ขอกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย
เราไม่รู้ว่ากรรมใดจะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในภพหน้า เราได้ทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมหนึ่งในชาตินี้หรือในชาติใดๆ ถ้าได้โอกาสก็สามารถทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในชาติหน้าได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม เพื่อให้เจริญกุศลนานาประการ กุศลกรรมแต่ละขณะมีค่ายิ่ง เพราะย่อมให้ผลไม่เร็วก็ช้า
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เป็นธรรมดาที่เมื่อยังเป็นปุถุชนก็ย่อมมีโอกาสทำกรรมไม่ดีบ้าง ทำกรรมดีบ้างตามเหตุปัจจัย ซึ่งเมื่อชีวิตได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ปัญญาย่อมเจริญขึ้น ย่อมเห็นตามความเป็นจริงว่า อกุศลควรละ กุศลทุกประการควรเจริญ แต่ก็ไม่ควรลืมความเป็นอนัตตาของธรรมว่า บังคับบัญชาไมได้ ที่จะให้กุศลเกิดหรืออกุศลเกิด แต่ธรรมอาศัยเหตุจึงเกิดขึ้น เมื่อมีความเห็นถูกมากขึ้น กุศลประการต่างๆ ก็เจริญตามความเห็นถูกอันเนื่องมาจากการศึกษาพระธรรม
ปุญฺญฺเจ ปุริโส กยิรา กยิราเถน ปุนปฺปุน ตมฺหิ ฉนฺท กยิราถ สุโข ปุญฺสฺส อุจฺจโย.
" ถ้าบุรุษพึงทำบุญไซร้, พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ พึงทำความพอใจในบุญนั้น, เพราะว่า ความสั่งสมบุญทำให้เกิดสุข. "
เมื่อได้อ่านพระพุทธพจน์ทำให้เห็นตามความเป็นจริงว่า เมื่อมีโอกาสเจริญกุศลไม่ควรคิดว่าทำแค่นี้พอแล้ว หากแต่ว่าควรทำกุศลนั้นบ่อยๆ (ตามเหตุปัจจัยที่เกิดจากความเห็นถูก) พึงทำความพอใจในบุญ คือ มีความเพียรที่จะเจริญกุศลมากขึ้น เพราะบุญย่อมนำสุขมาให้ในโลกนี้คือความปลื้มใจ เป็นต้น และนำความสุขมาให้ในโลกหน้าคือเกิดในสุคติภูมิ
ดังคำที่กล่าวว่า...
ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ
หากแต่ว่าความดีหรือกุศลธรรมนั้นมีหลายระดับ ศาสนาอื่นก็มีกุศลเกิดได้ แต่
พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา
ดังนั้น ความดีที่เป็นไปเพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ ย่อมเป็นหนทางการดับ
กิเลสเพราะรู้ความจริง รู้ว่าไม่ใช่เรา ละความยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนทำความดีเพราะเกิดจากความเห็นถูก ขณะที่อยากได้ความดีหรือต้องการอานิสงส์ก็เป็นเรา ไม่เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม กุศลควรเจริญอันเกิดความเห็นถูก เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ทำดีเท่าไรก็ไม่พอ หากไม่รู้ว่าเป็นธรรม
ขณะที่มีค่ายิ่ง คือ ขณะที่เป็นกุศล ขณะที่เข้าใจพระธรรม ความจริงของพระ
พุทธเจ้า ชื่อว่าขณะเวลาที่ประเสริฐที่สุด ยินดี อนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจ
พระธรรมและได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมในหนทางนี้ คือหนทางที่ละทั้งหมดและ
หนทางเพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ...ขณะเวลาเหล่านี้
อย่าได้ล่วงเลยท่านไปเลย ขออนุโมทนา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาตเล่ม๔หน้าที่ 453 ชนเหล่าใด เกิดในมนุษยโลกแล้ว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศ
สัทธรรม ไม่เข้าถึงขณะชนเหล่านั้น ชื่อว่าล่วงขณะ ชนเป็นอันมาก กล่าว
เวลาที่เสียไปว่า กระทำอันตรายแก่ตน พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้
ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตน
พอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะ
บุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปพากันยัดเยียดในนรก
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติ (ตาย) จากมนุษย์แล้วได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มีส่วนน้อย ส่วน สัตว์ที่จุติ (ตาย) จากมนุษย์แล้วไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ไปเกิดในปิตติวิสัย (เปรต) มีมากกว่าโดยแท้”
จึงเห็นได้ว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นของยากอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ก็ไม่ควรที่จะประมาท พึงเป็นผู้ตั้งตนไว้ชอบ ตั้งตนไว้ชอบแม้ในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อจุดประสงค์เดียว คือ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ หรือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพราะอีกไม่นานก็จะถึงชาติหน้า และก็ไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่าโอกาสในการที่จะได้เจริญกุศล โอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมในชาตินี้ จะเหลืออยู่อีกเท่าใด ดังนั้นในแต่ละวัน จึงควรที่จะเป็นโอกาสของการเจริญกุศล อบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ ศึกษาธรรมให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง สั่งสมความเข้าใจไป ทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว กิเลสก็จะลดน้อยลง ชีวิตก็จะมีค่ายิ่งขึ้น ครับ ...ขออนุโมทนาครับ...
