ทุติยปาราชิกวรรณนา
โดย บ้านธัมมะ  9 มี.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 42732

[เล่มที่ 2] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒

พระวินัยปิฎก เล่ม ๑ ภาค ๒

มหาวิภังค์ ปฐมภาค

ทุติยปาราชิกวรรณนา

เรื่องพระธนิยะกุมภการบุตร 77

ภิกษุจําพรรษาไม่มีเสนาสนะปรับอาบัติทุกกฏ 78

ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้สร้างกุฏิด้วยดินล้วน 83

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งให้ทําลายฯ 83

ข้อแนะนําเรื่องการใช้ร่มและจีวร 85

วิธีซักและย้อมจีวร 86

บริขารที่ควรใช้และไม่ควรใช้ 86

กล่องยาตาที่ควรใช้และไม่ควรใช้ 88

ฝักกุญแจและบริขารเบ็ดเตล็ดที่ควรฯ 88

เสนาสนะที่ผิดควรทําลายเสีย 90

พระธนิยะเริ่มสร้างกุฏิไม้ 92

วัสสการพราหมณ์ลงโทษเจ้าพนักงานฯ 93

ประชาชนเพ่งโทษติเตียนเหล่าสมณฯ 95

ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท 96

พระพุทธเจ้าทุกองค์ปรับโทษถึงที่สุดเพียงบาทเดียว 98

เรื่องอนุบัญญัติทุติยปาราชิก 100

อรรถาธิบายบ้านที่มีกระท่อมหลังเดียว 100

อรรถาธิบายเขตอุปจารบ้านฯ 101

อรรถาธิบายกําหนดเขตป่า 104

อรรถาธิบายสิ่งของที่เจ้าของมีกรรมสิทธ์ิ 105

อรรถาธิบายสังขาตศัพท์ลงในอรรถตติยา 106

อรรถาธิบายบทมาติกา ๖ บท 106

อรรถาธิบายกิริยาแห่งการลัก ๖ อย่าง 107

สาหัตถิกปัญจกะมีอวหาร ๕ อย่าง 110

บุพประโยคปัญจกะมีอวหาร ๕ อย่าง 110

เถยยาวหารปัญจกะ ๕ อย่าง 111

อรรถาธิบายฐานะ ๕ ประการ 112

เรื่องภิกษุลักจีวรพระวินัยธรตัดสินฯ 112

พระวินัยควรสอดส่องราคาและการใช้สอย 115

อรรถาธิบาย ทรัพย์ที่ควรแก่ทุติยปาราชิก 117

อรรถาธิบายอาบัติที่เป็นบุพโยคปาราชิก 119

อาบัติทุกกฏ ๘ อย่าง 122

อรรถาธิบายคําว่าทุกกฏและถุลลัจจัย 125

กิริยาที่ภิกษุลักทรัพย์ให้เคลื่อนจากฐาน ๖ อย่าง 127

อรรถาธิบาย ภิกษุลักดูดเอาเนยใสเป็นต้นฯ 132

อรรถาธิบายคําว่า ภินฺทิตฺวา เป็นต้น 136

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่บนบก 139

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในอากาศ 140

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในกลางแจ้ง 143

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ํา 147

สมัยหลังพุทธกาลพวกชนขุดบ่อน้ําใช้เลี้ยงปลา 150

ภิกษุจับเอาปลาที่เขาเลี้ยงปรับอาบัติตามราคา 150

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือน 153

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในยาน 156

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในภาระ 159

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวน 161

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในวิหาร 164

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในนา 165

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ 168

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่า 169

กถาว่าด้วยน้ํา 172

กถาว่าด้วยไม้ชําระฟัน 175

กถาว่าด้วยต้นไม้เจ้าป่า 177

กถาว่าด้วยผู้นําทรัพย์ไป 179

กถาว่าด้วยสิ่งของที่เขาฝากไว้ 182

โจรลักของสงฆ์ในเรือนคลังปรับสินไหม 190

กถาว่าด้วยด่านภาษี 195

กถาว่าด้วยสัตว์มีชีวิต 199

บุคคลผู้เป็นทาส ๓ จําพวก 199

กถาว่าด้วยสัตว์ไม่มีเท้า 201

กถาว่าด้วยสัตว์ ๒ เท้า 203

กถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า 204

กถาว่าด้วยสัตว์มีเท้ามาก 206

กถาว่าด้วยภิกษุผู้สั่ง 207

กถาว่าด้วยภิกษุผู้รับของฝาก 208

กถาว่าด้วยการชักชวนกันลัก 209

ภิกษุหลายรูปชวนกันไปลักทรัพย์ต้องอาบัติหมดฯ 209

กถาว่าด้วยการนัดหมาย 212

กถาว่าด้วยการทํานิมิต 213

กถาว่าด้วยการสั่ง 214

การพรรณนาบทภาชนีย์ 218

อาการ ๖ อย่างที่ให้ภิกษุต้องอาบัติ 218

อรรถาธิบายในอนาปัตติวาร 219

กถาว่าด้วยการสับเปลี่ยนสลาก 223

อรรถาธิบายอุทานคาถาในวินีตวัตถุ 223

อรรถาธิบายอาหาร ๕ อย่าง 226

อรรถาธิบายภัณฑปริกัป 227

อรรถาธิบายโอกาสปริกัป 228

อรรถาธิบายปฏิจฉันนาวหาร 229

อรรถาธิบายกุสาวหาร 230

กถาปรารถเรื่องทั่วไป 232

คาถาสรูปทุติยปาราชิกสิกขาบท 252


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 2]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 77

ทุติยปาราชิกวรรณนา

บัดนี้ ถึงลำดับสังวรรณนาทุติยปาราชิกซึ่งพระชินเจ้าผู้ไม่เป็นที่สองทรง ประกาศแล้ว, เพราะเหตุนั้น คำใดที่จะพึงรู้ ได้ง่าย และได้ประกาศไว้แล้วในเบื้องต้น, การสังวรรณนาทุติยปาราชิกนั้น จะเว้นคำ นั้นเสียทั้งหมดดังต่อไปนี้ :-

[เรื่องพระธนิยะกุมภการบุตร]

นิกเขปบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา ราชคเห วิหรติ คิชฺฌกูเฏ ปพฺพเต ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป.

บทว่า ราชคเห ได้แก่ เมืองที่มีชื่ออย่างนั้น. จริงอยู่ เมืองนั้น เรียกว่า ราชคฤห์ เพราะเป็นเมืองที่พระราชาทั้งหลายมีพระเจ้ามันธาตุ และ พระเจ้ามหาโควินทะเป็นต้น ทรงปกครอง. ในคำว่า ราชคฤห์ นี้ พระอาจารย์ ทั้งหลาย พรรณนาประการอย่างอื่นบ้าง. จะมีประโยชน์อะไร ด้วยประการ เหล่านั้นเล่า?. คำว่า ราชคฤห์ นี้ เป็นชื่อของเมืองนั้น. แต่เมืองนี้นั้น เป็นเมืองในครั้นพุทธกาล และจักรพรรดิกาล. ในกาลที่เหลือ เป็นเมืองร้าง ถูกยักษ์หวงห้ามคือเป็นป่าเป็นที่อยู่ของพวกยักษ์เหล่านั้น ท่านพระอุบาลีเถระ ครั้งแสดงโคจรคามอย่างนั้นแล้ว จึงแสดงสถานเป็นที่เสด็จประทับ.

สองบทว่า คิชฺฌกูเฏ ปพฺพเต มีความว่า ก็ภูเขานั้น เขาเรียกกันว่า คิชฌกูฏ เพราะเหตุว่า มีฝูงแร้งอยู่บนยอด หรือมียอดคล้ายแร้ง.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 78

บทว่า สมฺพหุลา มีความว่า โดยบรรยายแห่งพระวินัย ภิกษุ ๓ รูป เรียกว่า ภิกษุเป็นอันมาก เกินกว่านั้นเรียกว่า สงฆ์ โดยบรรยายแห่พระสูตร ภิกษุ ๓ รูป คงเรียกว่า ๓ รูปนั่นแล, ตั้งแต่ ๓ รูปขึ้นไป จึงเรียกว่า ภิกษุ เป็นอันมาก. ภิกษุเป็นอันมากในที่นี้พึงทราบว่า มากด้วยกัน โดยบรรยายแห่ง พระสูตร.

ชนทั้งหลาย ที่ไม่คุ้นเคยกันนัก คือไม่ใช่มิตรที่สนิท ท่านเรียกว่า เพื่อนเห็น. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น ท่านเรียกว่า เพื่อนเห็น เพราะได้พบเห็น กันในที่นั้นๆ. ชนทั้งหลายที่คุ้นเคยกัน คือเป็นเพื่อนสนิท ท่านเรียกว่า เพื่อนคบ. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น คบกันแล้วคือกำลังคบกันเป็นอย่างดี ท่าน เรียกว่า เพื่อนคบ เพราะทำความสนิทสมโภคและบริโภคเป็นอันเดียวกัน.

บทว่า อิสิคิลิปสฺเส มีความว่า ภูเขาอิสิคิลิ ที่ข้างภูเขานั้น. ได้ยินว่า ครั้งดึกดำบรรพ์ พระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ ๕๐๐ องค์ เที่ยวไป บิณฑบาตในชนบททั้งหลาย มีกาสีและโกสลเป็นต้น เวลาภายหลังภัตประชุม กันที่ภูเขานั้น ยังกาลให้ล่วงไปด้วยสมาบัติ. มนุษย์ทั้งหลาย เห็นท่านเข้าไป เท่านั้น ไม่เห็นออก, เพราะเหตุนั้น จึงพูดกันว่า ภูเขานี้ กลืนพระฤาษีเหล่านี้. เพราะอาศัยเหตุนั้น ชื่อภูเขานั้น จึงเกิดขึ้นว่า อิสิคิลิ ทีเดียว. ที่ข้างภูเขานั้น คือ ที่เชิงบรรพต.

[ภิกษุจำพรรษาไม่มีเสนาสนะปรับอาบัติทุกกฏ]

อันภิกษุผู้จะจำพรรษา แม้ปฏิบัติตามปฏิปทาของพระนาลกะก็ต้องจำ พรรษาในเสนาสนะพร้อมทั้งระเบียง ซึ่งมุงด้วยเครื่องมุง ๕ อย่างๆ ใดอย่าง หนึ่งเท่านั้น. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุผู้ไม่มีเสนาสนะ ไม่พึงจำพรรษา ภิกษุใดจำ ภิกษุนั้น ต้องทุกกฏ.


* เพราะ // * วิ มหา. ๔/๒๙๙.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 79

ฉะนั้น ในฤดูฝน ถ้าไม่มีเสนาสนะ การที่ได้อย่างนั้น นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ต้องแสวงหาหัตถกรรมทำ เมื่อไม่ได้หัตถกรรม ควรทำเอาแม้เอง. ส่วนภิกษุ ผู้ไม่มีเสนาสนะไม่ควรเข้าจำพรรษาเลย. ข้อนี้เป็นธรรมอันสมควร. เพราะ เหตุนั้น ภิกษุเหล่านั้น จึงทำกุฎีหญ้ากำหนดที่พักกลางคืนและกลางวันเป็นต้น ไว้แล้ว อธิษฐานกติกาวัตรและขันธกวัตร ศึกษาในไตรสิกขา อยู่จำพรรษา.

สองบทว่า อายสฺมาปิ ธนิโย มีความว่า ไม่ใช่แต่พระเถระเหล่า นั้นอย่างเดียว แม้ท่านพระธนิยะ ซึ่งเป็นต้นบัญญัติแห่งสิกขาบทนี้ ก็ได้ทำ เหมือนกัน.

บทว่า กุมฺภการปุตฺโต คือ เป็นบุตรของช่างหม้อ, จริงอยู่ คำว่า ธนิยะ เป็นชื่อของเธอ แต่บิดาของเธอ เป็นช่างหม้อ; ด้วยเหตุนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า พระธนิยะ บุตรช่างหม้อ.

สองบทว่า วสฺสํ อุปคญฺฉิ ความว่า พระธนิยะ ทำกุฎีหญ้าแล้ว ก็อยู่จำพรรษาในที่แห่งเดียวกันกับพระเถระเหล่านั้นนั่นเอง.

สองบทว่า วสฺสํ วุฏฺา ความว่า ภิกษุเหล่านั้นเข้าจำพรรษาในวัน ปุริมพรรษาแล้วปวารณาในวันมหาปวารณาตั้งแต่วันปาฏิบทแล้ว (แรม ๑ ค่ำ) ไป ท่านเรียกว่า ผู้ออกพรรษาแล้ว. เป็นผู้ออกพรรษาแล้วด้วยวิธีอย่างนั้น.

สองบทว่า ติณกุฏิโย ภินฺทิตฺวา มีความว่า ภิกษุเหล่านั้นหาได้ ทำลายกุฎีให้เป็นจุณวิจุณด้วยการประหารด้วยไม้ค้อนเป็นต้นไม่ แต่ได้รื้อหญ้า ไม้และเถาวัลย์เป็นต้นออกเสีย ด้วยระเบียบวัตร. จริงอยู่ ภิกษุใด ได้ทำกุฎี ไว้ในที่สุดแดนวิหาร ภิกษุนั้น ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีอยู่ ก็ควรบอกลาภิกษุเจ้า ถิ่นเหล่านั้น พึงกล่าวว่า ถ้าภิกษุรูปใดสามารถจะดูแลกุฎีนี้อยู่ได้ ขอท่านจง มอบให้แก่เธอรูปนั้นนั่นแหละ ดังนี้แล้วจึงหลีกไป. ถ้าภิกษุใด ทำกุฎีไว้ใน


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 80

ป่าหรือไม่ได้รักษา ภิกษุนั้นคิดว่า เสนาสนะจักเป็นของบริโภคแก่ภิกษุแม้เหล่า อื่น ควรเก็บงำเสีย จึงไป. อธิบายว่า ก็ภิกษุเหล่านั้น สร้างกุฎีไว้ในป่าแล้ว เมื่อไม่ได้ผู้รักษาเก็บงำ คือรวบรวมหญ้าและไม้ไว้. อนึ่งหญ้าและไม้ที่เก็บไว้ แล้ว สัตว์ทั้งหลายมีปลวกเป็นต้นจะกัดไม่ได้ ทั้งฝนก็จะรั่วรดไม่ได้ โดยประ การใด ก็ควรเก็บไว้โดยประการนั้น ควรบำเพ็ญคมิกวัตรให้บริบูรณ์ด้วยคิดว่า หญ้าและไม้นั้น จักเป็นอุปการะแก่เพื่อนสพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้มาถึงสถานที่นี้ แล้วประสงค์จะอยู่ ดังนี้ จึงควรหลีกไป

สองบทว่า ชนปทาจาริกํ ปกฺกมึสุ ความว่า ภิกษุเหล่านั้นได้ ไปยังชนบทตามความชอบใจของตนๆ คำเป็นต้นว่า ท่านพระธนิยะ กุมภ- การบุตร อยู่จำพรรษาที่เชิงเขาคิชฌกูฏนั้นนั่นเอง มีเนื้อความชัดเจนทีเดียว.

บทว่า ยาวตติยกํ แปลว่า ถึง ๓ ครั้ง

บทว่า อนวโย แปลว่า เป็นผู้ไม่บกพร่อง. ลบ อุ อักษรเสีย ด้วยอำนาจสนธิ. อธิบายว่า เป็นผู้มีศิลปะบริบูรณ์ไม่บกพร่องในการทำงานทุก อย่าง ที่พวกช่างหม้อจะพึงทำ.

บทว่า สเก แปลว่า ของๆ ตน.

บทว่า อาจริยเก แปลว่า ในการงานแห่งอาจารย์.

บทว่า กุมฺภการกมฺเม แปลว่า ในการงานของพวกช่างหม้อ. อธิบายว่า ในการงานอันพวกช่างหม้อพึงทำ. ด้วยบทว่า กุมฺภการกมฺเม นั้น เป็นอันท่านธนิยะแสดงถึงการงาน แห่งอาจารย์ของตน โดยสรูป.

บทว่า ปริโยทาตสิปฺโป คือ ผู้สำเร็จศิลปะ มีคำอธิบายว่า แม้เมื่อเราไม่มีความบกพร่อง เราก็เป็นผู้มีศิลปะจะหาคนอื่นทัดเทียมไม่ได้.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 81

บทว่า สพฺพมตฺติกามยํ มีความว่า ท่านธนิยะนั้น ทำเครื่องเรือน ที่เหลือทั้งหมด มีประเภทคือฝา อิฐมุงและเครื่องไม้เป็นต้นให้สำเร็จด้วยดินทั้ง นั้น ยกเว้นเพียงกรอบเช็ดหน้า ประตูลิ่มสลักลูกดาล และบานหน้าต่าง.

หลายบทว่า ติณญฺจ กฏฺญฺจ โคมยญฺจ สงฺกฑฺฒิตฺวา ตํ กุฏิกํ ปจิ มีความว่า ท่านธนิยะทำเครื่องเรือนให้สำเร็จด้วยดินล้วน แล้ว ขัดถูด้วยฝ่ามือ ทำให้แห้ง แล้วเอาดินแดงผสมด้วยน้ำมันโบกทาให้เกลี้ยงเกลา ครั้นแล้วจึงบรรจุ ทั้งภายในและภายนอกให้เต็มด้วยหญ้าเป็นต้นแล้วเผากุฎีนั้น โดยวิธีที่ดินจะเป็นของสุกปลั่งด้วยดี. ก็แลกุฎีนั้น ได้เป็นของเผาแล้วด้วย อาการอย่างนั้น.

บทว่า อภิรูปา แปลว่า มีรูปสวยงาม.

บทว่า ปาสาทิกา แปลว่า ชวนให้เกิดความเลื่อมใส.

บทว่า โลหิตกา แปลว่า มีสีแดง.

บทว่า กึกิณิกสทฺโท ได้แก่ เสียงข่ายกระดึง. ได้ยินว่า ข่ายกระ ดึงที่เขาทำด้วยกระรัตนะต่างๆ ย่อมมีเสียง ฉันใด กุฎีนั้น ก็มีเสียงฉันนั้นเพราะ ถูกลมที่พัดเข้าไปโดยช่องบานหน้าต่างเป็นต้นกระทบแล้ว. ด้วยบทว่า กึกิณิกสทฺโท นั้น เป็นอันท่านแสดงถึงข้อที่กุฎีนั้นสุกปลั่งทั้งภายในและภายนอก. ส่วนในมหาอรรกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ภาชนะสำริด ชื่อว่า กึกิณิกะ; เพราะ ฉะนั้น ภาชนะสำริดที่ถูกลมกระทบแล้ว มีเสียง ฉันใด กุฎีนั้น ถูกลมกระทบ แล้ว ได้มีเสียง ฉันนั้น.

ในคำว่า กึ เอตํ ภิกฺขเว นี้ พึงทราบว่าวินิจฉัยดังนี้: - พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบอยู่ทีเดียว เพื่อจะทรงตั้งเรื่องนั้น จึงได้ตรัสถาม.


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 82

หลายบทว่า ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ ความว่า ภิกษุทั้งหลาย ได้กราลทูลข้อที่พระธนิยะทำกุฎีเสร็จด้วยดินล้วน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าตั้ง แต่ต้น.

คำว่า กริสฺสติ นี้ ในประโยคว่า ภิกษุทั้งหลาย! ไฉนโมฆบุรุษนั้น จึงได้ขยำโคลนทำกุฎีสำเร็จด้วยดินล้วนเล่า? เป็นคำอนาคตลงในอรรถอดีต. มีคำอธิบายว่า ได้ทำแล้ว. ลักษณะแห่งการกล่าวกิริยาอนาคตลงในอรรถอดีต นั้น ผู้ศึกษาควรแสวงหาจากคัมภีร์ศัพทศาสตร์.

ในคำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่ เบียดเบียนมิได้มีแก่โมฆบุรุษนั้นเลย นี้ มีวินิจฉัยดังนี้: -

ความตามรักษา ชื่อ อนุทยา พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมแสดงส่วน เบื้องต้นแห่งเมตตาด้วยบทว่า อนุทยา นั้น.

จิตไหวตาม เพราะทุกข์ของผู้อื่น ชื่อว่า อนุกัมปา. ความไม่ห้ำหั่น ชื่อว่า อวิเหสา. พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงส่วนเบื้องต้นแห่งกรุณา ด้วยสองบทว่า อนุกัมปา และ อวิเหสา นั้น. พระองค์ตรัสคำอธิบายไว้ดัง นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อพระธนิยะโมฆบุรุษนั้นเบียดเบียน คือ ทำ สัตว์ใหญ่น้อยเป็นอันมากให้พินาศไปอยู่ เพราะขุดดิน ขยำโคลนและติดไฟเผา ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่เบียดเบียน แม้เป็นเพียงส่วนเบื้องต้น แห่งเมตตาและกรุณาในสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่า มิได้มีเลย คือความเอ็นดู เป็นต้น ชื่อแม้มีประมาณน้อยก็มิได้มี.

หลายบทว่า มา ปจฺฉิมา ชนตา ปาเณสุ ปาตพฺยตํ อาปชฺชติ มีความว่า หมู่ชนชั้นหลัง อย่าถึงความเบียดเบียนหมู่สัตว์เลย. มีคำอธิบายว่า หมู่ชนชั้นหลังสำเหนียกว่า แม้ในครั้งพุทธกาล ภิกษุทั้งหลายได้ทำกรรมอย่างนี้


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 83

แล้ว เมื่อภิกษุทำปาณาติบาตอยู่ในสัตว์ทั้งหลาย ในฐานะเช่นนี้ ก็ไม่มีโทษ ดังนี้ เมื่อจะเจาะเอาพระเถระนี้เป็นทิฏฐานุคติ อย่าได้สำเหนียกกรรมที่จะพึง เบียดเบียน คือ ทรมานหมู่สัตว์ เหมือนอย่างพระเถระทำแล้วนั้นเลย.

[ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้สร้างกุฎีด้วยดินล้วน]

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงตำหนิพระธนิยะอย่างนั้นแล้ว จึงทรง ห้ามการทำกุฎีเช่นนั้นต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อันภิกษุไม่ควรทำกุฎีสำเร็จ ด้วยดินล้วน ก็แล ครั้นทรงห้ามแล้ว จึงทรงปรับอาบัติไว้ เพราะการทำกุฎี สำเร็จด้วยดินล้วนว่า ภิกษุใด พึงทำ ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ. เพราะเหตุ นั้น ภิกษุแม้รูปใด เมื่อยังไม่ถึงความเบียดเบียนหมู่สัตว์ เพราะกิจมีการขุดดิน เป็นต้น ทำกุฎีเช่นนั้น ภิกษุแม้รูปนั้น ย่อมต้องทุกกฏ. แต่ภิกษุผู้ถึงความ เบียดเบียนหมู่สัตว์ เพราะกิจมีการขุดดินเป็นต้น ย่อมต้องอาบัติที่ท่านปรับ ไว้ตามวัตถุที่ตนล่วงละเมิดทีเดียว. พระธนิยะเถระ ชื่อว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะ เป็นต้นบัญญัติในสิกขาบทนี้. ภิกษุที่เหลือ ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบททำก็ดี ได้ กุฎีที่ผู้อื่นทำแล้วอยู่ในกุฎีนั้นก็ดี เป็นทุกกฏแท้แล. ส่วนกุฎีที่สร้างผสมด้วย ทัพสัมภาระ จะเป็นของผสมด้วยอาการใดๆ ก็ตาม ย่อมควร. กุฎีที่สำเร็จ ด้วยดินล้วนนั่นแล ไม่ควร. ถึงแม้กุฎีนั้น ที่ก่อด้วยอิฐ โดยอาการเช่นกับ โรงพักที่สร้างด้วยอิฐ ก็ควร.

[พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งให้ทำลายกุฎีเป็นอกัปปิยะ]

หลายบทว่า เอวมฺภนฺเตติ โขฯ เปฯ ตํ กุฏีกํ ภินฺทึสุ ความว่า ภิกษุเหล่านั้น รับพระพุทธาณัติแล้ว ก็เอาไม้และหินทำลายกุฎีนั้นให้กระจัด กระจายแล้ว.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 84

ในคำว่า อถโข อายสฺมา ธนิโย เป็นต้น มีความสังเขปดังต่อ ไปนี้:-

พระธนิยะ นั่งพักกลางวันอยู่ที่ข้างๆ หนึ่ง จึงได้มาเพราะเสียงนั้น แล้วถามภิกษุเหล่านั้นว่า อาวุโส! พวกท่านทำลายกุฎีของผม เพื่ออะไร? แล้วได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งให้พวกกระผมทำลาย จึงได้ยอมรับ เพราะเป็นผู้ว่าง่าย.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงรับสั่งให้ทำลายกุฎีที่ พระเถระนี้ทำด้วยความอุตสาหะอย่างใหญ่ยิ่งเพื่อเป็นที่อยู่ของตน, แม้การงาน (คือสิ่งของเช่นบานประตูเป็นต้น) ที่ยังใช้การได้ ในกุฎีนี้ของพระเถระนั้น มีอยู่มิใช่หรือ?

แก้ว่า มีอยู่ แม้ก็จริง ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าพระทัย ว่า กุฎีที่พระธนิยะทำนี้ เป็นของไม่สมควร จึงรับสั่งให้ทำลายกุฎีนั้นเสีย คือ ที่รับสั่งให้ทำลายเสีย เพราะว่า เป็นธงของเดียรถีย์.

ในอธิการว่าด้วยการทำลายกุฎีนี้ มีวินิจฉัยเท่านี้. ส่วนในอรรถกถา พระอาจารย์ทั้งหลายกล่าวเหตุหลายอย่างแม้อื่นมีอาทิว่า เพื่อความเอ็นดูสัตว์ เพื่อต้องการรักษาบาตรและจีวร เพื่อป้องกันความเป็นผู้มีเสนาสนะมาก. เพราะ ฉะนั้น แม้ในบัดนี้ ภิกษุรูปใดเป็นพหูสูต รู้พระวินัย พบเห็นภิกษุรูป อื่น ผู้ถือบริขารที่เป็นอกัปปิยะเที่ยวไปอยู่ ควรให้เธอตัด หรือ ทำลายบริขาร ที่ไม่ควรนั้นเสีย, ภิกษุรูปนั้นอันใครๆ จะยกโทษขึ้นว่ากล่าวไม่ได้ คือจะพึง ทักท้วงไม่ได้ จะพึงให้เธอให้การไม่ได้ ทั้งใครๆ ไม่ได้เพื่อจะว่ากล่าวเธอว่า ท่านทำให้บริขารของผมฉิบหายแล้ว, จงให้บริขารนั้นแก่กระผม.


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 85

[ข้อแนะนำเรื่องการใช้ร่มและจีวร]

ในอธิการว่าด้วยทุติยปาราชิกนั้น มีวินิจฉัยบริขารที่เป็นกัปปิยะ และ อกัปปิยะนอกจากบาลีดังต่อไปนี้ :-

ชนบางพวก เอาด้ายเบญจพรรณเย็บร่มใบตาลติดกันทั้งภายในภาย นอก แล้วทำให้มีสีเกลี้ยงเกลา, ร่มเช่นนั้นไม่ควร. แต่จะเอาด้ายอย่างใด อย่างหนึ่ง จะเขียวหรือเหลืองซึ่งมีสีอย่างเดียวกัน เย็บติดกันทั้งภายในและ ภายนอก หรือจะมัดซี่กรงตรึงยึดคันร่มไว้ ควรอยู่. ก็แล การเย็บและการ มัดรวมกันไว้นั้น เพื่อทำให้ทนทานจึงควร เพื่อจะทำให้มีสีเกลี้ยงเกลา ไม่ควร, ในใบร่ม จะสลักรูปฟันมังกร หรือรูปพระจันทร์ครึ่งซีกติดไว้ ไม่ควร. ที่ คันร่ม จะมีรูปหม้อน้ำ หรือรูปสัตว์ร้าย เหมือนที่เขาทำไว้ในเสาเรือน ไม่ ควร. แม้หากว่าที่คันร่มทั้งหมด เขาเอาเหล็กจารเขียนสลักลวดลายไว้ไซร้, แม้ลวดลายนั้น ก็ไม่ควร. รูปหม้อน้ำก็ดี รูปสัตว์ร้ายก็ดี ควรทำลายเสียก่อน จึงใช้ ควรขูดลวดลายแม้นั้นออก หรือเอาด้ายพันด้ามเสีย. แต่ที่โคนด้าม จะมีสัณฐานเหมือนเห็ดหัวงู ควรอยู่. พวกช่างทำร่ม เอาเชือกมัดวงกลมของ ร่มผูกมัดไว้ที่คัน เพื่อกันไม่ให้โยกเยก เพราะถูกลมพัด. ในที่ๆ ผูกมัดไว้นั้น เขายกตั้งวางลวดลายไว้ เหมือนวลัย, ลวดลายนั้น ควรอยู่. พวกภิกษุเอา ด้ายสีต่างๆ เย็บเป็นรูปเช่นกับรูปตะขาบ เพื่อต้องการประดับจีวร ติดผ้าดาม ก็ดี ทำรูปแปลกประหลาดที่เย็บด้วยเข็มอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้อื่นไว้ก็ดี รูปช้อง ผมหรือรูปโซ่ไว้ที่ริมตะเข็บ หรือที่ชายผ้า (อนุวาตจีวร) ก็ดี วิธีที่กล่าวมา แล้วนั้นเป็นต้นทั้งหมด ย่อมไม่ควร. การเย็บด้วยเข็มตามปกตินั่นแหละ จึง ควร. เขาทำผ้าลูกดุมและผ้าห่วงลูกดุมไว้ ๘ มุมบ้าง ๑๖ มุมบ้าง, ที่ลูกดุม


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 86

และรังดุมนั้น ก็แสดงรูปต่างๆ มีรูปคล้ายเจดีย์ชื่ออัคฆิยะ รูปคทาและรูปไม้ พลองเป็นต้นไว้, เย็บยกเป็นรูปตาปูไว้ ; วิธีทำทั้งหมดไม่ควร จะทำผ้าลูกดุม และห่วงลูกดุมไว้เพียง ๔ มุมเท่านั้นจึงควร.

[วิธีซักและย้อมจีวร]

ด้ายมุมและปมเทียว เป็นของที่รู้ได้ยากในเมื่อย้อมจีวรแล้วสมควรอยู่. จะใส่จีวรลงในน้ำต่างๆ มีน้ำส้มผะอูมแป้งและน้ำข้าวเป็นต้น ไม่ควร. แต่ใน เวลาทำจีวร จะใส่ลงเพื่อซักเหงื่อมือและสนิมเข็มเป็นต้น และในเวลาที่จีวร สกปรกจะใส่ลงเพื่อซักให้สะอาด ก็ควร จะใส่ของหอม ครั่งหรือน้ำมันลงใน น้ำย้อมไม่ควร. อันภิกษุย้อมจีวรไม่ควรเอาสังข์หรือแก้วมณีหรือวัตถุอย่างใด อย่างหนึ่งทุบจีวร ไม่ควรคุกเข่าทั้งสองลงที่พื้นดินแล้วเอามือทั้งสองจับจีวร ขัดถูแม้ที่รางย้อม แต่จะวารจีวรไว้ที่รางย้อมหรือบนแผ่นกระดาน แล้วให้จับ ชายทั้งสองรวมกันไว้ เอามือทุบ สมควรอยู่. แม้การทุบนั้น ก็ไม่ควรเอา กำปั้นทุบ. แต่พระเถระในปางก่อนทั้งหลายไม่ได้วางจีวรไว้ แม้ที่รางย้อมเลย คือรูปหนึ่งเอามือจับจีวรยืน อีกรูปหนึ่ง วางจีวรไว้บนมือ แล้วจึงเอามือ ทุบ ไม่ควรทุบเส้นด้ายที่หูจีวร. ในเวลาย้อมเสร็จแล้ว ควรตัดทิ้งเสีย. ส่วนด้ายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราอนุญาตเส้นด้ายที่หูจีวร ดังนี้นั้น ควรทำให้เป็นบ่วงผูกไว้ที่อนุวาต เพื่อ คล้องจีวรไว้ในเวลาย้อม. แม้ที่ลูกดุมจะมีลวดลายหรือขอดปนไว้ เพื่อทำให้ สวยงาม ไม่ควร ต้องทำลายเสียก่อนจึงควรใช้สอย.

[บริขารที่ควรใช้และไม่ควรใช้]

ที่บาตรหรือถลกบาตร จะเอาเหล็กจารเขียนลวดลาย หรือจะเขียนไว้ ทั้งภายในภายนอกก็ตาม, ลวดลายนั้น ไม่ควร จะยกบาตรขึ้นกลึงให้เกลี้ยง


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 87

เกลา แล้วจึงระบม ด้วยคิดว่า จักทำให้มีสีดุจแก้วมณี ไม่ควร. ส่วนบาตร ที่มีสีเหมือนน้ำมัน ควรอยู่. จะว่าในบังเวียนรองบาตร บังเวียนรองบาตรที่ มีรูปภาพบุรุษผู้ภักดี * ไม่ควร แต่ที่เป็นรูปฟันมังกร ควรอยู่.

สำหรับธมกรกและร่ม จะมีลวดลายไว้ข้างบนหรือข้างล่าง หรือภาย ในกระพุ้งธมกนกก็ตาม ไม่ควร. แต่ร่มนั้น จะมีลวดลายไว้ที่ขอบปากร่ม ควรอยู่.

เพื่อจะให้ประคดเอวงดงาม จะทุบด้ายให้พองขึ้นเป็นสองเท่าในที่ นั้นๆ คือ ทำให้นูนขึ้นเป็นลวดลายตาปู ข้อนั้น ไม่ควร. แต่ที่สุดทั้งสองข้าง จะทุบให้พองขึ้นเป็นสองเท่า เพื่อความทนทานแห่งปากชายผ้า ควรอยู่. ส่วน ที่ปากชายผ้า จะทำรูปแปลกปลาดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้จะเป็นรูปหม้อน้ำก็ตาม รูปหน้ามังกรก็ตาม รูปศีรษะงูน้ำก็ตาม ไม่ควร. แม้ประคดเอวที่เขาแสดง รูปตาช้างไว้ หรือ ที่เขาทุบทำเป็นรูปลวดลายดอกไม้เป็นต้นไว้ในที่นั้นๆ ไม่ควร. แต่จะทุบทำเป็นเงี่ยงปลากระเบนก็ตาม เป็นในแป้งก็ตาม เป็นแผ่น ผ้าที่เกลี้ยงเกลาก็ตามไว้ตรงๆ เท่านั้น จึงควร. ประคดเอวมีชายเดียว สมควร, มี ๒ - ๓ แม้ถึง ๔ ชายก็สมควร เกินกว่านั้นไป ไม่ควร. ประคดเอวที่ทำ ด้วยเชือกเส้นเดียวเท่านั้น จึงควร. ส่วนที่มีสัณฐานดุจสายสังวาล แม้เส้น เดียวก็ไม่ควร. แต่ชายแม้จะมีสัณฐานดุจสังวาล ก็ควร. ประคดเอวที่เขา เอาเชือกมากเส้นรวมกันเข้า แล้วเอาเชือกอีกเส้นหนึ่งพันรอบไว้ทุกๆ ระหว่าง ไม่ควรเรียกว่า เป็นประคดเอวที่มีเชือกมากเส้น. การผูกประคดเอวที่มีเชือก มากเส้นนั้น ควรอยู่.


* ศัพท์ว่า ภต?ติกม?มํ นี้ ได้แปลไว้ตามอรรถโยชนา ๑/๒๘๔. แต่ที่มาเดิมของเรื่องนี้ ตาม ฉบับ ม. ยุ. เป็น ภติกมฺมกตานิ แปลว่า บังเวียนของบาตรที่จ้างเขาทำ (ให้มีลวดลายเป็น รูปภาพ) มาใน วิ. จุลลวรรค. ๗/๑๗ - ๑๘.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 88

ที่ลูกถวินของประคดเอว จะมีรูปแปลกๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีรูป มงคล * ๘ เป็นต้นไม่ควร จะมีเพียงรอบพอเป็นเครื่องกำหนด ควรอยู่. ใน ชายทั้งสองของลูกถวิน เขาทำแม้เป็นรูปหม้อน้ำไว้ เพื่อทำให้ทนทาน, รูป หม้อนี้ ก็ควร.

[กล่องยาตาที่ควรใช้และไม่ควรใช้]

ที่กล่องยาตา จะมีรูปสตรี บุรุษ สัตว์ ๔ เท้าและรูปนกก็ตาม จะมี รูปแปลกๆ ต่างประเภทเป็นต้นว่า ลายดอกไม้ ลายเถาวัลย์ ฟันมังกร มูตรโค และรูปพระจันทร์ครึ่งซีกก็ตาม ไม่ควร. รูปที่กล่องยาตา ควรขูดหรือตัด ออกเสีย หรือเอาด้ายพันปิดไว้ โดยอาการที่รูปจะปรากฏไม่ได้ พึงใช้สอยเถิด. ส่วนกล่องยาตา ๔ เหลี่ยม ๘ เหลี่ยม หรือ ๑๖ เหลี่ยมตรงๆ เท่านั้น จึงควร. แม้ข้างล่างกล่องยาตานั้น จะมีลวดลายกลมๆ ไว้เพียง ๒ หรือ ๓ แห่ง ก็ควร. ถึงแม้ที่คอกล่องยาตานั้น จะมีลวดลายกลมๆ ไว้เพียง ๑ แห่ง เพื่อผูกฝาปิด ก็ควร. แม้ที่ไม้ป้ายยาตา จะมีลวดลายที่มีสีเกลี้ยงเกลา ไม่ควร. ถึงแม้ถุง กล่องยาตาจะมีลวดลายที่มีสีเกลี้ยงเกลา ด้วยด้ายมีสีต่างๆ ชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ ควร.

[ฝักกุญแจและบริขารเบ็ดเตล็ดที่ควรใช้และไม่ควรใช้]

แม้ฝักกุญแจ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ที่ตัวกุญแจ จะมีลวดลายที่ มีสีเกลี้ยงเกลาไม่ควร. ที่ฝักมีดโกนก็เหมือนกัน. อนึ่ง ที่ฝักมีดโกนนี้ จะเป็น ชนิดไรๆ ก็ตาม ที่เย็บด้วยด้ายสีเดียวอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรอยู่.


* รูปมงคล ๘ คือ สังข์ ๑ จักร ๑ หม้อน้ำที่เต็ม ๑ แม่น้ำคยา ๑ ลูกโคมีสิริ ๑ ขอ ๑ ธง ๑ ผ้าอย่างดี ๑ สารัถทีปนี ๒/๑๘๘.


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 89

แม้ที่เหล็กหมาด * จะมีปุ่มแก้วกลมๆ หรือวัตถุอย่างอื่นที่มีสีเกลี้ยง เกลาก็ตาม ไม่ควร. ส่วนที่คอ จะมีลวดลายพอเป็นเครื่องกำหนด (คือเป็น ที่สังเกต) ควรอยู่.

แม้ที่กรรไกร จะวางปุ่มแก้วหรือปุ่มชนิดใดชนิดหนึ่งไว้ก็ตาม ไม่ควร. ส่วนที่ด้ามจะมีลวดลายพอเป็นเครื่องกำหนด ควร. มีดตัดเล็บที่เขาทำให้มีรอย ขีดไว้เท่านั้น ; เพราะฉะนั้น การทำให้มีรอยขีดไว้นั้น ย่อมควร.

ที่ไม้สีไฟตัวผู้ก็ดี ที่ไม้สีไฟตัวเมียก็ดี ที่ลูกธนูก็ดี ที่บนคันลุ้ง (ไม้สีไฟนั้น) ก็ดี จะมีลวดลายอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นลวดลายดอกไม้เป็นต้น ที่มีสีเกลี้ยงเกลา ไม่ควร. ส่วนตรงกลางคันลุ้ง มีวงกลม, ที่ตัววงกลมนั้น จะมีเพียงลวดลายพอเป็นเครื่องกำหนด ก็ควร. พวกชนสร้างแหนบสำหรับ เป็นเครื่องกัดถูเข็มไว้. ที่แหนบสำหรับกัดถูเข็มนั้น จะมีลวดลายอย่างใด อย่างหนึ่ง เช่นกับปากมังกรเป็นต้น ที่มีสีเกลี้ยงเกลา ไม่ควร. แต่เพื่อจะให้ กัดเข็ม จะมีเพียงปากไว้ก็ได้, ปากมังกรนั้น ย่อมควร.

แม้ที่มีดสำหรับตัดไม้สีฟัน จะมีลวดลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีสีเกลี้ยง เกลา ไม่ควร ที่ข้างทั้งสอง หรือข้างๆ หนึ่ง (ของมีดนั้น) จะเอาโลหะที่ เป็นกัปปิยะผูกไว้เป็น ๔ เหลี่ยม หรือ ๘ เหลี่ยมตรงๆ นั่นแหละ จึงควร.

แม้ที่ไม้เท้า จะมีลวดลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีสีเกลี้ยงเกลาไม่ควร. ข้างใต้ (ไม้เท้า) จะมีลวดลายกลมๆ ไว้หนึ่งแห่ง หรือสองแห่ง และข้างบน จะมีเพียงรูปเห็ดหัวงูตูมไว้ ก็ควร.

บรรดาภาชนะน้ำมัน รูปที่เหลือแม้ทั้งหมด ที่มีลวดลายเกลี้ยงเกลา (ซึ่งมีอยู่) ที่ภาชนะเขาก็ดี ทะนานก็ดี กระโหลกน้ำเต้าก็ดี ขันจอกทรง มะขามป้อมก็ดี เว้นรูปภาพสตรีและบุรุษเสียย่อมควร.


* เหล็กหมาดนี้ ท่านอธิบายไว้ในสารัตถทีปนี ภาค ๒/๑๘๘ได้แก่ มีดหรือศัสตราที่มีปีก ยาว มีไว้เพื่อซ่อมแซมคัมภีร์.


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 90

ในบรรดาเครื่องใช้ต่างๆ เหล่านี้ คือ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน เครื่องลาดพื้น แปรงเช็ดเท้า ฟูกรองที่จงกรม ไม้กวาด กระเช้าเทหยากเยื่อ รางย้อมผ้า กระบวยน้ำดื่ม หม้อน้ำดื่ม กระเบื้องเช็ดเท้า ตั่งกระดาน เชิงวลัย เชิงรองไม้สะดึง ฝาบาตร ขั้วใบตาลแลพัดวีชนีจะมีลวดลายที่มีสีเกลี้ยงเกลา มีลายดอกไม้เป็นต้นทั้งหมด ก็ควร.

ส่วนในเสนาสนะ ที่บานประตูและบานหน้าต่างเป็นต้น จะมีลวดลาย ที่มีสีเกลี้ยงเกลาแม้ที่สำเร็จด้วยแก้วทั้งหมด ก็ควร. ในเสนาสนะไม่มีลวดลาย อะไรๆ ที่ควรห้ามไว้ เว้นแต่เสนาสนะที่ผิด.

[เสนาสนะที่ผิดควรทำลายเสีย]

เสนาสนะที่พวกภิกษุผู้เป็นราชพัลลภ สร้างไว้ในเขตของเจ้าของเขต เหล่าอื่น เรียกชื่อว่า เสนาสนะที่ผิด. เพราะฉะนั้น พวกภิกษุผู้สร้างเสนาสนะ เช่นนั้น อันภิกษุผู้เป็นเจ้าของเขตพึงตักเตือนว่า พวกท่านอย่าสร้างเสนาสนะ ไว้ในเขตของพวกข้าพเจ้า (ถ้า) ไม่เชื่อฟังยังขืนสร้างอยู่นั่นเอง พึงตักเตือน ซ้ำอีกว่าพวกท่านอย่าได้ทำอย่างนี้, อย่าได้ทำอันตรายแก่อุโบสถและปวารณา ของข้าพเจ้า, อย่าได้ทำลายความสามัคคี เสนาสนะแม้ที่พวกท่านสร้างไว้ แล้ว จักไม่ตั้งอยู่ในสถานที่ๆ พวกท่านสร้างไว้แล้ว ถ้ายังขืนสร้างอยู่โดย พลการนั่นเอง, เวลาใด เจ้าของเขตเหล่านั้น มีลัชชีบริษัทหนาแน่นขึ้น ทั้ง อาจได้คำวินิจฉัยที่ชอบธรรม, เวลานั้น ควรส่งข่าวแก่ภิกษุนั้นว่า จง ขนเอาที่อยู่ของพวกท่านไปเถิด ถ้าเมื่อส่งข่าวไปถึง ๓ ครั้งแล้ว เธอเหล่านั้น รื้อถอนไป ข้อนั้นเป็นการดี, ถ้ายังไม่รื้อถอนไปไซร้, เสนาสนะที่เหลือควร ทำลายเสีย ยกไว้แต่ต้นโพธิ และเจดีย์, และอย่าทำลายให้เป็นของที่ใช้การ ไม่ได้. อนึ่ง ควรนำวัตถุต่างๆ มีเครื่องมุงหลังคา กลอนเรือนและอิฐเป็นต้น


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 91

ออกไปตามลำดับ แล้วควรส่งข่าวแก่เธอเหล่านั้นว่า จงขนทัพสัมภาระของ พวกท่านไปเถิด. ถ้ารื้อขนไปไซร้, ข้อนั้นเป็นการดี, ถ้ายังไม่รื้อขนไปไซร้, หากว่าเมื่อสัมภาระเหล่านั้นผุพังไป เพราะหิมะ ฝนและแดดเผาเป็นต้นก็ดี พวกโจรลักเอาไปก็ดี ถูกไฟไหม้ก็ดี พวกภิกษุผู้เป็นเจ้าของเขต ใครๆ จะ กล่าวโทษไม่ได้ ทั้งไม่ได้เพื่อจะทักท้วงว่า พวกท่านทำให้ทัพสัมภาระของ พวกข้าพเจ้าฉิบหายแล้ว หรือว่า ต้องปรับสินไหมพวกท่าน ดังนี้. ก็กิจใด ที่ภิกษุผู้เป็นเจ้าของเขตทำแล้ว กิจนั้นเป็นอันพวกเธอทำชอบแล้วทีเดียว ฉะนั้นแล.

จบบาลีมุตตกวินิจฉัย


ความคิดเห็น 16    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 92

พระธนิยะเริ่มสร้างกุฎีไม้

ก็เพื่อแสดงถึงความรำพึงและความอุตสาหะ เพื่อสร้างกุฎีอีกนั่นแล ของพระธนิยะ ในเมื่อกุฎีถูกทำลายแล้วอย่างนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงได้กล่าวคำว่า อถโข อายสฺมโต เป็นต้น.

ในคำว่า อายสฺมโต เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-

บทว่า ทารุคเหคณโก ได้แก่ เจ้าพนักงานผู้รักษาไม้ในเรือนคลัง ไม้ของหลวง.

บทว่า คหณทารูนิ * ได้แก่ ไม้ที่นายหลวงทรงจับจองไว้ อธิบายว่า ไม้ที่พระราชาทรงสงวนไว้.

บทว่า นครปฏิสงฺขาริกานิ ได้แก่ ไม้เป็นเครื่องอุปกรณ์ การ ปฏิสังขรณ์ พระนคร.

สองบทว่า อาปทตฺถาย นิกฺขิตฺตานิ มีคำอธิบายว่า ได้แก่ไม้ที่ เก็บไว้เพื่อป้องกันความวิบัติแห่งวัตถุทั้งหลายมีซุ้มประตู ป้อมพระราชวังหลวง และโรงช้างเป็นต้น เพราะถูกไฟไหม้ เพราะความเก่าแก่ หรือเพราะการ รุกรานของพระราชาผู้เป็นข้าศึกเป็นต้น ที่ท่านเรียกว่าอันตราย.

สองบทว่า ขณฺฑาขณฺฑิกํ เฉทาเปตฺวา ความว่า พระธนิยะ กำหนดประมาณกุฎีของตนแล้ว สั่งให้ทำการตัดไม้บางต้นที่ปลาย บางต้นที่ ตรงกลาง บางต้นที่โคน ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ (บรรทุกเกวียนไปสร้าง กุฎีไม้แล้ว).


* บาลีเดิมเป็น เทวคหณทารูนิ.


ความคิดเห็น 17    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 93

[วัสสการพราหมณ์ลงโทษเจ้าพนักงานผู้รักษาไม้]

คำว่า วัสสการ เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น.

บทว่า มคธมหามตฺโต ได้แก่ มหาอำมาตย์ คือ ผู้ประกอบด้วย ชั้นอิสริยยศอย่างใหญ่ ในมคธรัฐ หรือมหาอำมาตย์ของพระเจ้าแผ่นดินมคธ มีอธิบายว่า อำมาตย์ผู้ใหญ่.

บทว่า อนุสญฺายมาโน ความว่า วัสสการพราหมณ์ ไปตรวจดู ในที่นั้นๆ.

คำว่า ภเณ เป็นคำของอิสรชนเรียกคนผู้ดำรงอยู่ในฐานะต่ำ.

สองบทว่า พนฺธํ อาณาเปสิ ความว่า พราหมณ์ แม้โดยปกติ ก็เป็นผู้มีความริษยาในเจ้าพนักงานผู้รักษาไม้นั้นอยู่เทียว, พอเขาได้ฟังพระราชดำรัสว่า จงให้คนเอาตัวมา ดังนี้, แต่เพราะพระราชามิได้ทรงรับสั่งว่า จงให้เรียกมันมา ฉะนั้น จึงทำการจองจำเจ้าพนักงานผู้รักษาไม้นั้น ที่มือ และเท้าทั้งสอง แล้วคิดว่า จักให้ลงโทษ จึงให้จองจำไว้.

ในคำว่า อทฺทสา โข อายสฺมา ธนิโย นั้น ถามว่า ท่านพระธนิยะ ได้เห็นเจ้าพนักงานผู้รักษาไม้ ถูกเจ้าหน้าที่จองจำนำไป ด้วยอาการอย่างไร?

แก้ว่า ได้ยินว่า ท่านพระธนิยะนั้น ทราบว่าเป็นเพราะไม้ที่เจ้า พนักงานนำไปถวายด้วยเลศของตน คิดว่า เจ้าพนักงานคนนี้จักถูกฆ่า หรือ จองจำจากราชตระกูล เพราะเหตุแห่งไม้ทั้งหลาย โดยไม่ต้องสงสัย จึงคิดขึ้น ได้ในเวลานั้นว่า เราคนเดียวเท่านั้น จักปลดเปลื้องเจ้าพนักงานคนนั้น แล้ว เที่ยวคอยฟังว่าข่าวของเขาอยู่เป็นนิตยกาลนั่นแล เพราะฉะนั้น ท่านพระธนิยะ จึงได้ไปเห็นเจ้าพนักงานคนนั้นในขณะนั้นนั่นแล เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวไว้ว่า อทฺทสา โข อายสฺมา ธนิโย ดังนี้เป็นต้น.


ความคิดเห็น 18    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 94

สองบทว่า ทารูนํ กิจฺจา ความว่า เพราะเหตุแห่งไม้ทั้งหลาย.

สองบทว่า ปุรหํ หญฺามิ ความว่า กระผมจะถูกกำจัดจากบุรี. อธิบายว่า พระคุณท่าน ควรไปตลอดเวลาที่กระผมยังมิได้ถูกกำจัด. ศัพท์ว่า อิงฺฆ ในคำว่า อิงฺฆ ภนฺเต สราเปหิ นี้เป็นนิบาต ลงในอรรถว่าทักท้วง.

บทว่า ปมาภิสิตฺโต ความว่า ครั้งพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชย์ ความแรก.

หลายบทว่า เอวรูปึ วาจํ ภาสิตา มีความว่า ครั้งพระองค์เสด็จ เถลิงถวัลยราชย์คราวแรกนั่นเอง ได้ทรงเปล่งพระวาจาเช่นนี้ว่าหญ้าไม้และน้ำ ข้าพเจ้าถวายแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายแล้วแล, ขอสมณะพราหมณ์ทั้งหลาย โปรดใช้สอยเถิด มีคำอธิบายว่า ขอถวายพระพร! พระองค์ได้ตรัสพระวาจา ใดไว้ พระวาจานั้นพระองค์ตรัสเองทีเดียว บัดนี้ ยังทรงระลึกได้หรือไม่?

ได้ยินว่า พระราชาทั้งหลาย พอสักว่าเสด็จเถลิงถวัลยราชยสมบัติ เท่านั้น ก็ทรงรับสั่ง ให้เที่ยวตีกลองธรรมเภรีประกาศว่า หญ้าไม้และน้ำ ข้าพเจ้าถวายแก่สมณะพราหมณ์ทั้งหลายแล้วแล, ขอสมณะและพราหมณ์ ทั้งหลาย โปรดใช้สอยเถิด ดังนี้, พระธนิยะเถระนี้กล่าวหมายเอาพระราชดำรัส นั้น.

หลายบทว่า เตสํ มยา สนฺธาย ภาสิตํ มีอธิบายว่า โยมได้ กล่าวคำอย่างนั้นหมายถึงการนำหญ้าไม้และน้ำไปของสมณะพราหมณ์เหล่านั้น ผู้มีความรังเกียจแม้ในเหตุเล็กน้อย ซึ่งเป็นผู้สงบและลอยบาปแล้ว หาได้ หมายถึงการนำไปของบุคคลผู้เช่นพระคุณเจ้าไม่.

หลายบทว่า ตญฺจ โข อรญฺเ อปริคฺคหิตํ มีความว่า พระเจ้า พิมพิสาร ทรงแสดงพระประสงค์ว่า อันนั่น โยมกล่าวหมายเอาหญ้าไม้และน้ำ อันใครๆ มิได้หวงแหน ซึ่งมีอยู่ในป่าต่างหาก.


ความคิดเห็น 19    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 95

ในคำว่า โลเมน ตฺวํ มุตฺโตสิ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-

ขนเหมือนขน, ก็ขนนั้น คืออะไร? คือ บรรพชาเพศ. พระเจ้าพิมพิสาร ตรัสอธิบายไว้อย่างไร? ตรัสอธิบายไว้อย่างนี้คือ :- เปรียบ เหมือนพวกนักเลงปรึกษากันว่า พวกเราจักเคี้ยวกินเนื้อแล้ว จึงจับแพะตัว มีขนซึ่งมีราคามากไว้, บุรุษผู้รู้ดีคนหนึ่ง พบเห็นแพะตัวที่ถูกจับไว้นั้นนี้ จึงคิดว่า เนื้อแพะตัวนี้ มีราคาเพียงกหาปณะเดียว, แต่ขนของมันทุกๆ เส้น ขนมีราคาตั้งหลายกหาปณะ จึงได้ให้แพะเขาไป ๒ ตัว ซึ่งไม่มีขน แล้วพึง รับเอาแพะตัวที่มีขนนั้นไป, ด้วยอาการอย่างนี้ แพะตัวนั้น พึงรอดพ้นด้วยขน เพราะอาศัยบุรุษผู้รู้ดี ข้อนี้ชื่อฉันใด, ตัวพระคุณเจ้าก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้ควรถูกฆ่าและจองจำ เพราะทำกรรมนี้, แต่เพราะพระคุณเจ้า มีธงชัย พระอรหันต์ มีสภาวะอันสัตบุรุษไม่พึงดูหมิ่นได้ และเพราะพระคุณเจ้าบวช ในพระศาสนา ทรงไว้ซึ่งธงชัยแห่งพระอรหันต์ เป็นบรรพชาเพศ ; เหตุนั้น พระคุณเจ้าจึงรอดตัวด้วยขนคือบรรพชาเพศนี้ เหมือนแพะรอดพ้นด้วยขน เพราะอาศัยบุรุษผู้รู้ดี ฉะนั้น.

[ประชาชนเพ่งโทษติเตียนเหล่าสมณศากยบุตร]

สองบทว่า มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ ความว่า เมื่อพระราชาทรงรับสั่ง อยู่ในบริษัท มนุษย์ทั้งหลายในสถานที่นั้นๆ ครั้นได้ฟังพระราชดำรัส ทั้งต่อ พระพักตร์และลับพระพักตร์แล้ว ย่อมเพ่งโทษ คือ ดูหมิ่น ได้แก่ เมื่อดูหมิ่น ก็เพ่งจ้องดูพระเถระนั้น, อนึ่ง หมายความว่า ย่อมคิดไปทางความลามก.

บทว่า ขียนฺติ ความว่า ย่อมพูด คือ ประจานโทษของพระเถระนั้น.

บทว่า วิปาเจนฺติ ความว่า แต่งเรื่องให้กว้างขวางออกไป คือ กระจายข่าวให้แพร่สะพัดไปในสถานที่ทุกแห่ง. ก็แล ผู้ศึกษาควรทราบเนื้อความ นี้ ตามแนวคัมภีร์ศัพทศาสตร์


ความคิดเห็น 20    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 96

อนึ่ง ในคำว่า อุชฺฌายนฺติ เป็นต้นนี้ มีโยชนาดังนี้ คือมนุษย์ ทั้งหลาย เมื่อคิดถึงเรื่องราวเป็นต้นว่า พระสมณศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ ไม่มีความละอาย ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมเพ่งโทษ, เมื่อกล่าวคำเป็นต้นว่า พระสมณศากยบุตรเหล่านี้ ไม่มีคุณเครื่องเป็นสมณะ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมติเตียน, เมื่อกระจายข่าวกว้างขวางออกไปในสถานที่นั้นๆ เป็นต้นว่า พระสมณะ ศากยบุตรเหล่านี้ปราศจากความเป็นสมณะแล้ว ดังนี้ ชื่อว่าย่อมโพนทะนาข่าว แม้ต่อจากนี้ไป ก็ควรทราบโยชนาแห่งบทเหล่านี้ ตามควรแก่บทที่มาแล้วใน ที่นั้นๆ โดยนัยนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมจาริโน คือ ผู้ประพฤติประเสริฐ ความเป็นสมณะ ชื่อสามัญญะ. ความเป็นผู้ประเสริฐ ชื่อพรหมมัญญะ. คำที่ เหลือมีใจความตื้นแล้วทั้งนั้น.

ในคำว่า รญฺโ ทารูนิ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- ใจความนี้ว่า ได้ถือเอาไม้ของหลวง ที่มิได้พระราชทาน ดังนี้ มีความเพ่งโทษเป็นอรรถ. อนึ่ง เพื่อแสดงถึงไม้ที่มิได้พระราชทาน ซึ่งพระธนิยะได้ถือเอาแล้วนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า ไม้ของหลวง เป็นต้น. อันผู้ศึกษาทั้งหลาย เมื่อไม่หลงลืมความ ต่างแห่งวจนะ ก็ควรทราบใจความดังอธิบายมาฉะนี้แล.

[ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท]

สองบทว่า ปุราณโวหาริโก มหามตฺโต มีความว่า มหาอำมาตย์ ผู้ถึงความนับว่า ผู้พิพากษา เพราะถูกแต่งตั้งไว้ในโวหารคือการตัดสินความ ในกาลก่อนแต่ความเป็นภิกษุ คือ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์.

หลายบทว่า อถโข ภควา ตํ ภิกฺขุํ เอตทโวจ อธิบายความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบแม้ซึ่งบัญญัติแห่งโลกอยู่ด้วยพระองค์เอง


ความคิดเห็น 21    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 97

ย่อม ทรงทราบแม้ซึ่งพระบัญญัติแห่งพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลายว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายแม้ในปางก่อน ย่อมทรงบัญญัติปาราชิกด้วยทรัพย์เท่านี้ ถุลลัจจัยด้วยทรัพย์เท่านี้ ทุกกฎด้วยทรัพย์เท่านี้ แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้า พระองค์ไม่ทรงเทียบเคียงกับคนที่รู้บัญญัติแห่งโลกเหล่าอื่นแล้ว พึงทรงบัญญัติ ปาราชิกด้วยทรัพย์เพียงบาทหนึ่ง ก็จะพึงมีผู้กล่าวตำหนิพระองค์เพราะเหตุ เท่านั้นว่า ชื่อว่าศีลสังวรแม้ของภิกษุรูปหนึ่ง ก็ประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ กว้างขวางยิ่งนัก ดุจมหาปฐพี สมุทร และอากาศ, พระผู้มีพระภาคเจ้า มายัง ศีลสังวรนั้นให้พินาศเสีย ด้วยทรัพย์เพียงบาทหนึ่ง, แต่นั้น ภิกษุทั้งหลายผู้ ไม่รู้กำลังพระญาณของพระตถาคต พึงยังสิกขาบทให้กำเริบสิกขาบทแม้ที่ทรง บัญญัติไว้แล้ว ก็ไม่พึงตั้งอยู่ในที่อันควร, แต่เมื่อทรงเทียบเคียงกับคนที่รู้ บัญญัติของโลกแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบท การตำหนิติเตียนนั้นย่อมไม่มี, ย่อมมีแต่ผู้กล่าวอย่างนี้โดยแท้ว่า แม้คนครองเรือนเหล่านี้ ก็ยังฆ่าโจรเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง เพราะทรัพย์เพียงบาทหนึ่ง, เหตุไฉนเล่า พระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ทรงยังบรรพชิตให้ฉิบหายเสีย เพราะบรรพชิตไม่ ควรลักทรัพย์ของผู้อื่น แม้เป็นเพียงหญ้าเส้นหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายก็จักรู้กำลัง พระญาณของพระตถาคต และสิกขาบทแม้ที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ก็จักไม่กำเริบ จักตั้งอยู่ในที่อันควร. เพราะฉะนั้น ทรงพระประสงค์จะเทียงเคียงกับคนผู้รู้ บัญญัติของโลกแล้วจึงทรงบัญญัติ ทรงชำเลืองดูบริษัททุกหมู่เหล่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นผู้นั่งอยู่ในที่ไม่ไกลได้ตรัส คำนี้กะภิกษุนั้น (คือได้ตรัสคำนี้) ว่า ดูก่อนภิกษุ! พระราชาผู้เป็นใหญ่แห่ง มคธรัฐ เพียบพร้อมด้วยเสนา ทรงพระนามว่าพิมพิสาร จับโจรได้แล้ว ทรงฆ่าเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง เพราะทรัพย์ประมาณเท่าไร หนอ ดังนี้.


ความคิดเห็น 22    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 98

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาคโธ ได้แก่ เป็นใหญ่แห่งชาวแคว้น มคธ.

บทว่า เสนิโย ได้แก่ ผู้ถึงพร้องด้วยเสนา.

คำว่า พิมฺพิสาโร เป็นพระนามาภิไธย ของพระราชาพระองค์นั้น.

บทว่า ปพฺพาเชติ วา มีความว่า ทรงให้ออกไปเสียจากแว่นแคว้น. บทที่เหลือในคำนี้ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.

สองบทว่า ปญฺจมาสโก ปาโท ความว่า ครั้งนั้น ในกรุงราชคฤห์ ๒๐ มาสก เป็นหนึ่งกหาปณะ ; เพราะฉะนั้น ห้ามาสกจึงเป็นหนึ่งบาท. ด้วย ลักษณะนั้น ส่วนที่สี่ของกหาปณะพึงทราบว่า เป็นบาทหนึ่ง ในชนบททั้งปวง. ก็บาทนั้นแล พึงทราบด้วยอำนาจแห่งนีลกหาปณะของโบราณ ไม่พึงทราบ ด้วยอำนาจแห่งกหาปณะ นอกนี้ มีรุทระทามกะกหาปณะเป็นต้น.

[พระพุทธเจ้าทุกองค์ปรับโทษถึงที่สุดเพียงบาทเดียว]

แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ก็ทรงบัญญัติปาราชิกด้วยบาท นั้น ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะมีในอนาคต ก็จักทรงบัญญัติปาราชิกด้วย บาทนั้น. จริงอยู่ ความเป็นต่างกัน ในวัตถุปาราชิกหรือในปาราชิก ของ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ย่อมไม่มี. วัตถุแห่งปาราชิก ๔ ก็เหมือนกันนี้แหละ ปาราชิก ๔ ก็เหมือนกันนี้แหละ ไม่มีหย่อนหรือยิ่งกว่านี้. เพราะเหตุนั้น แม้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงติเตียนพระธนิยะแล้ว เมื่อจะทรงบัญญัติทุติยปาราชิกด้วยบาทนั่นเทียว จึงตรัสคำว่า โย ปน ภิกฺขุ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ เป็นต้น.

เมื่อทุติยปาราชิกอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติทำให้มั่นคงด้วยอำนาจแห่งความขาดมูลอย่างนั้นแล้ว เรื่องรชกภัณฑิกะ แม้อื่นอีกก็ได้เกิดขึ้น เพื่อ


ความคิดเห็น 23    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 99

ประโยชน์แก่อนุบัญญัติ. เพื่อแสดงความเกิดขึ้นแห่งเรื่องนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงได้กล่าวคำนี้ไว้ว่า ก็แล สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงบัญญัติแล้ว แก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.

ใจความแห่งเรื่องนั้น และความสัมพันธ์กันแห่งอนุบัญญัติ พึงทราบ โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในปฐมปาราชิกวรรณนานั่นแหละ. ทุกๆ สิกขาบท ถัด จากสิกขาบทนี้ไป ก็พึงทราบเหมือนอย่างในสิกขาบทนี้. จริงอยู่ คำใดๆ ที่ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น ข้าพเจ้าจักละเว้นคำนั้นๆ ทั้งหมดแล้ว พรรณนาเฉพาะคำที่ยังไม่เคยมี ในหนหลังที่สูงๆ ขึ้นไปเท่านั้น. ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าจักพรรณนาคำซึ่งมีนัยดังที่กล่าวแล้วนั้นๆ ซ้ำอีก, เมื่อไร ข้าพเจ้าจัก ถึงการจบลงแห่งการพรรณนาได้เล่า? เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาทั้งหลาย ควร กำหนดคำที่กล่าวไว้แล้วในก่อนนั้นๆ ทั้งหมดให้ดี แล้วทราบใจความและ โยชนาในคำนั้นๆ. อนึ่ง คำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยมี ทั้งมีเนื้อความ ยังไม่กระจ่าง ข้าพเจ้าเองจักพรรณนาคำนั้นทั้งหมด.

จบปฐมบัญญัติทุติยปาราชิก


ความคิดเห็น 24    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 100

เรื่องอนุบัญญัติทุติยปาราชิก

สองบทว่า รชกตฺถรณํ คนฺตฺวา ความว่า ไปสู่ท่าที่ตากผ้าของ ช่างย้อม. จริงอยู่ ท่านั้น เรียกว่า ลานตากผ้าของช่างย้อม เพราะที่ท่านั้นเป็น ที่พวกช่างย้อมลาดผ้าตากไว้.

บทว่า รชกภณฺฑิกํ ได้แก่ ห่อสิ่งของๆ พวกช่างย้อม. เวลาเย็น พวกช่างย้อม เมื่อจะกลับเข้าไปยังเมือง ผูกผ้ามากผืนรวมกันเป็นห่อๆ ไว้, พวก ภิกษุฉัพพัคคีย์ เมื่อช่างย้อมเหล่านั้นไม่เห็น เพราะความเลินเล่อ ก็ได้ลัก อธิบายว่า ขโมยเอาห่อหนึ่งจากห่อนั้นไป.

[อรรถาธิบายบ้านที่มีกระท่อมหลังเดียวเป็นต้น]

คำมีอาทิอย่างนี้ว่า คาโม นาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพื่อ แสดงประเภทแห่งบ้านและป่า ที่พระองค์ตรัสไว้แล้วในคำนี้ว่า จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี. ในคำว่า บ้านแม้มีกระท่อมหลังเดียว เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ : -

ในหมู่บ้านใดมีกระท่อมหลังเดียวเท่านั้น ชื่อว่ามีเรือนหลังเดียว เหมือนในมลัยชนบท บ้านนี้ ชื่อว่า บ้านมีกระท่อมหลังเดียว. บ้านเหล่าอื่น ก็ควรทราบโดยนัยนั้น. บ้านใดเป็นถิ่นที่ยักษ์หวงแหน เพราะไม่มีพวกมนุษย์ โดยประการทั้งปวง หรือพวกมนุษย์อยากจะกลับมาแม้อีกด้วยเหตุบางอย่าง ทีเดียว ก็หลีกไปเสียจากบ้านใด, บ้านนั้น ชื่อว่าไม่มีมนุษย์. บ้านใด ที่เขา ทำกำแพงก่อด้วยอิฐเป็นต้นไว้ โดยที่สุด แม้ล้อมไว้ด้วยหนามและกิ่งไม้, บ้านนั้น ชื่อว่ามีเครื่องล้อม. บ้านใดที่พวกมนุษย์ไม่ได้ตั้งอาศัยอยู่ ด้วยอำนาจ เป็นสถานที่พักอยู่รวมกัน ซึ่งใกล้ถนนเป็นต้น แต่สร้างเรือนไว้ ๒ - ๓ ตัว หลัง แล้วเข้าอาศัยอยู่ในที่นั้นๆ ดุจโคนอนเจ่าอยู่ในที่นั้นๆ ๒ - ๓ ตัว ฉะนั้น


ความคิดเห็น 25    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 101

บ้านนั้น ชื่อว่าที่อยู่อาศัยดุจเป็นที่โคจ่อมเป็นต้น. บรรดาหมู่ต่าง และหมู่ เกวียนเป็นต้น หมู่ใดหมู่หนึ่ง ชื่อว่าสัตถะ. อนึ่ง ในสิกขาบทนี้ นิคมก็ดี บ้านก็ดี พึงทราบว่า ท่านถือเอาด้วย คามศัพท์ทั้งนั้น.

[อรรถาธิบายเขตอุปจารบ้านและเรือนเป็นต้น]

คำว่า อุปจารบ้าน เป็นต้น พระองค์ตรัส เพื่อแสดงการกำหนดป่า.

สองบทว่า อินฺทขีเล ิตสฺส ความว่า ได้แก่บุรุษผู้ยืนอยู่ที่เสา เขื่อนร่วมในแห่งบ้านที่มีเสาเขื่อน ๒ เสา ดุจอนุราธบุรี ฉะนั้น. จริงอยู่ เสาเขื่อนภายนอก แห่งอนุราธบุรีนั้น โดยอภิธรรมนัย ย่อมถึงการนับว่า เป็นป่า. อนึ่ง ได้แก่ บุรุษผู้ยืนอยู่ที่ท่ามกลางแห่งบ้านที่มีเสาเขื่อนเสาเดียว หรือผู้ยืนอยู่ที่ท่ามกลางแห่งบานประตูบ้าน. แท้จริง ในบ้านใด ไม่มีเสาเขื่อน, ตรงกลางแห่งบานประตูบ้าน ในบ้านนั่นแล เรียกว่า เสาเขื่อน. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า ได้แก่ บุรุษผู้ยืนอยู่ที่ท่ามกลาง แห่งบานประตูบ้าน.

บทว่า มชฺฌิมสฺส ความว่า ได้แก่ บุรุษมีกำลังปานกลาง หาใช่ บุรุษขนาดกลางผู้มีกำลังพอประมาณไม่ คือ บุรุษผู้มีกำลังน้อยหามิได้เลย ทั้ง ไม่ใช่บุรุษมีกำลังมาก, มีคำอธิบายว่า ได้แก่ บุรุษผู้มีกำลังกลางคน.

บทว่า เลฑฺฑุปาโต ได้แก่ สถานที่ตกแห่งก้อนดินที่เขา ไม่ได้ขว้างไป เหมือนอย่างมาตุคาม จะให้พวกกาบินหนีไป จึงยกมือขึ้นโยน ก้อนดินไปตรงๆ เท่านั้น และเหมือนอย่างพวกภิกษุวักน้ำสาดไปในโอกาสที่ กำหนดเขตอุทกุกเขป แต่ขว้างไปเหมือนคนหนุ่มๆ จะประลองกำลังของตน จึงเหยียดแขนออกขว้างก้อนดินไป ฉะนั้น. แต่ไม่ควรกำหนดเอาที่ซึ่งก้อนดิน ตกแล้วกลิ้งไปถึง.


ความคิดเห็น 26    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 102

ก็ในคำว่า บุรุษกลางคน ผู้ยืนอยู่ที่อุจารเรือนแห่งบ้านที่ไม่ได้ล้อม ขว้างก้อนดินไปตก๑ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- บุรุษกลางคน ผู้ยืนอยู่ที่ น้ำตกแห่งชายคา โยนกระด้งหรือสากให้ตกไป ชื่อว่า อุปจารเรือน. ใน อรรถกถากุรุนทีท่านกล่าวไว้ว่า บุรุษกลางคนผู้ยืนอยู่ที่อุปจารเรือนนั้น ขว้าง ก้อนดินไปตก ชื่อว่า อุปจารบ้าน. ถึงในอรรถกถามหาปัจจรี ท่านก็กล่าวไว้ เช่นนั้นเหมือนกัน. อนึ่ง ในมหาอรรถกถา ท่านตั้งมาติกาไว้ว่า ชื่อว่าเรือน ชื่อว่าอุปจารเรือน ชื่อว่าบ้าน ชื่อว่าอุปจารบ้าน แล้วกล่าวว่า ภายในที่น้ำตก แห่งชายคา ชื่อว่าเรือน. ส่วนที่ตกแห่งน้ำล้างภาชนะ ซึ่งมาตุคาม ผู้ยืนอยู่ที่ ประตูสาดทิ้งลงมา และที่ตกแห่งกระด้งหรือไม้กวาด ที่มาตุคามเหมือนกันซึ่ง ยืนอยู่ภายในเรือนโยนออกไปข้างนอกตามปกติ และเครื่องล้อมที่เขาต่อที่มุม สองด้านข้างหน้าเรือน ตั้งประตูกลอนไม้ไว้ตรงกลางทำไว้สำหรับกันพวกโค เข้าไป แม้ทั้งหมดนี้ ชื่อว่าอุปจารเรือน. ภายในเลฑฑุบาตของบุรุษมีกำลัง ปานกลาง ผู้ยืนอยู่ที่อุปจารเรือนนั้น ชื่อว่า บ้าน. ภายในเลฑฑุบาตอื่นจาก นั้น ชื่อว่าอุปจารบ้าน. คำที่ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถานี้ ย่อมเป็นประมาณ ในคำนี้ว่า บุรุษมีกำลังปานกลางผู้ยืนอยู่ที่อุปจารเรือนแห่งบ้านที่ไม่ได้ล้อม ขว้างก้อนดินไปตก.๒ เหมือนอย่างว่า คำที่ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถานี้ ย่อมเป็นประมาณในที่นี้ ฉันใด, อรรถกถาวาทะก็ดี เถรวาทะก็ดี ที่ข้าพเจ้า จะกล่าวในภายหลัง ก็พึงเห็นโดยความเป็นประมาณในที่ทั้งปวง ฉันนั้น.

ถามว่า ก็คำที่ท่านกล่าวไว้ในมหาอรรถกถานี้ นั้นปรากฏเหมือนขัด แย้งพระบาลี เพราะในพระบาลี พระองค์ตรัสไว้เพียงเท่านี้ว่า บุรุษมีกำลัง ปานกลาง ผู้ยืนอยู่ที่อุปจารเรือนขว้างก้อนดินไปตก.๓ แต่ในมหาอรรถกถา


๑. วิ. มหา. ๑/๘๕.

๒ - ๓ วิ. มหา. ๑/๘๕.


ความคิดเห็น 27    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 103

ท่านทำเลฑฑุบาตนั้นให้ถึงการนับว่าบ้านแล้วกล่าวอุปจารบ้าน ถัดเลฑฑุบาต นั้นออกไป?

ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :- คำทั้งหมดนั่นแล ท่านกล่าวไว้ใน พระบาลีแล้ว. ส่วนความอธิบายในพระบาลีนี้ ผู้ศึกษาควรทราบ. ก็แล ความอธิบายนั้น พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายเท่านั้นเข้าใจแจ่มแจ้ง. เพราะ เหตุนั้น ลักษณะแห่งอุปจารเรือน แม้มิได้ตรัสไว้ในพระบาลีว่า ผู้ยืนอยู่ที่ อุปจารเรือน ดังนี้ ท่านก็ถือเอาด้วยอำนาจแห่งลักษณะที่กล่าวไว้ในอรรถกถา ฉันใด, แม้ลักษณะแห่งอุปจารเรือนที่เหลือ ก็ควรถือเอาฉันนั้น. ในศัพท์ว่า คามูปจารนั้น ก็ควรทราบนัยดังต่อไปนี้ :- ชื่อว่าบ้านในสิกขาบทนี้ มี ๒ ชนิด คือบ้านที่มีเครื่องล้อม ๑ บ้านที่ไม่มีเครื่องล้อม ๑. ในบ้าน ๒ ชนิดนั้น เครื่องล้อมนั่นเอง เป็นเขตกำหนดของบ้านที่มีเครื่องล้อม. เพราะเหตุนั้น ใน พระบาลี พระองค์จึงไม่ตรัสเขตกำหนดไว้เป็นแผนกหนึ่ง แต่ได้ตรัสไว้ว่า บุรุษผู้มีกำลังปานกลาง ผู้ยืนอยู่ที่เสาเขื่อนแห่งบ้านที่มีเครื่องล้อม ขว้างก้อนดินไปตก ชื่อว่าอุปจารบ้าน๑. ส่วนเขตกำหนดบ้าน แห่งบ้านที่ไม่ได้ล้อม ก็ควรกล่าวไว้ด้วย. เพราะฉะนั้น เพื่อแสดงเขตกำหนดบ้าน แห่งบ้านที่ไม่ได้ ล้อมนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า บุรุษมีกำลังปานกลาง ยืนอยู่ที่อุปจารเรือน แห่งบ้านที่ไม่ได้ล้อม ขว้างก้อนดินไปตก (ชื่อว่าอุปจารบ้าน๒) เมื่อแสดง เขตกำหนดของบ้านไว้แล้วนั่นแล ลักษณะแห่งอุปจารบ้าน ใครๆ ก็อาจ ทราบได้ โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในก่อนทีเดียว ; เพราะฉะนั้น พระองค์จึง ไม่ตรัสซ้ำอีกว่า บุรุษมีกำลังปานกลางยืนอยู่ที่อุปจารเรือนนั้น ขว้างก้อนดิน ไปตก. ฝ่ายอาจารย์ใด กล่าวเลฑฑุบาตของบุรุษมีกำลังปานกลาง ยืนอยู่ที่


๑ - ๒. วิ. มหา. ๑/๘๕.


ความคิดเห็น 28    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 104

อุปจารเรือนนั่นเอง เป็นอุปจารบ้าน ดังนี้, อุปจารเรือนของอาจารย์นั้น ย่อมพ้องกับคำว่า บ้าน. เพราะเหตุนั้น วิภาคนี้ คือ เรือน อุปจารเรือน บ้าน อุปจารบ้าน ย่อมไม่ปะปนกัน. ส่วนข้อวินิจฉัยในเรือน อุปจารเรือน บ้าน และอุปจารบ้านนี้ ผู้ศึกษาควรทราบโดยความไม่ปะปนกัน (ดังที่ท่านกล่าวไว้) ในวิกาเลคามัปปเวสนสิกขาบทเป็นต้น. เพราะฉะนั้น บ้านและอุปจารบ้านใน อทินนาทานสิกขาบทนี้ ผู้ศึกษาควรเทียบเคียงบาลีและอรรถกถาแล้ว ทราบ ตามนัยที่กล่าวไว้แล้วนั่นแหละ. อนึ่ง แม้บ้านใด แต่ก่อนเป็นหมู่บ้านใหญ่ ภายหลัง เมื่อสกุลทั้งหลายสาบสูญไป กลายเป็นหมู่บ้านเล็กน้อย, บ้านนั้น ควรกำหนดด้วยเลฑฑุบาตแต่อุปจารเรือนเหมือนกัน. ส่วนกำหนดเขตเดิม ของบ้านนั้น ทั้งที่มีเครื่องล้อมทั้งที่ไม่มีเครื่องล้อม จะถือเป็นประมาณไม่ได้ เลย ฉะนี้แล.

[อรรถาธิบายกำหนดเขตป่า]

ป่าที่เหลือในอทินนาทานสิกขาบทนี้ เว้นบ้านและอุปจารบ้าน ซึ่งมี ลักษณะตามที่ท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า ที่ชื่อว่าป่า คือ เว้นบ้านและอุปจารบ้านเสีย พึงทราบว่า ชื่อว่าป่า. แต่ในคัมภีร์อภิธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า คำว่า ป่า นั้น ได้แก่ ที่ภายนอกจากเสาเขื่อนออกไป นั้นทั้งหมด ชื่อว่า ป่า (๑) พระองค์ตรัสไว้ในอรัญญสิขาบทว่า เสนาสนะที่สุดไกลประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู ชื่อว่า เสนาสนะป่า (๒) พึงทราบว่า เสนาสนะป่านั้น นับแต่เสาเขื่อนออกไป มีระยะไกลประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู โดยธนูของอาจารย์ที่ท่านยกขึ้นไว้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกเนื้อความแห่งคำนี้ว่า จากบ้าน ก็ดี จากป่าก็ดี โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในพระบาลีอย่างนั้น จึงทรงแสดงส่วน ทั้ง ๕ ไว้ เพื่อป้องกันความอ้างเลศและโอกาสของเหล่าบาปภิกษุว่า เรือน


๑. อภิ. วิ. ๓๕/๓๓๘ ขุ. ปฏิ. ๓๑/๒๖๔.

๒. วิ. มหา. ๒/๑๔๖.


ความคิดเห็น 29    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 105

อุปจารเรือน บ้าน อุปจารบ้าน (และ) ป่า. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า เมื่อ ภิกษุลักสิ่งของที่มีเจ้าของตั้งแต่มีราคาบาทหนึ่งขึ้นไปในเรือนก็ดี อุปจารเรือน ก็ดี บ้านก็ดี อุปจารบ้านก็ดี ป่าก็ดี เป็นปาราชิกเหมือนกัน.

[อรรถาธิบายสิ่งของที่เจ้าของมีกรรมสิทธิ์อยู่]

บัดนี้ เพื่อแสดงเนื้อความแห่งคำเป็นต้นว่า พึงถือเอาทรัพย์อันเจ้าของ ไม่ได้ให้ ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย ดังนี้ พระองค์จึงตรัสว่า อทินฺนํ นาม เป็นต้น. ในคำว่า อทินฺนํ นาม เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- ในทันตโปณสิกขาบท แม้สิ่งของๆ ตนที่ยังไม่รับประเคน ซึ่งเป็นกัปปิยะ แต่เป็น ของที่ไม่ควรกลืนกิน เรียกว่า ของที่เขายังไม่ได้ให้. แต่ในสิกขาบทนี้ สิ่งของ อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ผู้อื่นหวงแหน ซึ่งเจ้าของ เรียกว่า สิ่งของอันเจ้าของ ไม่ได้ให้. สิ่งของนี้นั้น อันเจ้าของเหล่านั้นไม่ได้ให้ ด้วยกายหรือวาจา เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสิ่งของอันเจ้าของไม่ได้ให้. ชื่อว่า อันเขายังไม่ได้ละวาง เพราะว่าเจ้าของยังไม่ได้สละพ้นจากมือของตน หรือจากที่ๆ ตั้งอยู่เดิม. ชื่อว่า อันเจ้าของยังไม่ได้สละทิ้ง เพราะว่า แม้ทรัพย์ตั้งอยู่ในที่เดิมแล้ว แต่เจ้าของ ก็ยังไม่ได้สละทิ้ง เพราะยังไม่หมดความเสียดาย. ชื่อว่าอันเจ้าของรักษาอยู่ เพราะเป็นของที่เจ้าของยังรักษาไว้ โดยจัดแจงการอารักขาอยู่. ชื่อว่าอันเขา ยังคุ้มครองอยู่ เพราะเป็นของที่เจ้าของใส่ไว้ในที่ทั้งหลายมีตู้เป็นต้นแล้ว ปกครองไว้. ชื่อว่า อันเขายังถือว่าเป็นของเรา เพราะเป็นของที่เจ้าของยังถือ กรรมสิทธิ์ว่าเป็นของเรา โดยความถือว่าของเราด้วยอำนาจตัณหาว่า ทรัพย์นี้ ของเรา. ชื่อว่า ผู้อื่นหวงแหน เพราะว่า เป็นของอันชนเหล่าอื่นผู้เป็นเจ้าของ ทรัพย์เหล่านั้นยังหวงแหนไว้ ด้วยกิจมีอันยังไม่ทิ้ง ยังรักษา และปกครอง อยู่เป็นต้นเหล่านั้น. ทรัพย์นั่นชื่อว่าอันเจ้าของไม่ได้ให้.


ความคิดเห็น 30    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 106

[อรรถาธิบายสังขาตศัพท์ลงในอรรถตติยาวิภัตติ]

ในบทว่า เถยฺยสงฺขาตํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- โจร ชื่อว่า ขโมย. ความเป็นแห่งขโมย ชื่อว่า เถยฺยํ. บทว่า เถยฺยํ นี้ เป็นชื่อแห่งจิตคิดจะลัก. สองบทว่า สงฺขา สงฺขาตํ นั้น โดยเนื้อความก็เป็นอันเดียวกัน. บทว่า สงฺขาตํ นั้น เป็นชื่อแห่งส่วน เหมือนสังขาตศัพท์ในอุทาหรณ์ทั้งหลายว่า ก็ส่วนแห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าทั้งหลาย มีสัญญาเป็นเหตุ ดังนี้เป็นต้น. ส่วน นั้นด้วยความเป็นขโมยด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เถยฺยสงฺขาตํ. อธิบายว่า ส่วนแห่งจิตดวงหนึ่งซึ่งเป็นส่วนแห่งจิตเป็นขโมย. ก็คำว่า เถยฺยสงฺขาตํ นี้ เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ ; เพราะฉะนั้นบัณฑิตพึงเห็น โดยเนื้อความว่า เถยฺยสงฺขาเตน แปลว่า ด้วยส่วนแห่งความเป็นขโมย ดังนี้.

ก็ภิกษุใด ย่อมถือเอา (ทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้) ด้วยส่วนแห่งความ เป็นขโมย, ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้มีจิตแห่งความเป็นขโมย ; เพราะฉะนั้น เพื่อ ไม่คำนึงถึงพยัญชนะแสดงเฉพาะแต่ใจความเท่านั้น พึงทราบว่า พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า เถยฺยสงฺขาตํ นั้นไว้อย่างนี้ว่า ผู้มีจิต แห่งความเป็นขโมย คือ ผู้มีจิตคิดลัก ดังนี้.

[อรรถาธิบายบทมาติกา ๖ บท]

ก็ในคำว่า อาทิเยยฺยฯ เปฯ สงฺเกตํ วีตินาเมยฺย นี้ บัณฑิต พึงทราบว่า บทแรกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจการตู่เอา, บทที่ ๒ ตรัสด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้นำเอาทรัพย์ของบุคคลเหล่าอื่นไป, บทที่ ๓ ตรัส ด้วยอำนาจแห่งทรัพย์ที่เขาฝังไว้, บทที่ ๔ ตรัสด้วยอำนาจแห่งทรัพย์ที่มี วิญญาณ, บทที่ ๕ ตรัสด้วยอำนาจแห่งทรัพย์ที่เขาเก็บไว้บนบกเป็นต้น, บทที่ ๖ ตรัสด้วยอำนาจแห่งความกำหนดหมาย หรือด้วยอำนาจแห่งด่านภาษี.


ความคิดเห็น 31    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 107

อนึ่ง ในคำว่า อาทิเยยฺย เป็นต้นนี้ การประกอบความย่อมมี ด้วย อำนาจสิ่งของสิ่งเดียวบ้าง ด้วยอำนาจสิ่งของต่างๆ บ้าง. ก็แล ความประกอบ ด้วยอำนาจสิ่งของสิ่งเดียว ย่อมใช้ได้ด้วยทรัพย์ที่มีวิญญาณเท่านั้น. ความ ประกอบด้วยอำนาจสิ่งต่างๆ ย่อมใช้ได้ด้วยทรัพย์ที่ปนกันทั้งที่มีวิญญาณทั้งที่ ไม่มีวิญญาณ. บรรดาความประกอบด้วยอำนาจสิ่งของสิ่งเดียวและสิ่งของต่างๆ นั้น ความประกอบด้วยอำนาจสิ่งของต่างๆ บัณฑิตควรทราบโดยนัยอย่างนี้ก่อน.

[อรรถาธิบายกิริยาแห่งการลัก ๖ อย่าง]

บทว่า อาทิเยยฺย ความว่า ภิกษุตู่เอาที่สวน ต้องอาบัติทุกกฎ. ยังความสงสัยให้เกิดขึ้นแก่เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย. เจ้าของทอดธุระว่า สวนนี้จักไม่เป็นของเราละ ต้องอาบัติปาราชิก.

บทว่า หเรยฺย ความว่า ภิกษุมีไถยจิตนำทรัพย์ของผู้อื่นไปลูบคลำ ภาระบนศีรษะ ต้องอาบัติทุกกฎ. ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย. ลดลงมาสู่คอ ต้องอาบัติปาราชิก.

บทว่า อวหเรยฺย ความว่า ภิกษุรับของที่เขาฝากไว้ เมื่อเจ้าของ ทวงขอคืนว่า ทรัพย์ที่ข้าพเจ้าฝากไว้มีอยู่, ท่านจงคืนทรัพย์ให้แก่ข้าพเจ้า กล่าวปฏิเสธว่า ฉันไม่ได้รับไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ. ยังความสงสัยให้เกิดขึ้นแก่ เจ้าของ ต้องอาบัติถุลลัจจัย. เจ้าของทอดธุระว่า ภิกษุรูปนี้ จักไม่คืนให้แก่เรา ต้องอาบัติปาราชิก.

สองบทว่า อิริยาปถํ วิโกเปยฺย ความว่า ภิกษุคิดว่า เราจักนำ ไปทั้งของทั้งคนขน ให้ย่างเท้าที่หนึ่งก้าวไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้ย่างเท้า ที่สองก้าวไป ต้องอาบัติปาราชิก.


ความคิดเห็น 32    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 108

สองบทว่า านา จาเวยฺย ความว่า ภิกษุมีไถยจิต ลูบคลำของ ที่ตั้งอยู่บนบก ต้องอาบัติทุกกฏ. ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย. ให้เคลื่อน จากที่ ต้องอาบัติปาราชิก.

สองบทว่า สงฺเกตํ วีตินาเมยฺย ความว่า ภิกษุยังเท้าที่หนึ่งให้ ก้าวล่วงเลยที่กำหนดไว้ไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย. ให้เท้าที่สองก้าวล่วงไป ต้อง อาบัติปาราชิก. อีกอย่างหนึ่ง ยังเท้าที่หนึ่งให้ก้าวล่วงด่านภาษีไป ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย. ยังเท้าที่สองให้ก้าวล่วงไป ต้องอาบัติปาราชิก ฉะนั้นแล. นี้เป็น ความประกอบด้วยอำนาจนานาภัณฑะ ในบทว่า อาทิเยยฺย เป็นต้นนี้.

ส่วนความประกอบอำนาจเอกภัณฑะ พึงทราบดังนี้ :- ทาสก็ดี สัตว์ดิรัจฉานก็ดี ซึ่งมีเจ้าของ ภิกษุตู่เอาก็ดี ลักไปก็ดี ฉ้อไปก็ดี ให้อิริยาบถ กำเริบก็ดี ให้เคลื่อนจากฐานก็ดี ให้ก้าวล่วงเลยที่กำหนดไปก็ดี โดยนัยมีตู่เอา เป็นต้น ตามที่กล่าวแล้ว. นี้เป็นความประกอบด้วยอำนาจเอกภัณฑะ ในบทว่า อาทิเยยฺย เป็นต้นนี้.

อีกอย่างหนึ่ง เมื่อบัณฑิตบรรยายบททั้งหลาย ๖ เหล่านี้ พึงประมวล ปัญจกะ ๕ หมวดมาแล้วแสดงอวหาร ๒๕ อย่าง. เพราะเมื่อบรรยายอย่างนี้ ย่อมเป็นอันบรรยายอทินนาทานปาราชิกนี้แล้วด้วยดี. แต่ในที่นี้ อรรถกถา ทั้งปวง ยุ่งยากฟั่นเฝือ มีวินิจฉัยเข้าใจยาก. ความจริงเป็นดังนั้น ในบรรดา อรรถกถาทั้งปวง ท่านพระอรรถกถาจารย์ รวมองค์แห่งอวหารทั้งหลาย แม้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ในพระบาลีโดยนัยว่า ภิกษุถือเอาสิ่งของที่ เขาไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ ต้องอาบัติปาราชิก ทั้งสิ่งของนั้นเป็นสิ่งของที่ผู้อื่น หวงแหน ดังนี้เป็นต้น ในที่บางแห่ง แสดงไว้ในปัญจกะเดียว. ในที่บางแห่ง แสดงไว้สองปัญจกะควบเข้ากับองค์แห่งอวหารทั้งหลายที่มาแล้วว่า ฉหากาเรหิ


ความคิดเห็น 33    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 109

ด้วยอาการ ๖ ดังนี้. แต่ปัญจกะเหล่านี้ ย่อมหาเป็นปัญจกะไม่. เพราะใน หมวดซึ่งอวหารย่อมสำเร็จได้ด้วยบทหนึ่งๆ นั้น ท่านเรียกว่า ปัญจกะ. ก็ใน คำว่า ปญฺจหากาเรหิ นี้ อวหารอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมสำเร็จไว้ด้วยบท แม้ทั้งหมด. ก็ปัญจกะทั้งหมดเหล่าใด ที่ท่านมุ่งหมายใน ๖ บทนั้นข้าพเจ้า แสดงไว้แล้ว, แต่ข้าพเจ้ามิได้ประกาศอรรถแห่งปัญจกะแม้เหล่านั้นทั้งหมดไว้. ในที่นี้ อรรถกถาทั้งปวงยุ่งยากฟั่นเฝือ มีวินิจฉัยเข้าใจยาก ด้วยประการฉะนี้. เพราะฉะนั้น พึงกำหนดอวหาร ๒๕ ประการเหล่านี้ ที่ข้าพเจ้าประมวลปัญจกะ ๕ หมวด มาแล้วแสดงไว้ให้ดี.

[ปัญจกะ ๕ หมวดๆ ละ ๕ๆ รวมเป็นอวหาร ๒๕]

ที่ชื่อว่า ปัญจกะ ๕ คือ หมวดแห่งอวหาร ๕ ที่กำหนดด้วยภัณฑะ ต่างกันเป็นข้อต้น ๑ หมวดแห่งอวหาร ๕ ที่กำหนดด้วยภัณฑะชนิดเดียวเป็น ข้อต่าง ๑ หมวดแห่งอวหาร ๕ ที่กำหนดด้วยอวหารที่เกิดแล้วด้วยมือของตน เป็นข้อต้น ๑ หมวดแห่งอวหาร ๕ ที่กำหนดด้วยบุพประโยคเป็นข้อต้น ๑ หมวดแห่งอวหาร ๕ ที่กำหนดด้วยการลักด้วยอาการขโมยเป็นข้อต้น ๑. บรรดา ปัญจกะทั้ง ๕ นั้น นานาภัณฑปัญจกะ และเอกภัณฑปัญจกะ ย่อมได้ด้วย อำนาจแห่งบทเหล่านี้ คือ อาทิเยยฺย พึงตู่เอา ๑ หเรยฺย พึงลักไป ๑ อวหเรยฺย พึงฉ้อเอา ๑ อิริยาปถํ วิโกเปยฺย พึงยังอิริยาบถให้กำเริบ ๑ านา จาเวยฺย พึงให้เคลื่อนจากฐาน ๑. ปัญจกะทั้งสองนั้น ผู้ศึกษาพึง ทราบโดยนัยดังที่ข้าพเจ้าประกอบแสดงไว้แล้วในเบื้องต้นนั่นแล. ส่วนบทที่ ๖ ว่า สงเกตํ วีตินาเมยฺย (พึงให้ล่วงเลยเขตกำหนดหมาย) นั้น เป็นของ ทั่วไปแก่ปริกัปปาวหาร และนิสสัคคิยาวหาร. เพราะฉะนั้น พึงประกอบบท ที่ ๖ นั้น เข้าด้วยอำนาจบทที่ได้อยู่ในปัญจกะที่ ๓ และที่ ๕. นานาภัณฑ- ปัญจกะ และเอกภัณฑปัญจกะ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว.


ความคิดเห็น 34    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 110

[สาหัตถิกปัญจกะ มีอวหาร ๖ อย่าง]

สาหัตถิกปัญจกะ เป็นไฉน? คือ สาหัสถิกปัญจกะ มีอวหาร ๕ อย่าง ดังนี้ คือ สาหัตถิกะ ถือเอาด้วยมือของตนเอง ๑ อาณัตติกะสั่งบังคับ ๑ นิสสัคคิยะ ซัดขว้างสิ่งของไป ๑ อัตถสาธกะ ยังอรรถให้สำเร็จ ๑ ธุรนิกเขปะ เจ้าของทอดธุระ ๑.

