จุดหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญบารมี เพื่อให้ถึงฝั่งนิพพาน
ที่เราเรียกว่า " ชีวิต " แท้จริงเป็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของนามธรรม คือ จิต
กับเจตสิก จิตกับเจตสิกชึ่งเราเรียกว่านามธรรม จะเกิดขึ้นโดยไม่มีที่อาศัยเกิดไม่
ได้ ที่เกิดของจิตกับเจตสิกก็คือรูปธรรม ชีวิตก็คือการเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยของ
นามธรรมกับรูปธรรม ชีวิตเป็นสุขก็เพราะเจริญเหตุที่ดีก็เป็นธรรมดาที่จะได้รับวิบากที่
เป็นสุข ถ้าเป็นความทุกข์ก็ในทำนองเดียวกัน เกิดมาแล้วมีทั้งสุขและทุกข์แล้วก็จาก
ไปด้วยการไม่รู้ความจริง เป็นอย่างนี้มามากมายนับชาติไม่ถ้วน ผู้ที่โชคดีเกิดมาแล้ว
ในยุคที่มีการอุบัติขึ้นของอนุตตริยบุคคลคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความ
จริงคือผู้ที่มีปัญญาหยั่งรู้ความเป็นจริงของทุกสิ่ง คือทุกสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในทุก
สากลจักรวาล ที่เราเรียกว่า " สัจธรรม " เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าความจริงทั้งหมด
ยุคนี้แม้พระพุทธองค์ได้ทรงปรินิพพานแล้ว แต่ยังเหลือคำสอนไว้ เพื่ออนุเคราะห์
บุคคลที่สะสมบุญมา มีชีวิตที่เป็นอุดมมงคล ไว้ได้ศึกษาและปฏิบัติตาม
ชีวิตแต่ละขณะ คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส การ-
คิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์ซึ่งก็ผ่านไป ไม่เคยรู้เลยว่าแต่ละขณะที่ผ่านไปนั้น ปรากฏ
แล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีก แต่ความยึดติดในสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส
คิดนึกทำให้เหมือนสิ่งนั้นๆ ไม่ดับไป หลงยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสุข เป็นทุกข์กับสิ่ง
นั้นๆ และก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ดังนั้น
การเจริญสติปัฏฐานจึงเป็นจุดหมายสูงสุดของการมีชีวิตอยู่
ความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป สภาพที่ไม่รู้อะไร หรือนาม สภาพรู้ ว่า
สภาพธรรมนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะไม่คงทน มีเกิดแล้วก็ต้องมีดับ และเป็น
อนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ที่ใครจะสามารถบังคับบัญชาให้เป็นตามความพอใจได้ การที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากมาก
เพราะลึกซึ้ง ต้องอาศัยการฟังธรรมให้มีความเข้าใจถูกในเรื่องของจิต เจตสิก รูป และ
การเจริญสติปัฏฐาน
อนุโมทนา
ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย แล้วความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่คืออะไร? ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ เพราะเคยเป็นคำถามของสามีดิฉันซึ่งเป็นชาวต่างชาติ
ตั้งแต่เค้ายังเด็กๆ อายุประมาณ ๖ ขวบ ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่นับถือศาสนา
คริสต์ที่เคร่งครัดมาก แต่ตัวเค้าเองไม่เคยพอใจในคำสอนศาสนาคริสต์เท่าไรนัก
แต่ก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไร เมื่อโตขึ้นเค้าจึงเริ่มแสวงหาศาสตร์อื่น เพื่อค้นหา
คำตอบที่มีเหตุและผลกว่านี้ จนอยู่มาวันหนึ่ง เค้าได้เดินทางมาที่เมืองไทยเมื่อ
๓๐ กว่าปีที่แล้ว และได้มาเจอพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์จากสมเด็จพระ-
ญาณสังวร (สมเด็จพระสังฆราชในปัจจุบัน) ที่วัดบวรฯ หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ นับจากบัดนั้นจนถึงบัดนี้ และเป็นผู้ที่ชักนำ
ให้ดิฉันซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆ ได้มาพบกับพระธรรมที่แท้จริงพอดิฉันอ่านเจอหัวข้อ
นี้เข้า ก็เลยถามเค้าไปว่า คุณคิดยังไงกับคำถามนี้? คำตอบจากเค้าก็คือการ
มีชีวิตอยู่ก็เพื่อเพียงเหตุผลเดียว คือ "เพื่อเข้าใจธรรม" เพราะการเข้าใจธรรม
คือ การเข้าใจในชีวิตของเราเอง ซึ่ง "ธรรม" ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบคือความ
จริงของชีวิตนี้ซึ่ง ละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เพราะเป็นไปในการ
ละทั้งหมด ต้องละแม้กระทั่งกุศล
อนุโมทนา
อนุโมทนา
โปรดชี้แนะด้วยคร๊าบ...
อนุโมทนาคือการตามชื่นชมยินดีด้วยเมื่อผู้อื่นทำกุศล
จิตที่ยินดีกับความดีของผู้อื่นเป็นปัตตานุโมทนามัย คือบุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาและขณะที่ตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพเป็นธัมมสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
อยากเรียนถามท่านผู้รู้ ถึง ความหมายคำว่า กัลยาณมิตร ในทางธรรม ค่ะ
ชีวิตคือการเดินทางที่ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างไม่มีสิ่งสุด แต่ชีวิตของคนเรานั้นมักจะไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต