ผู้ใหญ่มักจะสอนเสมอว่า เกิดมาชาตินี้แล้วต้องรีบสร้างบุญบารมี เพราะเราตายไปแล้วเราใครก็ช่วยเราไม่ได้ ฉะนั้นให้ขวนขวายทำบุญ สร้างแต่ความดี ใครทำมากก็ได้มาก ใครทำน้อยก็ได้น้อย ฉะนั้นให้ขวนขวายทำบุญให้มากๆ ในแต่ละวัน ชาติหน้าจะได้มีบารมีสะสมเอาไปนิพพาน ตอนนั้นผมยังไม่เคยฟังธรรมะ ก็เลยเชื่อตามๆ ผู้ใหญ่ ทุกวันก็หาโอกาสที่จะทำบุญเพื่อหวังบารมีเอาติดตัวไปชาติหน้า แต่พอได้มาฟังธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านก็สอนให้เราเข้าใจพระธรรมแต่ละคำ ไม่ให้เราไปทำอะไรด้วยความไม่รู้หรือด้วยความเป็นตัวตนซึ่งก็เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย พอได้ฟังไปสักระยะหนึ่ง ผมก็เอะใจขึ้นมาว่า คำสอนที่สอนให้เราไปขวนขวายทำบุญเอามากๆ นั้น มันจะถูกไหมหนอในเมื่อธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กลัวจะกลายเป็นทำบุญด้วยความโลภไปเสียอีก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำว่า บุญ กุศล อกุศล ความไม่ดีเพราะ การสะสมความเป็นเรา เป็นตัวตนมานาน ก็คิดว่าทำได้ คิดจะทำดี ทำบุญ จะละชั่ว ละสิ่งไม่ดี จึงมีคำกล่าวว่า ควรทำความดี ละความชั่ว คำนี้ ใครก็กล่าวได้ ทำดี ละชั่ว แต่เข้าใจดี เข้าใจชั่วหรือไม่ ว่าคืออะไร ครับ นั่นคือเป็นธรรม ไม่ใช่เราและเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้เลย เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น หากอ่านพระสูตรไม่ดี พึงขวนขวายในการทำความดี ก็คิดว่าควรทำ แล้วความดี เกิดตามที่จะขวยขวายหรือไม่ แม้ขณะต่อไป สภาพธรรมอะไรจะเกิด ก็ไม่สามารถรู้ได้เลย แต่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมตามสัจจะ ว่าสิ่งที่ควรทำ คือ ความดี และความดีก็ต้องเป็นสิ่งที่ดี เปลี่ยนลักษณะไม่ได้ แต่ ไม่ลืม พระอภิธรรมที่ประกอบกันทั้งสามปิฎก คือ เป็นธรรมและอนัตตา ตามเหตุปัจจัย เมื่อ ความดีเกิด ก็ย่อมเกิดเอง ตามเหตุปัจจัย เมื่อความชั่ว อกุศลเกิด ก็เกิดเอง ตามเหตุปัจจัย เพราะ อาศัยความเข้าใจถูก เข้าใจถูก แม้คำนี้ก็ต้องเพิจารณาว่า เข้าใจถูกว่าอะไร คือ เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เราเป็นอนัตตา การเข้าใจถูกเบื้องต้นเช่นนี้ เมื่อมีกำลังมากขึ้น ปัญญา ความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น กุศลธรรมประการต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง ขณะนั้น ที่กุศลเกิด ก็มีวิริยเจตสิก ที่สมมติเรียกว่า ขวนขวาย ในการทำความดี ไม่มีตัวเราไปขวนขวาย มีแต่ธรรมทำหน้าที่ เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก คือ การฟังพระธรรมต่อไป เป็นไปเพื่อความไม่ใช่เรา ปัญญาที่เพิ่มขึ้น กุศลประการต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง แต่ทีละเล็กละน้อย ดั่งเช่น ปัญญาที่มีน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับอวิชชา แต่ ก็สามารถถึงการดับกิเลสได้ เมื่ออบรมปัญญาอย่างยาวนานนับชาติไม่ถ้วน ที่เรียกว่า จิรกาลภาวนา ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ความจริงนี้ ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความจริงเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่ละบุคคลก็มีความประพฤติเป็นไปตามเหตุปัจจัย ดี บ้าง ไม่บ้าง ซึ่งก็เป็นธรรมนั่นเองที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเหตุให้ความเข้าใจถูก เห็นถูก คือ ปัญญาเจริญขึ้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ก็จะเป็นเครื่องเกื้อกูลให้มีความประพฤติที่ดีงามยิ่งขึ้นทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ตามระดับขั้นของปัญญา สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป เพราะได้รู้คุณของความดี จึงมีการสะสมความดี เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