พอดีว่าไปอ่านเจอข้อความนี้มาครับ ว่า อนัตตา ทำไมมีกรรม ไหนว่าอนัตตา คือไม่มีตัวตน แต่ทำไมมีกรรมมาจากการมีตัวตน ขอให้ท่านอาจารย์ อธิบายเพื่อความเข้าใจด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่ง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ด้วย อรรถว่าดังนี้ครับ
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 172
ชื่อว่า เป็น อนัตตา เพราะเหตุ ๔ เหล่านั้น คือ โดยความเป็นของสูญ ๑ โดยความไม่มีเจ้าของ ๑ โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ ๑ โดยปฏิเสธต่ออัตตา ๑
โดยความเป็นของสูญ คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลยสูญไปเลย แต่มีสภาพธรรม เพียงแต่สูญ คือ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนในสภาพธรรมนั้นเลย เพราะเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา สัตว์ บุคคล ครับ
โดยความไม่มีเจ้าของ คือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของสภาพธรรม ที่คิดว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัตินั้นก็ไม่รู้ว่ามีคนเป็นเจ้าของเพราะเป็นแต่เพียงรูป และทรัพย์สมบัติก็เสื่อมสลายไป ไม่มีใครที่เป็นเจ้าของได้จริงๆ ผู้ที่เป็นเจ้าของ ก็ต้องจากไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ เพราะเป็นแต่เพียงธรรมที่เป็นอนัตตา ครับ
โดยเป็นสิ่งที่ควรทำตามชอบใจไม่ได้ คือ ไม่สามารถให้ จิต เจตสิก รูปและสภาพธรรมเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ตามใจชอบไม่ได้เลย และไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ จะให้ยั่งยืนอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
โดยปฏิเสธต่ออัตตา คือ ปฏิเสธว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนอยู่ในสภาพธรรม ครับ นี่คือ อรรถ ๔ อย่างที่แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น อนัตตา จึงเป็นของสูญจากความเป็นเรา แต่ อนัตตา ไม่ได้หมายความว่าสูญไม่มีอะไร แต่มีธรรม ที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะฉะนั้น กรรม ก็ไม่ใช่ใคร แต่ เป็นสภาพธรรม ที่เรียกว่า เจตนาเจตสิก กรรม จึงเป็นธรรม เป็นอนัตตา คือ บังคับไม่ได้ และ ไม่ใช่เรา แต่ พระพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมอีกนัยหนึ่ง คือ สมมติโวหาร โดยสมมติให้ชาวโลกเข้าใจว่า ใครทำกรรม เช่น พระเทวทัตทำกรรม ไปตกในนรก เพื่อให้ชาวโลกรู้ว่า ใครเป็นคนทำ และ ใครได้รับกรรม เพื่อให้สัตว์โลกเกิด หิริ โอตตััปปะ ในการทำบาป ครับ แต่ ผู้มีปัญญาย่อมเข้าใจได้ว่า เป็นการแสดงโดยสมมติทางโลกให้เข้าใจตรงกันว่าหมายถึงใครทำกรรม แต่ แท้ที่จริงแล้วก็ไม่มีใคร มีแต่ธรรมทำหน้าที่ ก็เป็นอนัตตา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องเข้าใจก่อนว่า กรรม มีจริงๆ เป็นธรรม ว่าโดยสภาพธรรมแล้วคือเจตนาเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ ไม่มีเว้นเลย แต่กรรมที่จะเป็นเหตุในภายหน้าต้องสำเร็จเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมบถ เช่น ถ้าเป็นกุศลกรรม ก็อย่างเช่น ให้ทาน รักษาศีล การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นต้น แต่ถ้าเป็น ทางฝ่ายอกุศลกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ผู้อื่นเป็นต้น เมื่อเหตุมีแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้าได้ แต่ถ้าเป็นเพียงอกุศลจิตที่เกิดขึ้น เช่น ขุ่นเคืองใจ หรือ ติดข้องยินดีพอใจ โดยไม่ได้ล่วงออกมาเป็นอกุศลกรรมบถประการต่างๆ เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดผลคือวิบากในภายหน้า แต่ก็เป็นการสะสมสิ่งที่ไม่ดี เพราะถ้าสะสมมากขึ้น ก็อาจจะล่วงเป็นอกุศลกรรมบถได้ เพราะฉะนั้นจะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลย เมื่อกรรม เป็นธรรม จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และธรรม ทุกอย่าง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งสิ้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็จะทำให้เข้าใจว่า ที่กล่าวว่า คนนั้น คนนี้ทำกรรม ก็เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม คือ เจตนา ที่เป็นกุศล หรือ เจตนาที่เป็นกุศล นั่นเอง เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ครับ
... อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสอง และขออนุโมทนาด้วยครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ได้เข้าใจเพิ่มขึ้น
กราบ ขอบคุณ ครับ
ขออนุโมทนาครับ