมกาย วาจา จากที่เคยเป็นไปกับด้วยอกุศล ก็เป็นไปกับด้วยกุศลมากยิ่งขึ้น เป็นความประพฤติเรียบร้อยดีงาม หมายถึง เป็นที่รองรับกุศลธรรมทั้งหลาย นอกจากนั้นยังมีความหมายหลายอย่าง คือ ปกติ เกษม สำรวม ซึ่งโดยมากเรามักเข้าใจว่า ศีล คือ การกระทำทางกาย วาจา เป็นการวิรัติงดเว้นที่จะไม่กระทำบาป ทางกาย วาจาเท่านั้น เช่น งดเว้นจากการฆ่าสัตว์งดเว้นจากการลักทรัพย์ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ซึ่งเป็นศีล ๕ แต่ในความเป็นจริง ศีล มีหลากหลายนัย ขึ้นอยู่กับว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงศีล โดยนัยใด จึงสำคัญอยู่ที่ผู้ศึกษาจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และประการที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ศีล เป็นธรรม

นัยหนึ่งที่ทรงแสดงเรื่องศีล จำแนกศีล ออกเป็น ๔ อย่าง คือ

๑. เจตนา เป็น ศีล

๒. เจตสิก เป็น ศีล

๓. ความสำรวม สังวร เป็นศีล

๔. การไม่ก้าวล่วงเป็นศีล

ซึ่งมีคำอธิบายโดยสังเขป ดังนี้

เจตนา เป็นศีล หมายถึง เจตนาที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ เป็นต้น ขณะที่มีความจงใจตั้งใจที่งดเว้นในสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น ก็เป็นศีล เป็นธรรมที่มีจริง

เจตสิกเป็นศีล คือ การงดเว้นจากความโลภ คือไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่นมาเป็นของตน ที่เป็นอนภิชฌา งดเว้นจากการพยาบาท คือ ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น ที่เป็น อพยาปาทะ และ มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ชื่อว่า เจตสิกเป็น ศีล เป็นธรรมที่มีจริง

การไม่ก้าวล่วงเป็นศีล คือ มีเจตนาสมาทานศีล ซึ่งเป็นการถือเอาด้วยดีเป็นข้อปฏิบัติที่จะรักษา โดยไม่ล่วงละเมิด ในสิ่งที่ตนเองได้ตั้งใจเอาไว้ เพื่อความเป็นผู้มีความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจาที่ดีงาม อย่างนี้ เรียกว่า การไม่ก้าวล่วง เป็นศีล

ความสำรวม หรือ การสังวร เป็นศีล ความสำรวม หรือ การสังวรในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงอาการกิริยาภายนอกที่ทำการสำรวม แต่มุ่งหมายถึงสภาพจิตเป็นสำคัญ กล่าวคือ สภาพจิตที่เป็นกุศล อันเป็นการปิดกั้นไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ในขณะที่กุศลเกิดขึ้น การสำรวม หรือ สังวรนั้นมี ๕ ประการ คือ

-ปาฏิโมกขสังวร คือ การประพฤติงดเว้นในข้อบัญญัติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสห้ามไว้และน้อมประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาต เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง ก็เป็น ศีล

-สติสังวร คือ การสำรวมด้วยสติ ในขณะที่มีสติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และใจชื่อว่า สติสังวร ก็เป็นศีล

-ญาณสังวร คือ การสำรวมด้วยปัญญา ในขณะที่ปัญญาเกิด ละกิเลส ชื่อว่า สังวรด้วยปัญญา และหมายรวมถึงการพิจารณาปัจจัยที่ได้มา มีอาหาร เป็นต้น ก่อนแล้วจึงบริโภคใช้สอย ว่า ไม่ใช่เพื่อความเพลิดเพลินมัวเมา แต่เพื่ออุปการะเกื้อกูลให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้เพื่อศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป การพิจารณาด้วยปัญญาแล้วจึงบริโภค ก็ชื่อว่า ญาณสังวร เป็นศีลในขณะนั้น คือ ปัจจยสันนิสสิตศีล

-ขันติสังวร คือ การสำรวมด้วยขันติ ความเป็นผู้อดทนต่อหนาวและร้อน อดทนที่จะไม่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส มีโลภะ โทสะ เป็นต้นชื่อว่า สำรวมด้วยขันติ ก็เป็นศีล

-วิริยสังวร คือ สังวรด้วยความเพียร เป็นการปรารภความเพียรเพื่อไม่ให้อกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น เพื่อละอกุศลที่เกิดแล้ว เพื่อเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ชื่อว่าสำรวมด้วยวิริยะ ก็เป็นศีล ด้วย

ศีล มีหลากหลายนัย คือ ทั้งเจตนางดเว้นจากบาปก็เป็นศีล และไม่ใช่เพียงงดเว้นจากบาป ที่เป็นวิรตีเจตสิกเท่านั้น ขณะที่เจตนาที่จะประพฤติสมาทานศีล อันเป็นการไม่ก้าวล่วงตามที่ตั้งใจไว้ ก็เป็นศีล และแม้ไม่มีการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ไม่มีวิรตีเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น แต่มีการสำรวม สังวรก็ชื่อว่า ศีล ที่เป็นสติสังวร เป็นต้น ด้วย

อีกนัยหนึ่งที่ทรงแสดงศีล ๒ อย่าง ที่เป็น วาริตศีล และ จาริตตศีล ดังนี้ คือ วาริตศีลเป็นการงดเว้นในสิ่งที่ควรงดเว้น เช่น งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการลักทรัพย์ เป็นต้น นอกจากจะเว้นในสิ่งที่ควรงดเว้นแล้ว ก็ยังจะต้องน้อมประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามด้วย เช่น เลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน ช่วยเหลื่อผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งเป็นจาริตศีล

และอีกนัยหนึ่งที่ทรงแสดงศีล โดยนัยที่เป็นปกติ กล่าวคือ ทรงแสดงตามความประพฤติเป็นไปของสัตว์โลก ว่า ไม่พ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ คือ ปกติเป็นอกุศล ก็เป็นอกุศลศีล ปกติเป็นกุศล ก็เป็นกุศลศีล และ ปกติเป็นอัพยากตะ (สำหรับพระอรหันต์) ก็เป็นอัพยากตศีล

ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ สมณมุณฑิกสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงความแตกต่างระหว่าง อกุศลศีล กับ กุศลศีล ไว้ว่า กายกรรมเป็นอกุศล วจีกรรม เป็นอกุศล การเลี้ยงชีพชั่ว เหล่านี้เรากล่าวว่าศีลเป็นอกุศล ก็ศีลที่เป็นอกุศลเหล่านี้มีอะไรเป็นสมุฏฐาน แม้สมุฏฐานแห่งศีลเป็นอกุศลเหล่านั้น เรากล่าวแล้ว ก็ต้องกล่าวว่า มีจิตเป็นสมุฏฐาน จิตเป็นไฉน ถึงจิตเล่าก็มีมาก หลายอย่าง มีประการต่างๆ จิตใดมีราคะ โทสะ โมหะ ศีลเป็นอกุศล มีจิตนี้เป็นสมุฏฐาน

เราย่อมกล่าวซึ่งกายกรรมเป็นกุศล วจีกรรมเป็นกุศล และอาชีวะอันบริสุทธิ์ ลงในศีล เหล่านี้เรากล่าวว่าศีลเป็นกุศล ก็ศีลเป็นกุศลเหล่านี้มีอะไรเป็นสมุฏฐาน แม้สมุฏฐานแห่งศีลเป็นกุศลเหล่านั้น เรากล่าวแล้ว ก็ต้องกล่าวว่า มีจิตเป็นสมุฏฐาน จิตเป็นไฉน แม้จิตเล่าก็มีมาก หลายอย่าง มีประการต่างๆ จิตใดปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ศีลเป็นกุศล มีจิตนี้เป็นสมุฏฐาน

นี้คือ ความประพฤติเป็นไปของสัตว์โลก ที่ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ก็ยังไม่พ้นไปจากความประพฤติเป็นไปที่เป็นอกุศล บ้าง เป็นกุศล บ้าง ตามการสะสม เพราะเหตุว่าการที่จะดับอกุศลได้นั้น ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น พระอริยบุคคล เป็นผู้ดับอกุศล (ดับอกุศลศีล) ได้ตามลำดับขั้น จนกว่าจะดับได้อย่างหมดสิ้น เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงกล่าวได้ว่า พระอรหันต์ ดับได้ทั้งอกุศลศีล และ ไม่มีกุศลศีลเกิดขึ้นเป็นไป มีแต่อัพยากตศีล เท่านั้น

ศีล จึงหลากหลายนัยมาก ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ก็เพื่ออุปการะเกื้อกูลให้ได้เข้าใจธรรม เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ไม่ให้เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะความจริง เป็นอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
พระบารมีทั้งหมดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมา ก็เพื่อที่จะได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงพระธรรมอุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ให้ได้เข้าใจตามด้วย จึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาในสิ่งที่มีจริง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไปตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล

สมาทาน หมายถึง การถือเอาด้วยดี การถือเอาเป็นข้อปฏิบัติด้วยดี โดยไม่จำเป็นต้องมีการกล่าวเป็นข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องของเจตนาในการที่จะงดเว้นจากสิ่งที่ควรงดเว้น ซึ่งสิ่งที่ควรงดเว้นเป็นนิตย์ ในชีวิตประจำวันมี ๕ ประการ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จ และเว้นจากการดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่พ้นไปจากความประพฤติเป็นไปทางกาย วาจา ของแต่ละบุคคลเลย ครับ

ซึ่งการรักษาศีลจุดประสงค์ คือ เห็นโทษของกิเลส และ เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่อที่จะได้อานิสงส์ของศีล และ ศีลก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อสมาทานแล้ว จะมีศีลตลอดเวลา ขณะที่เป็นศีล คือ ขณะจิตที่สมาทาน รักษา และ ขณะที่งดเว้นจากบาป ในขณะนั้น ยกตัวอย่างเช่น ขณะใดที่มีเจตนารักษาศีล ขณะจิตนั้น ก็เป็นศีล และขณะจิตต่อไป ก็เป็นอกุศลจิตแล้ว จะกล่าวว่า เป็น กุศลศีลอีกไม่ได้ แล้วครับ จึงต้องพิจารณาทีละขณะจิต และ ขณะที่งดเว้นจากการตบยุง ในขณะนั้น ก็เป็นกุศลศีลที่งดเว้นจากบาป ครับ จะเห็นนะครับว่า ขณะที่เป็นศีล ก็ต้องเป็นขณะจิตนั้นไม่ได้เหมารวมทั้งหมด ว่า ไม่ทำอะไร จะมีศีล เพราะ ไม่เช่นนั้น เด็กอ่อน ทีเพิ่งเกิดไม่ทำอะไร ก็มีศีล หรือ สมาทานเพียงครั้งเดียว ไม่ทำอะไรเลย จะมีศีลไปตลอดไม่ใช่เช่นนั้นครับ เพราะ หลังจากสมาทานศีลแล้ว จิตขณะต่อไปก็เป็นอกุศล โกรธคนอื่น ตอนนึกในใจก็ได้ จะกล่าวว่า เป็นผู้ที่ศีล ที่เป็นกุศลศีลได้อย่างไร ครับ และแม้ขณะที่หลับสนิท เป็นภวังคจิต เป็นจิตชาติวิบาก ไม่ใช่จิตชาติกุศล ก็ไม่ได้มีกุศลศีลในขณะนั้น ครับ

เพราะฉะนั้น การรักษาศีลเพื่อขัดเกลากิเลสทางกาย วาจา เพื่อประโยชน์กับคนรอบข้าง ไม่ใช่เพื่อตนเอง จะได้ไม่ล่วงศีล ได้อานิสงส์ผลบุญจึงควรรักษาทุกกาล โอกาส โดยเฉพาะการสมาทาน รักษา ตั้งแต่เช้าในชีวิตประจำวัน ส่วนจะรักษาได้ ไม่ได้ก็ตามเหตุปัจจัย ตามอำนาจของกิเลส ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 24 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรื่องของศีลก็เป็นเรื่องปกติประจำวัน แต่ว่าต้องเป็นเรื่องละเอียดขึ้นกว่าเรื่องของทาน เพราะเหตุว่าเรื่องของทานนั้นเป็นเรื่องการสละวัตถุ ซึ่งมีเป็นครั้งคราว แต่เรื่องของกายวาจามีประจำทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นผู้ใคร่ที่จะละกิเลส ก็จะต้องเพิ่มการที่จะสำเหนียก สังเกต ระลึกรู้ว่า กายอย่างใดควร อย่างใดไม่ควร วาจาอย่างใดควร วาจาอย่างใดไม่ควร จึงสามารถจะอบรมขัดเกลาเพื่อที่จะให้สติสามารถระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมและนามธรรม และปัญญาสามารถที่จะแทงตลอดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นได้

และสำหรับเรื่องของการฟังธรรม ไม่ว่าจะเป็นธรรมเรื่องใดทั้งสิ้น ล้วนเป็นไปเพื่อความรู้ เพื่อความขัดเกลา เพื่อการละกิเลส ซึ่งผู้ฟังผู้ศึกษาก็จะต้องอาศัยความอดทนอย่างยิ่งในการที่รับฟังไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้เข้าใจในเหตุผลชัดขึ้น เพื่อจะให้ปัญญาที่เกิดจากการฟังเกื้อกูลในการที่สามารถจะปฏิบัติตามธรรมที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเหตุว่าถ้าจะสำรวจศีลของตนเอง ไม่ใช่เพียงฟัง แต่ว่าเริ่มที่จะสำรวจศีล คือ ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ยังมีบกพร่องอยู่บ้างหรือไม่ หรือว่าสมบูรณ์พร้อม แม้ศีล ๕ คงจะไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าแม้ศีล ๕ ของตน สมบูรณ์ไม่บกพร่องเลย เพราะเหตุว่าผู้ที่จะสมบูรณ์ในศีล ๕ ได้ คือ พระอริยบุคคลที่เป็นพระโสดาบัน

เพราะฉะนั้น เรื่องของการฟังธรรม แม้ในเรื่องของศีล ก็ไม่ใช่เพียงฟัง แต่เมื่อเริ่มฟังเรื่องของศีล แล้ว สำรวจ ศึกษาศีลของตนเอง เพื่อการปฏิบัติตามพระธรรม เพราะเหตุว่าในเมื่อเป็นผู้ที่ต้องการจะดับกิเลส แต่การกระทำทางกาย ทางวาจา ยังเป็นทุจริตอยู่ แล้ววันไหนจะถึงความสมบูรณ์ที่จะเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันได้ จึงไม่ควรที่จะประมาท แต่ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาและน้อมประพฤติตามพระธรรม รวมถึงในเรื่องศีลด้วยซึ่งไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลเลย เป็นความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจาที่ดีงาม เป็นการรักษากาย วาจาให้เป็นปกติเรียบร้อย ซึ่งมาจากจิตใจที่ดีงาม นั่นเอง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย tanrat  วันที่ 25 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย peem  วันที่ 25 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 22 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย Jarunee.A  วันที่ 24 ก.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