บรรดาอวหาร ๕ อย่างนั้น ที่ชื่อว่า สาหัตถิกะ ได้แก่ ภิกษุลักสิ่งของ ของผู้อื่น ด้วยมือของตนเอง. ที่ชื่อว่า อาณัตติกะ ได้แก่ ภิกษุสั่งบังคับผู้อื่น ว่า จงลักสิ่งของของคนชื่อโน้น. ชื่อว่า นิสสัคคิยะ ย่อมได้การประกอบบทนี้ว่า พึงให้ล่วงเลยเขตกำหนดหมาย รวมกับคำนี้ว่า ภิกษุยืนอยู่ภายในด่านภาษี โยนทรัพย์ให้ตกนอกด่านภาษี ต้องอาบัติปาราชิก * ดังนี้. ที่ชื่อว่า อัตถสาธกะ ได้แก่ ภิกษุสั่งบังคับว่า ท่านอาจลักสิ่งของชื่อโน้นมาได้ ในเวลาใด, จงลัก มาในเวลานั้น. บรรดาภิกษุผู้สั่งบังคับและภิกษุผู้ลัก ถ้าภิกษุผู้รับสั่ง ไม่มี อันตรายในระหว่าง ลักของนั้นมาได้, ภิกษุผู้สั่งบังคับ ย่อมเป็นปาราชิกใน ขณะที่สั่งนั่นเอง ส่วนภิกษุผู้ลัก เป็นปาราชิกในเวลาลักได้แล้ว นี้ชื่อว่า อัตถสาธกะ. ส่วนธุรนิกเขปะ พึงทราบด้วยอำนาจทรัพย์ที่เขาฝากไว้ ฉะนั้นแล. คำอธิบายมานี้ ชื่อว่า สาหัตถิกปัญจกะ.

[บุพประโยคปัญจกะ มีอวหาร ๕ อย่าง]

บุพประโยคปัญจกะ เป็นไฉน? คือ บุพประโยคปัญจกะ มีอวหาร แม้อื่นอีก ๕ อย่าง ดังนี้ คือ บุพประโยค ประกอบในเบื้องต้น ๑ สหประโยค ประกอบพร้อมกัน ๑ สังวิธาวหาร การชักชวนไปลัก ๑ สังเกตกรรม การ นัดหมายกัน ๑ นิมิตตกรรม การทำนิมิต ๑. บรรดาอวหารทั้ง ๕ เหล่านั้น


* วิ. มหา. ๑/๙๖.


ความคิดเห็น 35    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 111

บุพประโยค พึงทราบด้วยอำนาจสั่งบังคับ. สหประโยค พึงทราบด้วยอำนาจ การให้เคลื่อนจากฐาน. ส่วนอวหารทั้ง ๓ นอกนี้ พึงทราบโดยนัยที่มาแล้ว ในพระบาลีนั่นแล. คำอธิบายมานี้ ชื่อว่า บุพประโยคปัญจกะ.

[เถยยาวหารปัญจกะ มีอวหาร ๕ อย่าง]

เถยยาวหารปัญจกะ เป็นไฉน? คือ เถยยาวหารปัญจกะ มีอวหาร แม้อื่นอีก ๕ อย่าง ดังนี้ คือ เถยยาวหาร ลักด้วยความเป็นขโมย ๑ ปสัยหาวหาร ลักด้วยความกดขี่ ๑ ปริกัปปาวหาร ลักตามความกำหนดไว้ ๑ ปฏิจ- ฉันนาวหาร ลักด้วยอิริยาปกปิด ๑ กุสาวหาร ลักด้วยการสับเปลี่ยนสลาก ๑. อวหารทั้ง ๕ เหล่านั้น ข้าพเจ้าจักพรรณนาในเรื่องการสับเปลี่ยนสลาก เรื่อง หนึ่ง (ข้างหน้า) ว่า ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อจีวรของสงฆ์ อันภิกษุจีวรภาชกะ แจกอยู่ มีไถยจิตสับเปลี่ยนสลาก แล้วรับเอาจีวรไป * ดังนี้. คำที่อธิบายมานี้ ชื่อว่า เถยยาวหารปัญจกะ. พึงประมวลปัญจกะทั้งหลายเหล่านี้ แล้วทราบ อวหาร ๒๕ ประการเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.

ก็แล พระวินัยธรผู้ฉลาดในปัญจกะ ๕ เหล่านี้ ไม่พึงด่วนวินิจฉัย อธิกรณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว พึงตรวจดูฐานะ ๕ ประการ ซึ่งพระโบราณาจารย์ ทั้งหลายมุ่งหมายกล่าวไว้ว่า

พระวินัยธรผู้ฉลาด พึงสอบสวนฐานะ ๕ ประการ คือ วัตถุ กาละ เทสะ ราคา และการใช้สอยเป็นที่ ๕ แล้วพึงทรงอรรถคดีไว้ ดังนี้.


* วิ. มหา. ๑/๑๐๙


ความคิดเห็น 36    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 112

[อรรถาธิบายฐานะ ๕ ประการ]

บรรดาฐานะทั้ง ๕ นั้น ฐานะว่า วัตถุ ได้แก่ ภัณฑะ. ก็เมื่อภิกษุ ผู้ลัก แม้รับเป็นสัตย์ว่า ภัณฑะชื่อนี้ ผมลักไปจริง พระวินัยธร อย่าพึงยก อาบัติขึ้นปรับทันที, พึงพิจารณาว่า ภัณฑะนั้นมีเจ้าของหรือหาเจ้าของมิได้. แม้ในภัณฑะที่มีเจ้าของ ก็พิจารณาว่า เจ้าของยังมีอาลัยอยู่ หรือไม่มีอาลัย แล้ว. ถ้าภิกษุลักในเวลาที่เจ้าของเหล่านั้น ยังมีอาลัย พระวินัยธร พึงตีราคา ปรับอาบัติ. ถ้าลักในเวลาที่เจ้าของหาอาลัยมิได้ ไม่พึงปรับอาบัติปาราชิก. แต่เมื่อเจ้าของภัณฑะให้นำภัณฑะมาคืน พึงให้ภัณฑะคืน. อันนี้เป็นความ ชอบในเรื่องนี้.

[เรื่องภิกษุลักจีวรพระวินัยธรตัดสินว่าไม่เป็นอาบัติ]

ก็เพื่อแสดงเนื้อความนี้ ควรนำเรื่องมาสาธกดังต่อไปนี้ :- ได้ยินว่า ในรัชกาลแห่งพระเจ้าภาติยราช มีภิกษุรูปหนึ่ง พาดผ้ากาสาวะสีเหลืองยาว ๗ ศอก ไว้ที่จะงอยบ่าแล้วเข้าไปยังลานพระเจดีย์จากทิศทักษิณ เพื่อบูชา พระมหาเจดีย์. ขณะนั้นเอง แม้พระราชาก็เสด็จมาเพื่อถวายบังคมพระเจดีย์. เวลานั้น เมื่อกำลังไล่ต้อนหมู่ชนไป ความอลเวงแห่งมหาชน ก็ได้มีขึ้นแล้ว. คราวนั้นแล ภิกษุรูปนั้น ถูกความอลเวงแห่งมหาชนรบกวนแล้ว ไม่ทันได้ เห็นผ้ากาสาวะ ซึ่งพลัดตกไปจากจะงอยบ่าเลย ก็ได้เดินออกไป. ก็แล ครั้น เดินออกไปแล้ว เมื่อไม่เห็นผ้ากาสาวะ ก็ทอดธุระว่า ใคร จะหาผ้ากาสาวะได้ ในเมื่อฝูงชนอลเวงอยู่เช่นนี้, บัดนี้ ผ้ากาสาวะนั้น ไม่ใช่ของเรา ดังนี้แล้ว ก็เดินออกไป. คราวนั้น มีภิกษุรูปอื่นเดินมาภายหลัง ได้เห็นผ้ากาสาวะนั้นแล้ว ก็ถือเอาด้วยไถยจิต แต่กลับมีความเดือดร้อนขึ้น, เมื่อเกิดความคิดขึ้นว่า บัดนี้ เราไม่เป็นสมณะ, เราจักสึก แล้วจึงคิดว่า จักถามพระวินัยธรทั้งหลายดู


ความคิดเห็น 37    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 113

จึงจักรู้ได้. ก็โดยสมัยนั้น มีภิกษุผู้ทรงพระปริยัติทั้งปวง ชื่อจูฬสุมนเถระ เป็นปาโมกขาจารย์ทางพระวินัย พักอยู่ในมหาวิหาร. ภิกษุรูปนั้นเข้าไปหา พระเถระแล้วไหว้ ขอโอกาสแล้ว จึงได้เรียนถามข้อสงสัยของตน. พระเถระ ทราบความที่ผ้ากาสาวะอันภิกษุผู้มาภายหลังรูปนั้นถือเอาในเมื่อฝูงชนแยกกัน ไปแล้ว คิดว่า คราวนี้ ก็มีโอกาสในการได้ผ้ากาสาวะนี้ จึงได้กล่าวว่า ถ้า คุณพึงนำภิกษุผู้เป็นเจ้าของผ้ากาสาวะมาได้ไซร้ ; ข้าพเจ้าอาจทำที่พึ่งให้แก่คุณ ได้. ภิกษุรูปนั้นเรียนว่า กระผมจักเห็นท่านรูปนั้นได้อย่างไร? ขอรับ!. พระเถระสั่งว่า คุณจงไปค้นดูในที่นั้นๆ เถิด. เธอรูปนั้น ค้นดูมหาวิหารทั้ง ๕ แห่ง ก็มิได้พบเห็นเลย. ทีนั้น พระเถระถามเธอรูปนั้นว่า พวกภิกษุพา กัน มาจากทิศไหนมาก?. เธอรูปนั้นเรียนว่า จากทิศทักษิณ ขอรับ!. พระ เถระสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงวัดผ้ากาสาวะทั้งโดยส่วนยาวและโดยส่วนกว้าง แล้วเก็บไว้ ครั้นเก็บแล้วจงค้นหาดูตามลำดับวิหารทางด้านทิศทักษิณ แล้วนำ ภิกษุรูปนั้นมา. เธอรูปนั้น ทำตามคำสั่งนั้นแล้ว ก็ได้พบภิกษุรูปนั้น แล้ว ได้นำมายังสำนักพระเถระ. พระเถระถามว่า นี้ผ้ากาสาวะของเธอหรือ? ภิกษุ เจ้าของผ้าเรียนว่า ใช่ขอรับ!. พระเถระถามว่า เธอทำให้ตก ณ ที่ไหน. เธอรูปนั้นก็เรียนบอกเรื่องทั้งหมดแล้ว. พระเถระได้ฟังการทอดธุระที่เธอนั้น ทำแล้ว จึงถามรูปที่ถือเอาผ้านอกนี้ว่า เธอได้เห็นผ้าผืนนี้ที่ไหน จึงได้ถือเอา? แม้เธอนั้น ก็เรียนบอกเรื่องทั้งหมด. ต่อจากนั้น พระเถระจึงกล่าวกะภิกษุ รูปที่ถือเอาผ้านั้นว่า ถ้าเธอจักได้ถือเอาด้วยจิตบริสุทธิ์แล้วไซร้, เธอก็ไม่พึง เป็นอาบัติเลย, แต่เพราะถือเอาด้วยไถยจิต เธอจึงต้องอาบัติทุกกฎ, ครั้น เธอแสดงอาบัติทุกกฎนั้นแล้ว จักเป็นผู้ไม่มีอาบัติ. อนึ่ง เธอจงทำผ้ากาสาวะ ผืนนี้ให้เป็นของตน แล้วถวายคืนแก่ภิกษุรูปนั้นนั่นเถิด. ภิกษุรูปนั้นได้ประสบ


ความคิดเห็น 38    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 114

ความเบาใจเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับได้รดด้วยน้ำอมฤต ฉะนั้น. พระวินัยธร พึงสอดส่องถึงวัตถุอย่างนี้.

ฐานะว่า กาล คือ กาลที่ลัก. ด้วยว่าภัณฑะนั้นๆ บางคราวมีราคา พอสมควร บางคราวมีราคาแพง. เพราะฉะนั้น ภัณฑะนั้น พระวินัยธร พึงปรับอาบัติตามราคาของในกาลที่ภิกษุลัก. พึงสอดส่องถึงกาลอย่างนี้.

ฐานะว่า ประเทศ คือ ประเทศที่ลัก. ก็ภัณฑะนั่น ภิกษุลักใน ประเทศได, พระวินัยธรพึงปรับอาบัติตามราคาของในประเทศนั้นนั่นแหละ. ด้วยว่าในประเทศที่เกิดของภัณฑะ ภัณฑะย่อมมีราคาพอสมควร ในประเทศ อื่น ย่อมมีราคาแพง.

ก็เพื่อแสดงเนื้อความแม้นี้ ควรสาธกเรื่องดังต่อไปนี้ :- ได้ยินว่า ในประเทศคาบฝั่งสมุทร มีภิกษุรูปหนึ่ง ได้มะพร้าวมีสัณฐานดี จึงให้กลึง ทำเป็นกระบวยน้ำ ที่น่าพอใจ เช่นกับเปลือกสังข์ แล้ววางไว้ที่ประเทศนั้น นั่นเอง จึงได้ไปยังเจติยคีรีวิหาร. คราวนั้น มีภิกษุรูปอื่นได้ไปยังประเทศ คาบฝั่งสมุทร พักอยู่ที่วิหารนั้น พอเห็นกระบวยนั้น จึงได้ถือเอาด้วยไถยจิต แล้วก็มายังเจติยคีรีวิหารนั่นเอง. เมื่อเธอรูปนั้นดื่มข้าวยาคูอยู่ที่เจติยคีรีวิหาร นั้น ภิกษุเจ้าของกระบวย ได้เห็นกระบวยนั้นเข้า จึงกล่าวว่า คุณได้กระบวย นี้มาจากไหน? ภิกษุรูปที่ถือมานั้น ตอบว่า ผมนำมาจากประเทศคาบฝั่งสมุทร. ภิกษุเจ้าของกระบวยนั้น กล่าวว่า กระบวยนี้ ไม่ใช่ของคุณ; คุณถือเอาด้วย ความเป็นขโมย ดังนี้แล้ว จึงได้ฉุดคร่าไปยังท่ามกลางสงฆ์. ในเจติยคีรีวิหาร นั้น ภิกษุทั้งหลายก็ไม่ได้รับความชี้ขาด จึงได้พากันกลับมายังมหาวิหาร. เธอทั้งหลายให้ตีกลองประกาศในมหาวิหาร แล้วทำการประชุมใกล้มหาเจดีย์ เริ่มวินิจฉัยกัน. พระเถระผู้ทรงพระวินัยทั้งหลาย ก็ได้บัญญัติอวหารไว้แล้ว.


ความคิดเห็น 39    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 115

ก็แล ภิกษุผู้ฉลาดในพระวินัย ชื่ออาภิธรรมิกโคทัตตเถระ ก็มีอยู่ในสันนิบาต นั้นด้วย. พระเถระนั้น กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้ลักกระบวยนี้ในที่ไหน? ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า เธอลักที่ประเทศคาบฝั่งสมุทร. พระเถระถามว่า ที่ ประเทศนั้น กระบวยนี้ มีค่าเท่าไร? ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า ไม่มีค่าอะไรๆ. พระเถระกล่าวว่า ความจริง ที่ประเทศนั้น พวกประชาชนปอกมะพร้าวเคี้ยว กินเยื่อข้างใน แล้วก็ทิ้งกระลาไว้, ก็กระลานั้นกระจายอยู่เพื่อเป็นฟืน (เท่า นั้น). พระเถระถามต่อไปว่า หัตถกรรมในกระบวยนี้ ของภิกษุรูปนี้ มีค่า เท่าไร? ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า มีค่าหนึ่งมาสก หรือหย่อนกว่าหนึ่งมาสก. พระเถระถามว่า ก็มีในที่ไหนบ้าง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติ ปาราชิกไว้ เพราะหนึ่งมาสก หรือหย่อนกว่าหนึ่งมาสก? เมื่อพระเถระกล่าว อย่างนี้แล้ว ก็ได้มีสาธุการเป็นอันเดียวกันว่า ดีละๆ พระคุณท่านกล่าวชอบ แล้ว วินิจฉัยถูกต้องดีแล้ว. ก็คราวนั้น แม้พระเจ้าภาติยราช ก็เสด็จออกจาก พระนครเพื่อถวายบังคมพระเจดีย์ ได้สดับเสียงนั้น จึงตรัสถามว่า นี้เรื่อง อะไรกัน ครั้นได้สดับเรื่องทั้งหมดตามลำดับแล้ว จึงทรงรับสั่งให้เที่ยวตีกลอง ประกาศในพระนครว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ อธิกรณ์ของพวกภิกษุบ้าง พวก ภิกษุณีบ้าง พวกคฤหัสถ์บ้าง ที่พระอาภิธรรมิกโคทัตตเถระตัดสินแล้ว เป็น อันตัดสินถูกต้องดี เราจะลงราชอาญาคนผู้ไม่ตั้งอยู่ในคำตัดสินของท่าน. พึง สอดส่องถึงประเทศอย่างนี้.

[พระวินัยธรควรสอดส่องราคาและการใช้สอย]

ฐานะว่า ราคา คือ ราคาของ. ด้วยว่า ภัณฑะใหม่ ย่อมมีราคา ภายหลัง ราคาย่อมลดลงได้. เหมือนบาตรที่ระบมใหม่ ย่อมมีราคาถึง ๘ หรือ ๑๐ กหาปณะ, ภายหลัง บาตรนั้น มีช่องทะลุ หรือถูกหมุดและปมทำลาย


ความคิดเห็น 40    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 116

ย่อมมีราคาน้อย ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระวินัยธรไม่พึงตีราคาของด้วยราคา ตามปกติเสมอไป ทีเดียวแล. พึงสอดส่องถึงราคาอย่างนี้.

ฐานะว่า การใช้สอย คือ การใช้สอยภัณฑะ. ด้วยว่าราคาของภัณฑะมีมีดเป็นต้น ย่อมลดราคาลง แม้เพราะการใช้สอย. เพราะฉะนั้น พระ วินัยธรควรพิจารณาอย่างนี้ ; คือ ถ้าภิกษุบางรูปลักมีดของใครๆ มา ซึ่งมี ราคาได้บาทหนึ่ง, บรรดาเจ้าของและผู้มิใช่เจ้าของมีดเหล่านั้น พระวินัยธร พึงถามเจ้าของมีดว่า ท่านซื้อมีดนี้มาด้วยราคาเท่าไร? เจ้าของมีด เรียนว่า บาทหนึ่งขอรับ!. พระวินัยธร ถามว่า ก็ท่านซื้อมาแล้วเก็บไว้ หรือใช้มีดบ้าง. ถ้าเจ้าของมีดเรียนว่า ผมใช้ตัดไม้สีฟันบ้าง สะเก็ดน้ำย้อมบ้าง ฟืนระบมบาตร บ้าง ดังนี้ไซร้ คราวนั้น พระวินัยธรพึงทราบว่า มีดนั้นเป็นของเก่า มีราคา ตกไป มีดย่อมมีราคาตกไป ฉันใด, ยาหยอดตาก็ดี ไม้ป้ายตาหยอดตาก็ดี กุญแจก็ดี ย่อมมีราคาตกไป ฉันนั้น แม้เพราะเหตุเพียงถูขัดทำให้สะอาด ด้วยใบไม้ แกลบ หรือด้วยผงอิฐเพียงครั้งเดียว. ก้อนดีบุกย่อมมีราคาตกไป เพราะการตัดด้วยฟันมังกรบ้าง เพราะเพียงการขัดถูบ้าง, ผ้าอาบน้ำ ย่อมมี ราคาตกไป เพราะการนุ่งห่มเพียงครั้งเดียวบ้าง เพราะเพียงพาดไว้บนจะงอย บ่าบ้าง หรือบนศีรษะ โดยมุ่งถึงการใช้สอยบ้าง, วัตถุทั้งหลายมีข้าวสารเป็นต้น ย่อมมีราคาตกไป เพราะการฝัดบ้าง เพราะการคัดออกทีละเม็ดหรือสองเม็ด จากข้าวสารเป็นต้นนั้นบ้าง โดยที่สุด เพราะการเก็บก้อนหินและก้อนกรวดทิ้ง ทีละก้อนบ้าง, วัตถุทั้งหลายมีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น ย่อมมีราคาตกไป เพราะการเปลี่ยนภาชนะอื่นบ้าง โดยที่สุด เพราะเพียงเก็บแมลงวันหรือมดแดง ออกทิ้งจากเนยใสเป็นต้นนั้นบ้าง, งบน้ำอ้อย ย่อมมีราคาตกไป แม้เพราะ เพียงเอาเล็บเจาะดู เพื่อรู้ความมีรสหวาน แล้วถือเอาโดยอนุมาน. เพราะ


ความคิดเห็น 41    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 117

ฉะนั้น สิ่งของชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่มีราคาถึงบาท ซึ่งเจ้าของทำให้มีราคา หย่อนไป เพราะการใช้สอย โดยนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแหละ พระวินัยธร ไม่ ควรปรับภิกษุผู้ลักภัณฑะนั้นถึงปาราชิก. พึงสอดส่องถึงการใช้สอยอย่างนี้.

พระวินัยธรผู้ฉลาด พึงสอบสวนฐานะ ๕ เหล่านี้ อย่างนี้แล้วพึง ทรงไว้ซึ่งอรรถคดี คือ พึงตั้งไว้ซึ่งอาบัติ ครุกาบัติหรือลหุกาบัติ ในสถาน ที่ควรแล.

วินิจฉัยบทเหล่านี้ คือ ตู่ ลัก ฉ้อ ให้อิริยาบถกำเริบ ให้เคลื่อน จากฐาน ให้ล่วงเลยเขตกำหนดหมาย จบแล้ว.

[อรรถาธิบายทรัพย์ที่ควรแก่ทุติยปาราชิก]

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกบทมีว่า ยถารูเป อทินฺ- นาทาเน เป็นต้น จึงตรัสคำว่า ยถารูปนฺนาม เป็นต้นนี้. จะวินิจฉัย ในคำว่า ยถารูปํ เป็นต้นนั้น :- ทรัพย์มีตามกำเนิด ชื่อว่า ทรัพย์เห็น ปานใด. ก็ทรัพย์มีตามกำเนิดนั้น ย่อมมีตั้งแต่บาทหนึ่งขึ้นไป; เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บาทหนึ่งก็ดี ควรแก่บาทหนึ่งก็ดี เกินกว่าบาท หนึ่งก็ดี. ในศัพท์ว่า ปาทเป็นต้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเฉพาะ อกัปปิยภัณฑ์ เท่าส่วนที่ 4 แห่งกหาปณะ ด้วยปาทศัพท์ ทรงแสดงกัปปิยภัณฑ์ ได้ราคาบาทหนึ่ง ด้วยปาทารหศัพท์ ทรงแสดงกัปปิยภัณฑ์และอกัปปิยภัณฑ์แม้ทั้งสองอย่าง ด้วยอติเรกปาทศัพท์. วัตถุพอแก่ทุติยปาราชิกเป็น อันทรงแสดงแล้ว โดยอาการทั้งปวง ด้วยศัพท์เพียงเท่านี้. พระราชาแห่ง ปฐพีทั้งสิ้น คือ เป็นจักรพรรดิในทวีป เช่นพระเจ้าอโศก ชื่อพระราชาทั่ว ทั้งแผ่นดิน, ก็หรือว่า ผู้ใดแม้อื่น ซึ่งเป็นพระราชาในทวีปอันหนึ่ง เช่น พระราชาสิงหล ผู้นั้น ก็ชื่อพระราชาทั่วทั้งแผ่นดิน.


ความคิดเห็น 42    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 118

พระราชาผู้เป็นใหญ่เฉพาะประเทศแห่งทวีปอันหนึ่ง ดังพระเจ้าพิมพิ- สารและพระเจ้าปเสนทิเป็นต้น ชื่อพระราชาเฉพาะประเทศ. ชนเหล่าใด ปกครองมณฑลอันหนึ่งๆ แม้ในประเทศแห่งทวีปชนเหล่านั้น ชื่อผู้ครองมณฑล.