อนุโมทนาในกุศลจิตของทั้ง 3 ท่าน และอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอื่นๆ ที่ได้อ่านกระทู้นี้ และแสดงความเห็นต่อจากนี้ (ถ้ามี) ครับ
พระโอวาทานุสาสนี
กาลย่อมล่วงไปราตรีย่อมผ่านไปชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไปผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้นพึงทำบุญอันนำสุขมาให้
ขออนุโมทนาค่ะ.
เป็นข้อธรรมเตือนใจที่ละเอียด ลึกซึ้ง มีประโยชน์เหลือหลาย.....
ขออนุโมทนากับทุกๆ ความคิดเห็นค่ะ
อนุโมทนาคะ
ขออนุโมโทนาทุกๆ ท่านค่ะ ฟังความคิดเห็นแต่ละท่านแล้วได้ข้อคิดว่าไม่ควรประมาท ควรที่จะดำเดินชีวิตอย่างมีค่ายิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง สะสมความเข้าใจทีละน้อย และอบรมเจริญกุศลทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบารมี ๑๐ ในชีวิตประจำวัน ท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่าการเจริญกุศลนั้นต้องเจริญทุกประการเพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้ปํญญาเกิดขึ้นดับกิเลสได้หมดสิันเป็นสมุจเฉท ขอยกตัวอย่างทานบารมีคือการให้ ให้เพื่อจะละโลภที่มีอยู่ภายในเพื่อขัดเกลากิเลส ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจึงจะเป็นบารมีได้ ดังนั้น การอบรมเจริญกุศลทุกประการไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ปัญญา ขันติ สัจจบารมี เป็นต้น จึงควรที่จะอบรมเจริญทุกๆ บารมีเพื่อค่อยๆ ขัดเกลากิเลสในแต่ละวัน จึงจะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างมีค่าจริงๆ ..
ยศถาบรรดาศักดิ์เหมือนความฝัน รูปโฉมประโนมพรรณเหมือนดอกไม้
ชีวิตเหมือนสายฟ้าแลบ แล้วเราจะมัวประมาทอยู่ทำไม ควรจะทำกุศล
ควรประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มีค่ะ
กรรม เป็นเรื่องละเอียดซับซ้อน
ขอเพียงเป็นผู้เข้าใจและมั่นคงในผลของกรรมจริงๆ
เราจะระมัดระวังและไม่ประมาทในอกุศลทั้งหลาย
อีกทั้งไม่ละเลยในกุศลทุกประการ แม้เพียงเล็กน้อยนิดหน่อย
เพราะไม่สามารถทราบได้จริงๆ ว่า กรรมใดจะให้ผลเมื่อใด ชาตินี้หรือชาติไหน
จึงตั้งใจศึกษาและฟังธรรมต่อไป ทั้งในขณะนี้ ขณะข้างหน้า
ชาตินี้ ชาติหน้า ตลอดไปทุกๆ ชาติ
จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง และเข้าใจในพระธรรม เป็นปัญญาของตนเองจริงๆ
ขออนุโมทนาคุณตุลา และทุกท่านค่ะ
..