เจ้าของแห่งบ้านตำบลน้อยๆ ในระหว่างแห่งพระราชาสองพระองค์ ชื่อผู้ครองระหว่างแดน. อำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี ชื่อผู้พิพากษา. ผู้พิพากษา เหล่านั้น นั่งในศาลาธรรมสภา พิพากษาโทษมีตัดมือและเท้าของพวกโจร เป็นต้น ตามสมควรแก่ความผิด. ส่วนชนเหล่าใดมีฐานันดรเป็นอำมาตย์หรือ ราชบุตร เป็นผู้ทำความผิด, ผู้พิพากษาย่อมเสนอชนเหล่านั้นแด่พระราชา หาได้วินิจฉัยคดีที่หนักเองไม่. อำมาตย์ผู้ใหญ่ซึ่งได้ฐานันดร ชื่อว่ามหาอำมาตย์. แม้มหาอำมาตย์เหล่านั้น ย่อมนั่งทำราชกิจ ในคามหรือในนิคมนั้นๆ.

ด้วยบทว่า เย วา ปน (นี้) พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงว่า ชนเหล่าใดแม้อื่น เป็นผู้อาศัยราชสกุล หรืออาศัยความเป็นใหญ่ของตนเอง ย่อมสั่งบังคับการตัดการทำลายได้, ชนเหล่านั้นทั้งหมด จัดเป็นพระราชาใน อรรถนี้ (ด้วย).

บทว่า หเนยฺยุํ ได้แก่ พึงโบยและพึงตัด.

บทว่า ปพฺพาเชยฺยุํ ได้แก่ พึงเนรเทศเสีย. และพึงกล่าวปริภาษ อย่างนี้ว่า เจ้าเป็นโจร ดังนี้เป็นต้น. เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า นั่นเป็นการด่า.

สองบทว่า ปุริมํ อุปาทาย มีความว่า เล็งถึงบุคคลผู้เสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติปาราชิก. คำที่เหลือนับว่าแจ่มแจ้งแล้วทั้งนั้น เพราะมีนัย ดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น และเพราะมีเนื้อความเฉพาะบทตื้นๆ ฉะนี้แล.


ความคิดเห็น 43    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 119

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกสิกขาบทที่ทรงอุเทศแล้ว ตาม ลำดับบทอย่างนั้นแล้ว บัดนี้ จึงทรงตั้งมาติกา โดยนัยเป็นต้นว่า ภุมฺมฏฺํ ถลฏฺํ แล้วตรัสวิภังค์แห่งบทภาชนีย์นั้น โดยนัยมีคำว่า ภุมฺมฏฺํ นาม ภณฺฑํ ภูมิยํ นิกฺขิตฺตํ โหติ เป็นต้น เพื่อแสดงภัณฑะที่จะพึงถือเอา ซึ่งพระองค์ทรงแสดงการถือเอา โดยสังเขป ด้วยหกบทมีบทว่า อาทิเยยฺย เป็นต้นแล้ว ทรงแสดงโดยสังเขปเหมือนกันว่า บาทหนึ่ง ก็ดี ควรแก่บาท หนึ่ง ก็ดี เกินกว่าบาทหนึ่ง ก็ดี โดยพิสดาร โดยอาการที่ภัณฑะนั้นตั้งอยู่ ในที่ใดๆ จึงถึงความถือเอาได้ เพื่อปิดโอกาสแห่งเลศของปาปภิกษุทั้งหลาย ในอนาคต. วินิจฉัยกถา พร้อมด้วยวรรณนาบทที่ไม่ตื้น ในคำว่า นิกฺขิตฺตํ เป็นต้นนั้น พึงทราบดังนี้ :-

บทว่า นิกฺขิตฺตํ ได้แก่ ที่ฝังเก็บไว้ในแผ่นดิน.

บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ ได้แก่ ที่เขาปกปิดไว้ ด้วยวัตถุมีดินและอิฐ เป็นต้น.

ข้อว่า ภุมฺมฏฺํ ภณฺฑํฯปฯ คจฺฉติ วา อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ภิกษุใดรู้ด้วยอุบายบางอย่างนั่นเทียว ซึ่งภัณฑะนั้นที่ชื่อว่าตั้งอยู่ ในแผ่นดิน เพราะเป็นของที่เขาฝัง หรือปกปิดตั้งไว้อย่างนั้น เป็นผู้มีไถยจิตว่า เราจักลัก แล้วลุกขึ้นไปในราตรีภาค. ภิกษุนั้น แม้ไปไม่ถึงที่แห่งภัณฑะ ย่อมต้องทุกกฏ เพราะกายวิการ และวจีวิการทั้งปวง.

[อรรถาธิบายอาบัติที่เป็นบุพประโยคแห่งปาราชิก]

ถามว่า ต้องอย่างไร?

แก้ว่า ต้องอย่างนี้ คือ :- จริงอยู่ ภิกษุนั้นเมื่อลุกขึ้น เพื่อต้องการ จะลักทรัพย์นั้น ให้อวัยวะน้อยใหญ่ใดๆ เคลื่อนไหว ย่อมต้องทุกกฏใน


ความคิดเห็น 44    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 120

เพราะอวัยวะเคลื่อนไหวทุกครั้งไป จัดผ้านุ่งและผ้าห่ม ก็ต้องทุกกฏทุกๆ ครั้งที่มือเคลื่อนไหว. เธอรูปเดียวไม่อาจนำทรัพย์ที่ฝังไว้ซึ่งมีจำนวนมากออก ไปได้ จึงคิดว่า เราจักแสวงหาเพื่อน ดังนี้ แล้วเดินไปยังสำนักของสหาย บางรูป จึงเปิดประตู ก็ต้องทุกกฎทุกๆ ย่างเท้าและทุกๆ ครั้งที่มือเคลื่อนไหว แต่ไม่เป็นอาบัติเพราะปิดประตู หรือเพราะกายกรรมและวจีกรรมอย่างอื่น ซึ่งไม่เป็นการอุดหนุนแก่การไป. เธอเดินไปยังโอกาสที่ภิกษุรูปนั้นนอน แล้ว เรียกภิกษุนั้นว่า ท่านผู้มีชื่อนี้ แจ้งความประสงค์นั้นให้ทราบ จึงกล่าวชักชวน ว่า ท่านมาไปกันเถิด, ย่อมต้องทุกกฎทุกๆ คำพูด. ภิกษุรูปนั้น ลุกขึ้นตาม คำชักชวนของเธอ, แม้เธอรูปนั้น ก็เป็นทุกกฏ. ครั้นเธอลุกขึ้นแล้ว ประสงค์ จะเดินไปยังสำนักของภิกษุรูป (ต้นคิด) นั้น จัดผ้านุ่งและผ้าห่ม ปิดประตูแล้ว เดินไปใกล้ภิกษุรูป (ต้นคิด) นั้น ก็ต้องทุกกฎ เพราะขยับมือและย่างเท้า ทุกๆ ครั้งไป. เธอรูปนั้นถามภิกษุผู้ต้นคิดนั้นว่า ภิกษุชื่อโน้นและโน้นอยู่ ที่ไหน? ท่านจงเรียกภิกษุชื่อโน้นและชื่อโน้นมาเถิด ดังนี้ ต้องทุกกฏทุกๆ คำพูด. ครั้นเห็นทุกๆ รูปมาพร้อมกันแล้ว ก็กล่าวชักชวนว่า ผมพบขุมทรัพย์ เห็นปานนี้ อยู่ในสถานที่ชื่อโน้น, พวกเราจงมาไปเอาทรัพย์นั้น แล้วจัก บำเพ็ญบุญ และจักเป็นอยู่อย่างสบาย ดังนี้, ก็ต้องทุกกฏทุกๆ คำพูดทีเดียว. เธอได้สหายอย่างนั้นแล้ว จึงแสวงหาจอบ ก็ถ้าเธอรูปนั้น มีจอบสำหรับตน อยู่ไซร้, จึงกล่าวว่า เราจักนำจอบนั้นมา ขณะเดินไปถือเอาและนำมาย่อม ต้องทุกกฏ เพราะขยับมือและย่างเท้าทุกๆ ครั้งไป. ถ้าจอบไม่มี ก็ไปขอภิกษุ หรือคฤหัสถ์คนอื่น และเมื่อขอ จะพูดเท็จขอว่า จงให้จอบแก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าต้องการจอบ, ข้าพเจ้ามีกิจอะไรๆ ที่จะต้องทำ, ทำกิจนั้นเสร็จแล้ว จักนำมาคืนให้ ดังนี้ ต้องทุกกฏทุกๆ คำพูด. ถ้ามีลำรางที่จะต้องชำระให้


ความคิดเห็น 45    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 121

สะอาดอยู่ไซร้, เธอจะพูดแม้คำเท็จว่า งานดินในวัดที่จะต้องทำมีอยู่, คำพูด ใดๆ ที่เป็นคำเท็จ. ย่อมเป็นปาจิตตีย์ เพราะคำพูดนั้นๆ. แต่ในมหา อรรถกถา ท่านปรับทุกกฏทั้งนั้น ทั้งคำจริงทั้งคำเหลาะแหละ. คำที่กล่าวไว้ ในมหาอรรถกถานั้นพึงทราบว่า เขียนไว้ด้วยความพลั้งเผลอ. ขึ้นชื่อว่าทุกกฏ ในฐานแห่งปาจิตตีย์ ซึ่งเป็นบุพประโยคแห่งอทินนาทาน ไม่มีเลย. ก็ถ้า จอบไม่มีด้าม, ภิกษุพูดว่า จักทำด้าม แล้วลับมีดหรือขวานออกเดินไปเพื่อ ต้องการไม้ด้ามจอบนั้น, ครั้นไปแล้วก็ตัดไม้แห้ง ถาก ตอก ย่อมต้องทุกกฏ เพราะขยับมือ และย่างเท้าทุกๆ ครั้งไป. เธอตัดไม้ที่ยังสด ต้องปาจิตตีย์. ถัดจากนั้นไปก็ต้องทุกกฎ ในทุกๆ ประโยค. แต่ในสังเขปอรรถกถา และ มหาปัจจรี ท่านปรับทุกกฎไว้แม้แก่พวกภิกษุผู้แสวงหามือและขวาน เพื่อ ต้องการตัดไม้และเถาวัลย์ซึ่งเกิดอยู่ในที่นั้น. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า ก็ถ้า ภิกษุเหล่านั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราเมื่อขอมีดขวานและจอบอยู่จักไม่มี ความสงสัย * พวกเราค้นให้พบแร่เหล็กแล้วจึงทำ ดังนี้แล้ว ภายหลังนั้นจึง เดินไปยังบ่อแร่เหล็ก แล้วขุดแผ่นดิน เพื่อต้องการแร่เหล็ก. เมื่อพวกเธอ ขุดแผ่นดินที่เป็นอกัปปิยะ ก็ต้องปาจิตตีย์พร้อมทั้งทุกกฏหลายกระทง เหมือน อย่างว่า ในบาลีประเทศนี้ ปาจิตตีย์พร้อมทั้งทุกกฏหลายกระทง ย่อมมีได้ ฉันใด ในบาลีประเทศทุกแห่งก็ฉันนั้น ในฐานะแห่งปาจิตตีย์ ย่อมไม่พ้นไป จากทุกกฏ. เมื่อพวกเธอขุดแผ่นดินที่เป็นกัปปิยะอยู่ ก็เป็นทุกกฏหลายกระทง ทีเดียว. ก็ครั้นถือเอาแร่แล้ว ต่อจากนั้น ก็ต้องทุกกฏทุกๆ ประโยค เพราะ กิริยาที่ทำทุกอย่าง. ถึงแม้ในการแสวงหาตะกร้า ก็ต้องทุกกฏเพราะขยับมือ และย่างเท้าตามนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั้นเอง.ต้องปาจิตตีย์เพราะพูดเท็จ. เพราะ


* น่าจะเป็นว่า จักถูกสงสัย.


ความคิดเห็น 46    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 122

มีความประสงค์จะทำตะกร้า ต้องปาจิตตีย์ ในเพราะตัดเถาวัลย์ คำทั้งหมด ดังพรรณนามาฉะนี้ พึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล.

หลายบทว่า คจฺฉติ วา อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ภิกษุผู้ แสวงหาสหาย จอบ และตะกร้าได้แล้วอย่างนั้น เดินไปยังที่ขุมทรัพย์ย่อมต้อง ทุกกฏทุกๆ ย่างเท้า. ก็ถ้าว่า เมื่อเธอเดินไป เกิดกุศลจิตขึ้นว่าเราได้ขุมทรัพย์ นี้แล้ว จักทำพุทธบูชา ธรรมบูชา หรือสังฆภัต ดังนี้แล้ว ไม่เป็นอาบัติ เพราะเดินไปด้วยกุศลจิต.

ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เป็นอาบัติ.

แก้ว่า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ภิกษุมีไถยจิต เที่ยว แสวงหาเพื่อนก็ตาม แสวงหาจอบหรือตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตามต้องอาบัติ ทุกกฏ ดังนี้ จึงไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่มีไถยจิตในที่ทั้งปวง เหมือนในการ เดินไปยังที่ขุมทรัพย์นี้ ฉะนั้น. ภิกษุแวะออกจากทาง แล้วทำทางไว้เพื่อ ต้องการเดินไปยังขุมทรัพย์ ตัดภูตคามต้องปาจิตตีย์ ตัดไม้แห้งต้องทุกกฏ.

สองบทว่า ตตฺถ ชาตกํ คือ ที่เกิดอยู่บนหม้อ ซึ่งตั้งไว้นานแล้ว.

สองบทว่า กฏฺํ วา ลตํ วา ความว่า หาใช้ตัดเฉพาะไม้และ เถาวัลย์อย่างเดียวเท่านั้นไม่ เมื่อภิกษุตัดรุกขชาติ มีหญ้า ต้นไม้และเถาวัลย์ เป็นต้น ชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ยังสดก็ตาม แห้งก็ตาม เป็นทุกกฏเหมือนกัน เพราะมีความพยายาม.

[อาบัติทุกกฏ ๘ อย่าง]

จริงอยู่ พระเถระทั้งหลายประมวลชื่อทุกกฏ ๘ อย่างนั้นมาแสดงไว้ ในที่นี้แล้ว คือบุพปโยคทุกกฏ ๑ สหปโยคทุกกฏ ๑ อนามาสทุกกฏ ๑ ทุรุปจิณณทุกกฏ ๑ วินัยทุกกฏ ๑ ญาตทุกกฏ ๑ ญัตติทุกกฏ ๑ ปฏิสสวทุกกฏ ๑


ความคิดเห็น 47    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 123

บรรดาทุกกฏ ๘ อย่างนั้น ทุกกฏที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า ภิกษุมี ไถยจิตเที่ยวแสวงหาเพื่อนจอบหรือตะกร้าก็ตาม เดินไปก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ นี้ ชื่อบุพปโยคทุกกฏ. จริงอยู่ ในพระดำรัสที่ตรัสไว้นี้ ในฐานะแห่งทุกกฏ ก็เป็นทุกกฏ ในฐานะแห่งปาจิตตีย์ ก็เป็นปาจิตตีย์โดยแท้.

ทุกกฏที่พระองค์ตรัสไว้ดังนี้ว่า ภิกษุตัดไม้หรือเถาวัลย์ที่เกิดอยู่บน พื้นดินนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ นี้ ชื่อว่าสหปโยคทุกกฏ. ในพระดำรัสที่ตรัส ไว้นี้ วัตถุแห่งปาจิตตีย์และวัตถุแห่งทุกกฏ ก็ตั้งอยู่ในฐานะแห่งทุกกฏเหมือน กัน. เพราะเหตุไร? เพราะการลักเป็นไปพร้อมกับความพยายาม.

อนึ่ง ทุกกฏ ที่พระองค์ปรับไว้แก่ภิกษุผู้จับต้องรัตนะ ๑๐ (๑) อย่าง ข้าวเปลือก ๗ (๒) อย่าง และเครื่องศัสตราวุธเป็นต้นทั้งหมด นี้ ชื่ออนามาส ทุกกฏ.

ทุกกฏ ที่พระองค์ปรับไว้แก่ภิกษุผู้จับต้องบรรดาผลไม้ทั้งหลายมี กล้วยและมะพร้าวเป็นต้น ผลที่เกิดในที่นั้น นี้ ชื่อทุรุปจิณณทุกกฏ.

อนึ่ง ทุกกฏที่พระองค์ปรับไว้แก่ภิกษุผู้ที่เที่ยวบิณฑบาต ไม่รับประเคน หรือไม่ล้างบาตรในเมื่อมีผงธุลีตกลงไปในบาตร ก็รับภิกษาในบาตรนั้น นี้ ชื่อวินัยทุกกฏ.

ทุกกฏที่ว่า พวกภิกษุได้ฟัง (เรื่องตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์) แล้วไม่พูด ต้องอาบัติทุกกฏ นี้ ชื่อญาตทุกกฏ.


๑. รัตนะ ๑๐ อย่าง คือ แก้วมุกดา ๑ แก้วมณี ๑ เวฬุริยะ ไพฑูรย์ ๑ สังข์ หอยสังข์ ๑ ศิลา ๑ ปวาฬะ แก้วประพาฬ ๑ รัชตะ เงิน ๑ ชาตรูปะ ทองคำ ๑ โลหิตังคะ ทับทิม ๑ มสาคัลละ แก้วลาย ๑.

๒. ข้าวเปลือก ๗ อย่าง คือ สาลิ ข้าวสาลี ๑ วีหิ ข้าวเปลือก ๑ ยวะ ข้าวเหนียว ๑ กังคุ ข้าวฟ่าง ๑ กุทรูสกะ หญ้ากับแก้ ๑ วรกะ ลูกเดือย ๑ โคธุมะ ข้าวละมาน ๑. นัยสารัตถทีปนี. ๒/๒๐๕ - ๖.


ความคิดเห็น 48    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 124

ทุกกฏที่ตรัสไว้ว่า เป็นทุกกฏเพราะญัตติ ในบรรดาสมนุภาสน์ ๑๑ อย่าง นี้ ชื่อญัตติทุกกฏ.

ทุกกฏที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้น ไม่ปรากฏ และเธอย่อมต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ * นี้ชื่อปฏิสสวทุกกฏ.

ส่วนสหปโยคทุกกฏ (คือต้องทุกกฏพร้อมด้วยความพยายาม) ดังต่อ ไปนี้ :- เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า เมื่อภิกษุตัดรุกขชาติมีหญ้าต้นไม้ และเถาวัลย์เป็นต้นชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่ยังสดก็ตาม แห้งก็ตาม เป็นทุกกฏ เหมือนกัน เพราะมีความพยายาม. ก็ถ้าแม้เมื่อภิกษุนั้น ตัดรุกขชาติมีหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นในที่นั้น ลัชชีธรรม ย่อมหยั่งลง ความสังวรเกิดขึ้น เธอแสดงทุกกฏ เพราะการตัดเป็นปัจจัยแล้ว ย่อมพ้นได้. ถ้าเธอไม่ทอดธุระ ยังมีความขะมักเขม้นขุดดินอยู่ทีเดียว ทุกกฏเพราะการตัด ย่อมระงับไป เธอย่อมตั้งอยู่ในทุกกฏเพราะการขุด. ด้วยว่า ภิกษุแม้เมื่อขุด แผ่นดินเป็นอกัปปิยะ ย่อมต้องทุกกฏนั่นแล ในอธิการว่าด้วยการขุดดินนี้ เพราะมีความพยายาม. ก็ถ้าเธอขุดในทุกทิศเสร็จสรรพแล้ว แม้จนถึงที่ตั้ง หม้อทรัพย์ ลัชชีธรรมหยั่งลง เธอแสดงทุกกฏเพราะการขุดเป็นปัจจัยเสียแล้ว ย่อมพ้น (จากอาบัติ) ได้.

บทว่า วิยูหติ วา มีความว่า ก็ถ้าภิกษุยังมีความขะมักเขม้นอยู่ อย่างเดิม คุ้ยดินร่วน ทำเป็นกองไว้ในส่วนข้างหนึ่ง ทุกกฏเพราะการขุดย่อม ระงับไป เธอย่อมตั้งอยู่ในทุกกฏเพราะการคุ้ย. ก็เมื่อเธอทำดินร่วนนั้นให้เป็น กองไว้ในที่นั้นๆ ย่อมต้องทุกกฏทุกๆ ประโยค. แต่ถ้าเธอทำเป็นกองไว้แล้ว ทอดธุระเสีย ถึงลัชชีธรรม แสดงทุกกฏ เพราะการคุ้ยเสียแล้วย่อมพ้น (จากอาบัติ) ได้.


* วิ. มหาวรรค. ๔/๓๐๒.


ความคิดเห็น 49    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 125

บทว่า อุทฺธรติ วา มีความว่า ก็ถ้าภิกษุยังมีความขะมักเขม้นอยู่ โกยดินร่วนขึ้นให้ตกไปในภายนอก ทุกกฏเพราะการคุ้ย ย่อมระงับไป เธอ ย่อมตั้งอยู่ในทุกกฏเพราะการโกยขึ้น. ก็เมื่อเธอใช้จอบก็ตาม มือทั้งสองก็ตาม บุ้งกี๋ก็ตาม สาดดินร่วนให้ตกไปในที่นั้นๆ ย่อมต้องทุกกฏทุกๆ ประโยค. แต่ถ้าเธอนำดินร่วนทั้งหมดออกไปเสียแล้ว จนถึงทำหม้อทรัพย์ให้ตั้งอยู่บนบก ประจวบกับลัชชีธรรม ครั้นแสดงทุกกฏเพราะการโกยขึ้นเสียแล้ว ย่อมพ้น (จากอาบัติ) ได้. แต่ถ้าเธอยังความขะมักเขม้นอยู่นั่นแหละ จับต้องหม้อทรัพย์ ทุกกฎเพราะการโกยขึ้นย่อมระงับไปเธอย่อมตั้งอยู่ในทุกกฏเพราะการจับต้อง. ก็แลครั้นจับต้องแล้ว ประจวบกับลัชชีธรรม แสดงทุกกฏเพราะการจับต้อง เสียแล้ว ย่อมพ้น (จากอาบัติ) ได้. ถ้าเธอยังมีความขะมักเขม้นอยู่ต่อไป ทำหม้อทรัพย์ให้ไหว ทุกกฏเพราะการจับต้อง ย่อมระงับไป เธอย่อมตั้งอยู่ ในถุลลัจจัย ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ทำให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดังนี้.

[อรรถาธิบายคำว่าทุกกฏและถุลลัจจัย]

ทุกกฏและถุลลัจจัยแม้ทั้งสอง ที่ตรัสไว้ในพระบาลีนั้น มีเนื้อความ เฉพาะคำดังต่อไปนี้ บรรดาทุกกฏและถุลลัจจัยทั้งสองนี้ ถึงทราบทุกกฏที่ หนึ่งก่อน ความทำชั่ว คือ ความทำให้ผิดจากกิจที่พระศาสดาตรัส เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าทุกกฏ. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่าทุกกฏ เพราะอรรถวิเคราะห์แม้อย่างนี้ บ้างว่า ความทำชั่ว คือ กิริยานั้นผิดรูป ย่อมไม่งามในท่ามกลางแห่งกิริยาของ ภิกษุ. จริงอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า

ก็โทษใดที่เรากล่าวว่า ทุกกฏ ท่าน จงฟังโทษนั้น ตามที่กล่าว, กรรมใดเป็น


ความคิดเห็น 50    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 126

ความผิดด้วย เป็นความเสียด้วย เป็นความ พลาดด้วย เป็นความชั่วด้วย และมนุษย์ ทั้งหลายพึงทำกรรมลามกใด ในที่แจ้งหรือ ว่าในที่ลับ บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมประกาศ โทษนั้นว่า ทุกกฏ เพราะเหตุนั้น ; โทษนั้น เราจึงกล่าวอย่างนั้น (๑)

ส่วนวีติกกมะนอกนี้ ชื่อว่าถุลลัจจัย เพราะเป็นกรรมหยาบ และ เพราะความเป็นโทษ. ก็ความประกอบกันในคำว่า ถุลลัจจัย นี้ ผู้ศึกษาควร ทราบเหมือนในคำว่า ทุคติในสัมปรายภพ และกรรมนั้นเป็นของมีผลเผ็ดร้อน เป็นต้น. จริงอยู่ บรรดาโทษที่จะพึงแสดงในสำนักของภิกษุรูปเดียว โทษที่ หยาบเสมอด้วยถุลลัจจัยนั้น ย่อมไม่มี ; เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าว่า ที่ชื่อว่าถุลลัจจัย เพราะเป็นกรรมหยาบ และเพราะความเป็นโทษ. จริงอยู่ คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้วว่า

โทษใด ที่เรากล่าวว่า ถุลลัจจัย ท่านจงฟังโทษนั้นตามที่กล่าว, ภิกษุใดย่อม แสดงโทษนั้น ในสำนักของภิกษุรูปเดียว และภิกษุใดย่อมรับโทษนั้น, โทษที่เสมอ ด้วยโทษนั้น ของภิกษุนั้นย่อมไม่มี ; เพราะ เหตุนั้น โทษนั้น เราจึงกล่าวอย่างนั้น (๒)

ก็เมื่อภิกษุทำให้ไหวอยู่ เป็นถุลลัจจัยทุกๆ ประโยค. แต่ว่าเธอแม้ให้ ไหวแล้วหยั่งลงสู่ลัชชีธรรม แสดงถุลลัจจัยเสียแล้ว ย่อมพ้นได้. ก็อาบัติที่


๑. วิ. ปริวาร. ๘/๓๗๐.

๒. วิ. ปริวาร. ๘/๓๗๘ - ๙.


ความคิดเห็น 51    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 127

เกิดก่อนๆ ในเพราะให้หวั่นไหวนี้ ย่อมระงับไปจำเดิมแต่สหประโยคไปทีเดียว. ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีกล่าวว่า ก็แล ทุกกฏและปาจิตตีย์เหล่าใด ในบุพประโยค เธอแสดงสหประโยคแล้วหยั่งลงสู่ลัชชีธรรมแล้วต้องไว้, ทุกกฎและ ปาจิตตีย์เหล่านั้นทั้งหมด ควรแสดง. ส่วนทุกกฏแม้มีจำนวนมาก ในเพราะ ตัดหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์เป็นต้นที่เกิดขึ้นแล้วในที่นั้น ซึ่งเป็นสหประโยค ย่อมระงับไป เพราะถึงการขุดดิน. อาบัติทุกกฏเพราะเหตุขุดดิน ตัวเดียว เท่านั้นคงมีอยู่ ทุกกฏแม้มากในเพราะการขุด ย่อมระงับไป ในเพราะถึงการ คุ้ย, อาบัติทุกกฏแม้มาก ในเพราะการคุ้ย ย่อมระงับไป เพราะถึงการโกยขึ้น, อาบัติทุกกฏแม้มาก ในเพราะการโกยขึ้น ย่อมระงับไป เพราะถึงการจับต้อง, อาบัติทุกกฏแม้มาก ในเพราะการจับต้อง ย่อมระงับไป เพราะถึงการให้ หวั่นไหว. ก็แล ครั้นเมื่อลัชชีธรรมเกิดขึ้นในขณะขุดดินเป็นต้น อาบัติแม้ จะมีมาก ก็ตามที เธอแสดงเพียงตัวเดียวเท่านั้น ย่อมพ้นได้. จริงอยู่ ขึ้น ชื่อว่า ความระงับแห่งอาบัติที่เกิดขึ้นก่อนนี้ มาแล้วในสูตร ในอนุสาวนา ทั้งหลายนั่นแล อย่างนี้ว่า ทุกกฏ เพราะญัตติ ถุลลัจจัย เพราะกรรมวาจา สองครั้ง ย่อมระงับไป. แต่ความระงับแห่งอาบัติที่เกิดขึ้นก่อนในทุติยปาราชิก นี้ ผู้ศึกษาควรถือเอาโดยประมาณแห่งพระอรรถกถาจารย์ ฉะนี้แล.

[กิริยาที่ภิกษุลักทรัพย์ให้เคลื่อนจากฐาน ๖ อย่าง]

หลายบทว่า านา จาเวติ อาปตฺติ ปาราชิกสฺส มีความว่า ก็ภิกษุใดแม้ให้หวั่นไหวแล้ว ก็ไม่หยั่งลงสู่ลัชชสีธรรมเลย ยังหม้อทรัพย์นั้น ให้เคลื่อนจากฐานแห่งหม้อ โดยที่สุด แม้เพียงเส้นผมเดียว, ภิกษุนั้นต้อง ปาราชิกทีเดียว. ก็การยังทรัพย์ให้เคลื่อนจากฐาน ในคำว่า านา จาเวติ นี้ พึงทราบโดยอาการ ๖. อะไรบ้าง?


ความคิดเห็น 52    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 128

๑. ภิกษุจับปากหม้อรั้งมาตรงหน้าของตน ยังที่สุดข้างโน้น ให้เลย โอกาสที่สุดข้างนี้ถูกต้องแล้ว แม้เพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก.

๒. ภิกษุจับอย่างนั้นแล้ว ไสไปข้างหน้า ยังที่สุดข้างนี้ ให้เลยที่สุด ข้างโน้นถูกต้องแล้วแม้เพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก.

๓. ภิกษุผลักไปข้างซ้ายก็ดี ข้างขวาก็ดี ยังที่สุดข้างขวา ให้เลย โอกาสที่สุดข้างซ้ายถูกต้องแล้ว แม้เพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก.

๔. ภิกษุให้ที่สุดข้างซ้ายเลยโอกาสที่สุดข้างขวาถูกต้องแล้ว แม้เพียง ปลายเส้นผม ต้องปาราชิก.

๕. ภิกษุยกขึ้นข้างบน ให้พ้นจากพื้น แม้เพียงปลายเส้นผม ต้อง ปาราชิก.

๖. ภิกษุขุดดิน กดลงข้างล่าง ยังขอบปากหม้อให้เลยโอกาสที่สุด ก้นหม้อถูกต้องแล้ว แม้เพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก.

การให้เคลื่อนจากฐาน สำหรับหม้ออันตั้งอยู่ในฐานเดียว พึงทราบโดย อาการ ๖ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้. ก็ถ้าเขาทำบ่วงที่ขอบปากหม้อแล้วตอกหลัก โลหะ หรือหลักไม้แก่นมีตะเคียนเป็นต้นลงในแผ่นดิน แล้วเอาโซ่ล่ามที่หลักนั้น ตั้งไว้. หม้อที่ล่ามด้วยโซ่เส้น ๑ ในทิศหนึ่งย่อมได้ฐาน ๒. มีล่ามด้วยโซ่หลาย เส้น ใน ๒ - ๓ - ๔ ทิศ ย่อมได้ฐาน ๓ -๔ - ๕. บรรดาหม้อที่ล่ามไว้ที่หลักเดียว เป็นต้นนั้น ภิกษุยกหลักแรกแห่งหม้อที่ล่ามไว้ที่หลักเดียวขึ้นก็ดี ตัดโซ่ก็ดี ต้อง ถุลลัจจัย. ภายหลังให้หม้อเคลื่อนจากฐาน แม้เพียงปลายเส้นผม โดยนัยตาม ที่กล่าวแล้วนั่นแล ต้องปาราชิก. ถ้ายกหม้อขึ้นทีแรก ต้องถุลลัจจัย. ภายหลัง ให้หลักเคลื่อนจากฐาน แม้เพียงปลายเส้นผมก็ดี ตัดโซ่ก็ดี ต้องปาราชิก. ในการยังที่สุดแม้แห่งหม้อที่ล่ามไว้ที่หลัก ๒ - ๓ - ๔ หลัก ให้เคลื่อนจากฐาน


ความคิดเห็น 53    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 129

ก็ต้องปาราชิกโดยอุบายนั่น. ในหลักที่เหลือทั้งหลาย พึงทราบว่าเป็นถุลลัจจัย. ถ้าไม่มีหลัก เขาทำวลัยไว้ที่ปลายโซ่ แล้วจึงสอดเข้าไป ที่รากไม้ซึ่งเกิดอยู่ ในที่นั้น. ภิกษุยกหม้อขึ้นก่อน ภายหลังจึงตัดรากไม้ แล้วนำวลัยออก ต้อง ปาราชิก. ถ้าไม่ตัดรากไม้ แต่ให้วลัยเลื่อนไปข้างโน้นและข้างนี้ ยังรักษาอยู่. แต่ถ้าแม้ยังไม่นำออกจากรากไม้ เป็นแต่เอามือจับทำให้เชิดไปบนอากาศ ก็ ต้องปาราชิก. ความแปลกกันในอธิการว่าด้วยหม้อที่เขาสอดเข้าไว้ที่รากไม้นี้ มีเท่านี้. คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวแล้วนั้นแล. ก็ชนบางพวกปลูกต้นไทรเป็นต้น ไว้เบื้องบนหม้อ เพื่อต้องการเป็นเครื่องหมาย. รากไม้เกี่ยวรัดหม้อตั้งอยู่. ภิกษุคิดว่า จักตัดรากไม้ลักหม้อไป กำลังตัดต้องทุกกฏทุกๆ ประโยค. ตัดแล้ว ทำโอกาสให้หม้อเคลื่อนจากฐาน แม้เพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก. เมื่อ กำลังตัดรากไม้อยู่แล หม้อพลัดกลิ้งไปสู่ที่ลุ่ม ยังรักษาอยู่ก่อน, ยกขึ้นจาก ฐานที่หม้อกลิ้งไป ต้องปาราชิก. ถ้าเมื่อตัดรากไม้ทั้งหลายแล้ว หม้อยังตั้งอยู่ ได้โดยเพียงรากเดียว และภิกษุนั้นคิดว่า เมื่อตัดรากไม้นี้แล้วหม้อจักตกไป จึงตัดรากไม้นั้น พอตัดเสร็จ ต้องปาราชิก. ก็ถ้าหม้อตั้งอยู่โดยรากเดียวเท่านั้น เหมือนสุกรถูกผูกไว้ที่บ่วง ฉะนั้น ที่เกี่ยวอะไรๆ อย่างอื่นไม่มี , แม้เมื่อราก นั้นพอตัดขาดแล้ว ก็ต้องปาราชิก. ถ้าเขาวางก้อนหินแผ่นใหญ่ทับไว้บนหม้อ, ภิกษุมีความประสงค์จะเอาท่อนไม้งัดก้อนหินนั้นออก จึงตัดต้นไม้ที่เกิดอยู่บน หม้อทิ้ง ต้องทุกกฎ. เธอตัดต้นไม้เป็นต้นที่เกิดอยู่ใกล้หม้อนั้นแล้วนำออก เสียขณะตัดต้นไม้เป็นต้นนั้น ยังไม่ต้องปาจิตตีย์ เพราะต้นไม้เป็นของเกิดอยู่ บนหม้อนั้น.

สองบทว่า อตฺตโน ภาชนคตํ มีความว่า ก็ถ้าภิกษุไม่สามารถจะ ยกเอาหม้อขึ้นได้ จึงสอดภาชนะของตนเข้าไป เพื่อรับเอาทรัพย์ที่อยู่ในหม้อ


ความคิดเห็น 54    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 130

มีไถยจิตจับต้องทรัพย์ภายในหม้อ ควรแก่ค่า ๕ มาสกก็ตาม เกินกว่า ๕ มาสก ก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ. ก็การกำหนด ที่ท่านกล่าวไว้แล้วในพระบาลีนี้ เพื่อ กำหนดอาบัติปาราชิก. เมื่อภิกษุจับต้องทรัพย์แม้หย่อนกว่า ๕ มาสก ด้วย ไถยจิต ก็ต้องทุกกฏเหมือนกัน.

ในคำว่า ผนฺทาเปติ นี้ ความว่า ภิกษุรวมทรัพย์ให้เนื่องเป็นอัน เดียวกันแล้วสอดภาชนะของตนเข้าไป อยู่เพียงใด. ภิกษุนั้นท่านเรียกว่า ทำ ให้หวั่นไหว เพียงนั้น. อีกอย่างหนึ่ง แม้เมื่อคุ้ยเขี่ยไปทางโน้นและทางนี้ ชื่อว่าทำให้หวั่นไหวเหมือนกัน. ภิกษุนั้นย่อมต้องถุลลัจจัย. ในกาลใด ภิกษุ ตัดความที่ทรัพย์เนื่องเป็นอันเดียวกันขาดแล้ว ทรัพย์ที่อยู่ในหม้อ ก็มีอยู่ใน หม้อนั่นเอง แม้ที่อยู่ในภาชนะ ก็มีอยู่ในภาชนะเท่านั้น ในกาลนั้น ทรัพย์ ชื่อว่ามีอยู่ในภาชนะของตนแล้ว. ครั้นเธอทำอย่างนั้นแล้ว แม้เมื่อไม่ได้นำ ภาชนะออกจากหม้อก็ตาม ต้องปาราชิก.

ในคำว่า มุฏฺํ วา ฉินฺทติ นี้ ความว่า กหาปณะที่ลอดออกทาง ช่องนิ้วมือแล้ว จะไม่กระทบกหาปณะที่อยู่ในหม้อโดยวิธีใด ภิกษุทำการกำ เอาโดยวิธีนั้น ชื่อว่าตัดขาดกำเอา. แม้ภิกษุนั้น ก็ต้องปาราชิก.

บทว่า สุตฺตารุฬฺหํ ได้แก่ ทรัพย์ที่ร้อยไว้ในด้าย. คำว่า สุตฺตารุฬฺหํ นั่น เป็นชื่อของเครื่องประดับที่ร้อยไว้ในด้ายบ้าง ที่สำเร็จด้วยด้ายบ้าง. เครื่องประดับทั้งหลายมีสังวาลเป็นต้น ที่สำเร็จด้วยทองบ้างก็มี ที่สำเร็จด้วย รูปิยะบ้างก็มี ที่สำเร็จด้วยด้ายบ้างก็มี, ถึงแม้สร้อยไข่มุกเป็นต้น ก็ถึงการ สงเคราะห์เข้าในสังวาลเป็นต้นนี้ นั่นแล. ผ้าสำหรับโพกศีรษะท่านเรียกว่า เวนะ. ภิกษุมีไถยจิตจับต้องบรรดาทรัพย์ที่ร้อยไว้ในด้ายเป็นต้นเหล่านั้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องทุกกฏ. ทำให้หวั่นไหว ต้องถุลลัจจัย. จับที่สุดสังวาล แล้วไม่ได้ทำให้ลอยอยู่ในอากาศ เพียงแต่ยกขึ้น (เท่านั้น) ต้องถุลลัจจัย.


ความคิดเห็น 55    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 131

ก็ในบทว่า ฆํสนฺโต นีหรติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ในสังเขป อรรถกถาและมหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุลากหม้อที่มีขอบปาก เสมอ ซึ่งเขาวางซ้อนบนหม้อที่เต็มออกจากกันก็ดี หรือลากสังวาลเป็นต้น ไปก็ดี เป็นถุลลัจจัย. เมื่อไห้พ้นจากปากหม้อ เป็นปาราชิก. ส่วนภัณฑะใด ที่เขาใส่ไว้ในหม้อซีกเดียว หรือในหม้อเปล่า เฉพาะโอกาสที่ตน (คือภัณฑะ) ถูกต้อง เป็นฐานของภัณฑะนั้น, หม้อทั้งหมดหาได้เป็นฐานไม่ ; เพราะเหตุ นั้น เมื่อภิกษุก้มลากภัณฑะนั้นออกไป ครั้นประมาณเส้นผมหนึ่งพ้นไปจาก โอกาสที่ภัณฑะนั้นตั้งอยู่ เป็นปาราชิกทันที. แต่เมื่อภิกษุยกขึ้นตรงๆ จาก หม้อที่เต็มหรือพร่อง เมื่อภัณฑะนั้นพอพ้นจากโอกาสที่ส่วนเบื้องล่างจด เป็น ปาราชิก.

ภัณฑะอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่พอจะเป็นปาราชิก ซึ่งเขาวางไว้ภายในหม้อ เมื่อภิกษุให้ไหวอยู่ในหม้อทั้งสิ้น และเมื่อลากเครื่องประดับมีสังวาลเป็นต้น ออกไป ยังไม่เลยขอบปากเพียงใด, คงเป็นถุลลัจจัยเพียงนั้นนั่นแล. เพราะ ว่าหม้อแม้ทั้งหมด เป็นฐานของภัณฑะนั้น.

ส่วนในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ที่ซึ่งเขาตั้งไว้เท่านั้นเป็นฐาน, หม้อทั้งหมดหาได้เป็นฐานไม่ ; เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุให้พ้นไปจากฐานที่ ซึ่งเขาตั้งไว้เดิม แม้เพียงปลายเส้นผม ก็ต้องปาราชิกทีเดียวแล. คำแห่ง มหาอรรถกถานั้น เป็นประมาณ. ส่วนคำอรรถกถานอกนี้ ท่านกล่าวตามนัย แห่งการม้วนจีวรที่พาดอยู่บนราวจีวรของภิกษุที่ไม่ได้ทำให้ไปในอากาศ. คำที่ กล่าวไว้ในสังเขปอรรถกถา เป็นต้นนั้น ไม่ควรถือเอา. เพราะภิกษุควรตั้ง อยู่ในฐานะที่หนักแน่น อันมาแล้วในวินัยวินิจฉัย. ข้อนี้ เป็นธรรมดาในวินัย.


ความคิดเห็น 56    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 132

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างว่า หม้อทั้งหมด ไม่เป็นฐานแห่งภัณฑะที่ตั้งอยู่ ภายในหม้อฉันใด, คำแห่งสังเขปอรรถกถาเป็นต้นนั้น บัณฑิตพึงทราบฉันนั้น เพราะบาลีว่า ภิกษุทำให้ทรัพย์เขาไปในภาชนะของตนก็ดี ตัดกำเอาก็ดี ดัง นี้แล.

[อรรถาธิบายภิกษุลักดูดเอาเนยใสเป็นต้นเป็นปาราชิก]

ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุดื่มของที่เป็นน้ำอย่างใด อย่างหนึ่งมีเนยใสเป็นต้นเมื่อเนยใสเป็นต้นนั้น มาตรว่าเธอดื่มแล้วด้วยประโยค อันเดียวก็เป็นปาราชิก. แต่ในอรรถกถาทั้งหลาย มีมหาปัจจรีเป็นต้น ท่าน แสดงวิภาคนี้ไว้ว่า เมื่อภิกษุดื่มไม่ชักปากออก และเนยใสเป็นต้นที่เข้าไปใน ลำคอ ยังไม่ได้บาท รวมกับที่อยู่ในปาก จึงได้บาท, ยังรักษาอยู่ก่อน. แต่ ในเวลาที่เนยใสเป็นต้น ขาดตอนเพียงคอนั่นเอง ย่อมเป็นปาราชิก. ถ้าแม้ ภิกษุกำหนดตัดด้วยริมฝีปากทั้งสองข้างหุบปาก ก็ต้องปาราชิกเหมือนกัน. แม้เมื่อดื่มด้วยก้านอุบลหลอดไม้ไผ่และหลอดอ้อเป็นต้น และถ้าที่อยู่ในลำคอ นั่นแลได้ราคาบาทหนึ่ง เป็นปาราชิก. ถ้ารวมกับที่อยู่ในปาก จึงได้บาทหนึ่ง, เมื่อเนยใสเป็นต้นนั้น สักว่าภิกษุกำหนดตัดด้วยริมฝีปากทั้งสองข้าง ให้ความ เนื่องเป็นอันเดียวกันกับที่อยู่ในก้านอุบลเป็นต้น ขาดตอนกัน เป็นปาราชิก. ถ้ารวมกับที่อยู่ในก้านอุบลเป็นต้น จึงได้ราคาบาทหนึ่ง เป็นปาราชิก ในเมื่อ มาตรว่าภิกษุเอานิ้วมืออุดก้นแห่งก้านอุบลเป็นต้นเสีย. แต่เมื่อเนยใสเป็นต้น ซึ่งมีราคาได้บาทหนึ่ง ยังไม่ไหลเข้าไปในลำคอ ทั้งในก้านอุบลเป็นต้น ทั้ง ในปาก แม้มีค่าเกินกว่าบาทหนึ่ง แต่เป็นของเนื่องเป็นอันเดียวกันตั้งอยู่, ยัง รักษาอยู่ก่อนแล. คำแม้ทั้งหมด ที่กล่าวในมหาปัจจรีเป็นต้นนั้น ย่อมสมนัยนี้ ว่า ภิกษุทำให้ทรัพย์เข้าไปในภาชนะของตนก็ดี ตัดกำเอาก็ดี ดังนี้; เพราะเหตุ


ความคิดเห็น 57    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 133

นั้น (คำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามีมหาปัจจรีเป็นต้นนั้น) เป็นอันท่านแสดง ไว้ชอบแล้วแล. ในภัณฑะที่ติดเนื่องเป็นอันเดียวกันได้มีนัยเท่านี้ก่อน.

ก็ถ้าภิกษุเอามือก็ดี บาตรก็ดี ภาชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีถาดเป็นต้น ก็ดี ตักดื่ม, เนยใสเป็นต้นจะครบราคาบาทหนึ่งในประโยคใด, เมื่อทำประโยคนั้นแล้ว ต้องปาราชิก. ถ้าเนยใสเป็นต้น เป็นของมีราคามาก ทั้งเป็น ของที่อาจถือเอาได้ราคาบาทหนึ่ง ด้วยเพียงประโยคเดียวแล แม้ด้วยช้อน ในเมื่อยกขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น เป็นปาราชิก.

อนึ่ง เมื่อภิกษุกดภาชนะให้จมลงแล้วตักเอา, เนยใสเป็นต้นนั้นยัง เนื่องเป็นอันเดียวกันเพียงใด, ยังรักษาอยู่เพียงนั้น เป็นปาราชิก ด้วยการ ขาดเด็ดแห่งขอบปาก หรือด้วยการยกขึ้น. ก็เนยใสหรือน้ำมัน หรือน้ำผึ้ง และน้ำอ้อยที่ใส เช่นกับน้ำนั่นแล ภิกษุเอียงหม้อให้ไหลเข้าภาชนะของตน เมื่อใด, เมื่อนั้น ความเนื่องเป็นอันเดียวกันย่อมไม่มี เพราะเหตุที่สิ่งเหล่านั้น เป็นของใส ; เพราะฉะนั้น เมื่อเนยใสเป็นต้นซึ่งได้ราคาบาทหนึ่ง สักว่าไหล ออกจากขอบปาก เป็นปาราชิก. ส่วนน้ำผึ้งและน้ำอ้อยที่เขาเคี่ยวตั้งไว้ เหนียว คล้ายยาง เป็นของควรชักไปมาได้, เมื่อความรังเกียจเกิดขึ้น ภิกษุอาจนำกลับ คืนมาได้ เพราะเป็นของติดกันเป็นอันเดียวนั่นเอง. น้ำผึ้งและน้ำอ้อยชนิดนั้น แม้ออกจากขอบปากเข้าไปในภาชนะแล้ว ก็ชื่อว่ายังรักษาอยู่ เพราะเป็นของ ติดเนื่องเป็นอันเดียวกันกับส่วนข้างนอก แต่พอเมื่อสักว่าขาดจากขอบปากแล้ว จึงเป็นปาราชิก. แม้ภิกษุใด ใส่ผ้าเนื้อหนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะดื่มเนยใส หรือน้ำมันได้ราคาบาทหนึ่งอย่างแน่นอน ลงในหม้อของผู้อื่นด้วยไถยจิต พอ หลุดจากมือ ภิกษุนั้นก็ต้องปาราชิก.


ความคิดเห็น 58    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 134

ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุรู้ว่า บัดนี้ เขาจักใส่น้ำมัน มีไถยจิตใส่ภัณฑะอย่างใดอย่างหนึ่งลงในหม้อเปล่า, ถ้าภัณฑะนั้นจะดื่มได้ราคา ๕ มาสก ในเมื่อน้ำมันเขาใส่หม้อนั้นแล้ว เมื่อภัณฑะนั้นสักว่าดื่มน้ำมันนั้น แล้ว เป็นปาราชิก. แต่คำนั้นย่อมแย้งกับคำวินิจฉัยว่าด้วยการทำรางแห้งให้ ตรงในบึงที่แห้ง ในมหาอรรถกถานั้นนั่นเอง, จริงอยู่ ลักษณะแห่งอวหารใน คำนี้ ไม่ปรากฏ; เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรเชื่อถือ. ส่วนในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านปรับเป็นปาราชิก ในเมื่อยกภัณฑะนั้นขึ้น. คำนั้นใช้ได้. ภิกษุวางภัณฑะมีหนังเป็นต้น ในหม้อเปล่าของผู้อื่น เพื่อต้องการจะเก็บซ่อน ไว้ เมื่อเขาใส่น้ำมันลงในหม้อนั้นแล้ว (เธอ) กลัวว่า ถ้าผู้นี้จักทราบ เขา จักจับเรา จึงยกภัณฑะที่ดื่มน้ำมันไว้แล้วได้ราคาบาทหนึ่งขึ้น ด้วยไถยจิต ต้องปาราชิก ยกขึ้นด้วยจิตบริสุทธิ์ เมื่อผู้อื่นเอาไปเสีย เป็นภัณฑไทย. อธิบายว่า สิ่งของใดของผู้อื่นหายไป, ต้องใช้ราคาสิ่งของนั้น หรือใช้สิ่งของ นั้นนั่นเอง; ชื่อว่าภัณฑไทย. ถ้าไม่ใช้ให้ต้องปาราชิกในเมื่อเจ้าของทอดธุระ. แต่ถ้าผู้อื่นใส่เนยใสหรือน้ำมันลงในหม้อของภิกษุนั้น, ภิกษุผู้เจ้าของหม้อนี้ก็ ใส่ภัณฑะที่จะดื่มน้ำมันได้ลงแม้ในหม้อนั้น ด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก ตาม นัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. ภิกษุรู้ว่าเนยใสหรือน้ำมันที่ผู้อื่นใส่ไว้ในหม้อเปล่าของ ตน จึงใส่ภัณฑะลงไปด้วยไถยจิต เป็นปาราชิกขณะที่ยกขึ้น ตามนัยก่อน เหมือนกัน. มีจิตบริสุทธิ์ใส่ลงไป ภายหลังจึงยกขึ้นด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก เหมือนกัน. มีจิตบริสุทธิ์แท้ ยกขึ้นไม่เป็นอวหาร ไม่เป็นสินใช้. แต่ในมหาปัจจรี กล่าวไว้แต่เพียงอาบัติเท่านั้น. ในกุรุนที ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุ เคืองขัดใจว่า ท่านใส่น้ำมันลงในหม้อของเราทำไม ดังนี้แล้ว ยกภัณฑะขึ้น เททิ้งเสีย ไม่เป็นภัณฑไทย. ภิกษุใคร่จะให้น้ำมันไหล จึงจับที่ขอบปากเอียง


ความคิดเห็น 59    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 135

หม้อด้วยไถยจิต เมื่อน้ำมันไหลไปได้ราคาถึงบาทต้องปาราชิก. ภิกษุมีไถยจิตจิตแท้ ทำหม้อไห้ร้าวด้วยคิดว่า น้ำมันจะไหลไปเสีย เมื่อน้ำมันไหลไปได้ ราคาถึงบาท ต้องปาราชิก. ภิกษุมีไถยจิตนั้นแล กระทำหม้อไห้เป็นช่องทะลุ คว่ำหลายหรือตะแคง. ก็แลคำนี้เป็นฐานแห่งความฉงน, เพราะฉะนั้น ควร สังเกตให้ดี.

ก็ในคำว่า คว่ำ เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้: ช่องปากลงข้างล่าง ชื่อว่า คว่ำ. ช่องปากขึ้นข้างบน ชื่อว่า หงาย. ช่องปากไปตรงๆ เหมือน กระบวยชื่อว่า ตะแคง. บรรดาการทำคว่ำเป็นต้นนั้น เมื่อน้ำมันได้ราคาถึงบาท ไหลออกจากภายในช่องที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งตนทำไว้จำเดิมแต่ภายนอก ถึงจะไม่ ไหลออกไปภายนอก ก็เป็นปาราชิก. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า น้ำมัน พอไหลออกไปจากภายในนั้นเท่านั้น ก็ชื่อว่าไหลออกไปภายนอก จะนับว่าอยู่ ภายในหม้อไม่ได้ คือไม่ตั้งอยู่ในหม้อ. เมื่อน้ำมันได้ราคาถึงบาท ไหลออก ไปจากภายนอกช่อง ที่ตนทำไว้จำเดิมแต่ภายใน เป็นปาราชิก. เมื่อน้ำมันได้ ราคาถึงบาทไหลออกไปจากภายนอกช่องข้างบน ที่ตนทำไว้โดยอาการใดๆ ก็ ตาม เป็นปาราชิก. ในอรรถกถาทั้งหลาย ท่านกล่าวไว้ว่า แท้จริง น้ำมัน นั้น ยังไม่ไหลจากภายในไปภายนอกเพียงใด, ก็ชื่อว่ายังอยู่ภายในหม้อเพียง นั้นนั่นแล. พระวินัยธร พึงปรับ (อาบัติปาราชิก) ด้วยอำนาจน้ำมันที่ไหล ออกจากตรงกลางกระเบื้อง แห่งช่องที่อยู่ตรงกลาง. ก็คำที่กล่าวไว้ในอรรถกถา ทั้งหลายนั้น ย่อมสมกับการทำลายคันคูของสระ ในเมื่อภิกษุกระทำช่องตั้งแต่ ภายในและภายนอก เว้นตรงกลางไว้. แต่เมื่อภิกษุกระทำช่องจำเดิมแต่ภายใน แล้ว พระวินัยธรควรปรับอาบัติด้วยช่องภายนอก, เมื่อทำช่องจำเดิมแต่ภาย นอกแล้ว ควรปรับด้วยช่องภายใน ; คำที่ท่านกล่าวไว้ในช่องที่กำหนดด้วย ตรงกลางนี้ ดังพรรณนามานี้ ใช้ได้.


ความคิดเห็น 60    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 136

ก็ภิกษุใด นำออกซึ่งเชิงรองหรือก้อนเส้าแห่งหม้อ ด้วยไถยจิตว่า หม้อจักกลิ้งไป เมื่อหม้อกลิ้งไป เป็นปาราชิก. อนึ่ง เมื่อภิกษุรู้ความที่เขาจะ รินน้ำมันใส่ ทำความร้าวหรือช่องแห่งหม้อเปล่าไว้เป็นภัณฑไทย โดยประมาณ แห่งน้ำมันที่รั่วออกในภายหลัง. แต่ในอรรถกถาทั้งหลาย บางแห่งท่านเขียน ไว้ว่า เป็นปาราชิก ดังนี้ก็มี. นั่นเขียนไว้ด้วยความพลั้งพลาด. ภิกษุทำไม้ หรือหินให้เป็นอันตนผูกไว้ไม่ดี หรือตั้งไม้หรือหินให้เป็นของอันตนตั้งไว้ไม่ดี ในเบื้องบนแห่งหม้อเต็ม ด้วยไถยจิตว่า มันจักตกไปทำลาย น้ำมันจักไหล ออกจากหม้อนั้น. ไม้หรือหินนั้น จะต้องตกอย่างแน่นอน เมื่อภิกษุทำอย่างนั้น เป็นปาราชิกในขณะทำเสร็จ. ทำอย่างนั้น ในเบื้องบนแห่งหม้อเปล่า ไม้หรือ หินนั้นตกไปทำลายในกาลที่หม้อนั้นเต็มในภายหลังเป็นภัณฑไทย. จริงอยู่ ใน ฐานะเช่นนี้ยังไม่เป็นปาราชิกในเบื้องต้นทีเดียว เพราะประโยคอันภิกษุทำแล้ว ในกาลที่ของไม่มี. แต่เป็นภัณฑไทย เพราะทำของให้เสีย. เมื่อเขาให้นำมา ให้ ไม่ให้เขาเป็นปาราชิก เพราะการทอดธุระแห่งเจ้าของทั้งหลาย. ภิกษุ ทำเหมืองให้ตรงด้วยไถยจิตว่า หม้อจักกลิ้งไป หรือน้ำจักยังน้ำมันให้ล้นขึ้น หม้อกลิ้งไปก็ตาม น้ำมันล้นขึ้นก็ตาม เป็นปาราชิกในเวลาที่ทำให้ตรง. จริงอยู่ ประโยคเช่นนี้ๆ ถึงความสงเคราะห์ได้ในบุพประโยคาวหาร. เมื่อเหมืองแห้ง อันภิกษุทำให้ตรงไว้แล้ว น้ำไหลมาทีหลัง หม้อกลิ้งไปก็ตาม น้ำมันล้นขึ้น ก็ตาม, เป็นภัณฑไทย. เพราะเหตุไร? เพราะไม่มีประโยค คือการให้เคลื่อน จากฐาน. ลักษณะแห่งประโยค คือ การให้เคลื่อนจากฐานนั้น จักมีแจ้งใน ของที่ตั้งอยู่ในเรือ.

[อรรถาธิบาย คำว่า ภินฺทิตฺวา เป็นต้น]

พึงทราบวินิจฉัยในบททั้งหลายมีบทว่า ตตฺเถว ภินฺทติ วา เป็นต้น ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาดังนี้ก่อน.


ความคิดเห็น 61    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 137

บทว่า ทำลายก็ดี นั้น โดยอรรถว่า ทุบทำลายด้วยไม้ค้อน.

บทว่า เทก็ดี นั้น โดยอรรถว่าเทน้ำหรือทรายลงในน้ำมันล้นขึ้น.

บทว่า ยังไฟให้ไหม้ก็ดี นั้น โดยอรรถว่านำฟืนมาแล้วยังไฟให้ไหม้.

บทว่า ให้เป็นของบริโภคไม่ได้ นั้น โดยอรรถว่า ทำให้เป็น ของพึงเคี้ยวไม่ได้ หรือพึงดื่มไม่ได้ คือ ยังอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือยาพิษ หรือของเดน หรือซากศพให้ตกลงไป.

บทว่า ต้องอาบัติทุกกฏ นั้น โดยอรรถว่า เป็นทุกกฏเพราะไม่มี การให้เคลื่อนจากฐาน. ญาณพิเศษนี้ ชื่อว่า พุทธวิสัย. แม้จะเป็นทุกกฏ ก็จริง แต่เมื่อเจ้าของให้นำมาให้ เป็นภัณฑไทย. ใน ๔ บทนั้น สองบทเบื้องต้น ไม่สม. เพราะสองบทนั้น เป็นลักษณะอันเดียวกันกับการทำความร้าวของหม้อ และการทำเหมืองให้ตรง. ส่วนสองบทเบื้องหลัง แม้ยังวัตถุให้เคลื่อนจากฐาน ก็อาจทำได้. เพราะฉะนั้น อาจารย์พวกหนึ่ง จึงกล่าววินิจฉัยในคำนี้ไว้อย่างนี้.

ได้ยินว่า ในอรรถกถา คำว่า เป็นทุกกฏ เพราะไม่มีการให้เคลื่อน จากฐาน นี้ ท่านกล่าวหมายเอาสองบทเบื้องหลัง. จริงอยู่ ภิกษุไม่ทำการให้ เคลื่อนจาก ฐานเลย พึงเผาเสียก็ดี พึงทำไห้เป็นของใช้สอยไม่ได้ก็ดี ด้วย ไถยจิตหรือเพราะต้องการให้การเสียหาย, แต่ในสองบทเบื้องต้น เมื่อภิกษุ ทำลายหรือเทโดยนัยที่กล่าวแล้ว การให้เคลื่อนจากฐาน ย่อมมีได้ ; เพราะ ฉะนั้น เมื่อทำอย่างนั้น เป็นภัณฑไทย เพราะใคร่นะให้เสียหาย เป็นปาราชิก ด้วยไถยจิต ดังนี้แล.

หากมีผู้แย้งว่า คำนั้น ไม่ชอบ เพราะท่านกล่าวไว้ในพระบาลีว่า เป็นทุกกฏ.


ความคิดเห็น 62    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 138

พึงเฉลยว่า จะเป็นคำไม่ชอบหามิได้ เพราะมีอรรถที่จะพึงถือเอาโดย ประการอื่น.

จริงอยู่ ในฝักฝ่ายแห่งไถยจิตในพระบาลี อาจารย์พวกหนึ่งกล่าว อย่างนี้ว่า บทว่า ทำลายก็ดี นั้น โดยอรรถว่า เจือด้วยน้ำ บทว่า เท ก็ดี นั้น โดยอรรถว่า เท ทราย หรืออุจจาระ หรือปัสสาวะลงใสเภสัชมีน้ำมัน เป็นต้นนั้น ดังนี้. ส่วนสาระในคำนี้ ดังต่อไปนี้ :- ภิกษุไม่ประสงค์จะให้เคลื่อน จากฐานเลย ทำลายอย่างเดียว ดุจภิกษุเผาหญ้าในวินีตวัตถุ. แต่เภสัชมีน้ำมัน เป็นต้นย่อมไหลออกได้ เพราะหม้อทำลายแล้ว. ก็หรือว่า ในเภสัชเหล่านั้น เภสัชใดเป็นของแห้ง เภสัชนั้น ยังยึดกันตั้งอยู่ได้เทียว. อนึ่ง ภิกษุไม่ประสงค์ จะเทน้ำมันเลย เทน้ำ หรือทราย เป็นต้น ลงในหม้อนั้นอย่างเดียว. แต่ น้ำมันก็เป็นอันภิกษุนั้นเท เพราะได้เทน้ำหรือทรายเป็นต้นนั้นลงไป. เพราะ ฉะนั้น ด้วยอำนาจโวหาร ท่านจึงเรียกว่า ทำลายก็ดี เทก็ดี. ผู้ศึกษาพึงถือ เอาใจความแห่งบทเหล่านี้ ดังกล่าวมาฉะนี้.

ส่วนในฝ่ายแห่งความเป็นผู้ใคร่จะให้ฉิบหาย เป็นทุกกฏ ถูกต้องแม้ โดยประการนอกนี้. จริงอยู่ เมื่อท่านกล่าวอธิบายความอยู่อย่างนี้ บาลีและ อรรถกถา ย่อมเป็นอันท่านสอบสวน กล่าวดีแล้วโดยเบื้องต้นและเบื้องปลาย. แต่ไม่ควรทำความพอใจแม้ด้วยทำอธิบายเพียงเท่านี้ พึงเข้าไปนั่งใกล้อาจารย์ ทั้งหลายแล้วทราบข้อวินิจฉัยแล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในแผ่นดิน


ความคิดเห็น 63    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 139

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่บนบก

พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่บนบก. สองบทว่า ถเล นิกฺขิตฺตํ ความว่า ได้แก่ ทรัพย์ที่เขาวางไว้บนพื้นดินก็ดี บนพื้นปราสาทและบนภูเขา เป็นต้นแห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งปกปิดหรือไม่ปกปิดก็ดี พึงทราบว่า ทรัพย์ที่ตั้ง อยู่บนบก. ทรัพย์นั้น ถ้าเขาทำเป็นกองไว้ พึงตัดสินตามคำวินิจฉัยที่กล่าวไว้ ในการทำทรัพย์ให้อยู่ในภาชนะและการตัดกำเอาในภายในหม้อ. ถ้าทรัพย์นั้น ติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน มียางรักและยางสนเป็นต้น พึงตัดสินตามคำวินิจฉัย ที่กล่าวไว้ในน้ำผึ้งและน้ำอ้อยที่เคี่ยวสุกแล้ว. ถ้าทรัพย์เป็นของหนัก จะเป็น แท่งโลหะก็ตาม งบน้ำอ้อยก็ตาม วัตถุมีน้ำมันน้ำผึ้งและเปรียงเป็นต้นก็ตาม ซึ่งเนื่องด้วยภาระ พึงตัดสินตามคำวินิจฉัยที่กล่าวไว้ในการยังหม้อให้เคลื่อน จากฐาน และพึงกำหนดความต่างของฐานแห่งสิ่งของเขาผูกไว้ด้วยโซ่. ส่วน ภิกษุถือเอาวัตถุมีผ้าปาวารผ้าลาดพื้นและผ้าสาฎกเป็นต้นที่เขาปูลาดไว้ ฉุดมา ตรงๆ เมื่อชายผ้าข้างโน้นล่วงเลยโอกาสที่ชายผ้าข้างนี้ถูกต้องไป เป็นปาราชิก. ในทุกๆ ทิศ ก็ควรกำหนดด้วยอาการอย่างนี้. ภิกษุห่อแล้วยกขึ้น เมื่อทำให้ ลอยไปในอากาศ เพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก. ทำที่เหลือมีนัยดังกล่าว แล้วนั่นเอง ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่บนบก


ความคิดเห็น 64    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 140

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในอากาศ

พึงทราบวินิจฉัยในของที่อยู่ในอากาศ. สำหรับนกยูง พึงทราบการ กำหนดฐานโดยอาการ ๖ อย่าง คือ ข้างหน้ากำหนดด้วยจะงอยปาก ข้างหลัง กำหนดด้วยปลายลำแพนหาง ข้างทั้ง ๒ กำหนดด้วยปลายปีก เบื้องต่ำกำหนด ด้วยปลายเล็บเท้า เบื้องบนกำหนดด้วยปลายหงอน. ภิกษุคิดว่า จักจับนกยูง ซึ่งมีเจ้าของ อัน (บิน) อยู่ในอากาศ ยืนอยู่ข้างหน้า หรือเหยียดมือออก. นกยูงกางปีกอยู่ในอากาศนั่นแหละ กระพือปีกแล้วหยุดบินยืนอยู่ เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุนั้น, ไม่ให้นกยูงนั้นไหว เอามือลูบคลำ เป็นทุกกฎเหมือนกัน, ไม่ให้เคลื่อนจากฐาน ให้ไหวอยู่ เป็นถุลลัจจัย. ส่วนจะเอามือจับหรือไม่จับ ก็ตาม ให้ปลายลำแพนหางล่วงเลยโอกาสที่จะงอยปากถูก หรือให้จะงอยปาก ล่วงเลยโอกาสที่ปลายลำแพนหางถูก, ถ้านกยูงนั้น ได้ราคาบาทหนึ่งไซร้, เป็นปาราชิก. อนึ่ง ให้ปลายปีกข้างขวา ล่วงเลยโอกาสที่ปลายปีกข้างซ้ายถูก หรือให้ปลายปีกข้างซ้าย ล่วงเลยโอกาสที่ปลายปีกข้างขวาถูก ก็เป็นปาราชิก. อนึ่ง ให้ปลายหงอน ล่วงเลยโอกาสที่ปลายเล็บเท้าถูก หรือให้ปลายเล็บเท้า ล่วงเลยโอกาสที่ปลายหงอนถูก ก็เป็นปาราชิก. นกยูงบินไปทางอากาศ จับที่ บรรดาอวัยวะมีศีรษะเป็นต้น อันใด, อวัยวะอันนั้น เป็นฐานของนกยูงนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นแม้เมื่อทำนกยูงตัวนั้น ซึ่งเกาะอยู่ที่มือให้ส่ายไปข้าง โน้นและข้างนี้ ชื่อว่าทำให้ไหวแท้. และถ้าเธอเอามืออีกข้างหนึ่งจับให้เคลื่อน จากฐาน เป็นปาราชิก. ภิกษุยื่นมืออีกข้างหนึ่งเข้าไปใกล้, นกยูงโดดไปเกาะ ที่มือนั้นเสียเอง ไม่เป็นอาบัติ. ภิกษุมีไถยจิต รู้ว่านกยูงจับที่อวัยวะ ย่างเท้า ก้าวแรก เป็นถุลลัจจัย, ก้าวที่สอง เป็นปาราชิก. นกยูงจับอยู่บนพื้นดิน


ความคิดเห็น 65    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 141

ย่อมได้ฐาน ๓ ด้วยอำนาจเท้าทั้งสอง และลำแพนหาง. เมื่อภิกษุยกนกยูงนั้น ขึ้น เป็นถุลลัจจัย ตลอดเวลาที่ฐานแม้เพียงฐานเดียวยังถูกแผ่นดิน. เมื่อนกยูง นั้นสักว่าอันภิกษุให้พ้นจากแผ่นดินแม้เพียงปลายเส้นผมก็เป็นปาราชิก. ภิกษุ ยกนกยูงซึ่งอยู่ในกรงขึ้นพร้อมทั้งกรง ต้องปาราชิก. แต่ถ้านกยูงตัวนั้น ไม่ได้ ราคาถึงบาทไซร้, พึงปรับตามราคาทุกๆ แห่ง. ภิกษุมีไถยจิต ทำนกยูงตัว ซึ่งเที่ยวอยู่ภายในสวนให้ตกใจ ไล่มันเดินออกไปนอกสวนด้วยเท้าเทียว ให้ ล่วงเลยเขตที่กำหนดแห่งประตู ต้องปาราชิก. จริงอยู่ ภายในสวน เป็นฐาน ของนกยูงนั้น เหมือนคอกเป็นฐานของโคที่อยู่ในคอก ฉะนั้น. แต่เมื่อภิกษุ เอามือจับทำให้มันบินไปในอากาศ แม้ภายในสวน ก็ต้องปาราชิกเหมือนกัน. เมื่อภิกษุยังนกยูงแม้เที่ยวอยู่ภายในบ้านให้ล่วงเลยเครื่องล้อมแห่งบ้านไป ต้อง ปาราชิก. นกยูงตัวที่ออกไปเที่ยวอยู่ในอุปจารบ้านหรืออุปจารสวนเองทีเดียว และภิกษุมีไถยจิต ยังมันให้ตกใจด้วยไม้หรือด้วยกระเบื้อง ทำให้มันบ่ายหน้า เข้าดง. นกยูงบินไปเกาะอยู่ภายในบ้าน หรือภายในสวน หรือบนหลังคา, ยังรักษาอยู่. แต่ถ้ามันบ่ายหน้าเข้าดงบินไปก็ดี เดินไปก็ดี, เมื่อไม่มีความหมาย ใจว่า เราให้มันเข้าดงไปแล้ว จักจับเอา ต้องปาราชิก ในเมื่อสักว่า มันบิน ขึ้นพ้นแผ่นดินแม้เพียงปลายเส้นผม หรือในย่างเท้าที่สอง. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ที่ซึ่งยืนเท่านั้น เป็นฐานของมันซึ่งออกจากบ้านแล้ว. แม้ใน นกทั้งหลายมีนกคับแคเป็นต้น ก็พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้แล.

บทว่า สาฏกํ วา มีความว่า ภิกษุเอามือจับ ผ้าสาฎกที่แข็งด้วย แป้ง ซึ่งปลิวไปในอากาศ ลอยมาตรงหน้า ที่ชายผ้าข้างหนึ่งเหมือนผ้าที่เขา ขึงลาดไว้บนพื้นแผ่นดินถูกลมกระพือพัด ฉะนั้น, เมื่อไม่ได้ทำฐานให้ไหวไป ข้างโน้นและข้างนี้เลย ต้องทุกกฏ เพราะงดการเดิน, เมื่อไม่ทำให้เคลื่อนจาก ฐานรักษาอยู่, เป็นถุลลัจจัย เพราะทำให้ไหว, ให้เคลื่อนจากฐาน ต้อง


ความคิดเห็น 66    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 142

ปาราชิก. ก็การกำหนดฐานแห่งผ้าสาฎกนั้น พึงทราบด้วยอาการ ๖ อย่าง เหมือนการกำหนดฐานแห่งนกยูง ฉะนั้น. ส่วนผ้าสาฎกที่ไม่แข็ง พอภิกษุจับ ที่ชายผ้าข้างหนึ่งเท่านั้น ก็ตกลงไปกองอยู่บนพื้นดินทั้งชายที่สอง, ผ้าสาฎก นั้นมีฐาน ๒ คือ มือ ๑ พื้นดิน ๑. ภิกษุทำผ้าสาฎกนั้น ตามที่จับเอาแล้วนั่น แล ให้เคลื่อนไปจากประเทศแห่งโอกาสที่ตนจับเอาครั้งแรก ต้องถุลลัจจัย ภายหลัง เอามือที่สอง หรือเท้ายกขึ้นจากพื้นดิน ต้องปาราชิก. อนึ่ง ครั้งแรก ยกขึ้นจากพื้นดิน ต้องถุลลัจจัย, ภายหลังให้เคลื่อนจากประเทศแห่งโอกาสที่ ตนจับเอา ต้องปาราชิก. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเมื่อไม่ปล่อยการจับ ยื่นมือลง ไปตรงๆ ป้องผ้าให้อยู่ที่พื้นดิน จึงเอามือนั้นนั่นเองยกผ้าขึ้น ต้องปาราชิก. แม้ในผ้าโพก ก็พึงทราบวินิจฉัยดังนี้แหละ.

หลายบทว่า หิรญฺํ วา สุวณฺณํ วา ฉิชฺชมานํ มีความว่า เครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้น ของพวกมนุษย์ผู้ตกแต่งอยู่ก็ดี แท่งทองของ พวกช่างทองผู้ตัดซี่ทองอยู่ก็ดี ขาดตกไป. ถ้าภิกษุมีไถยจิตเอามือจับเอาเครื่อง ประดับ หรือแท่งทองที่ขาดตกลอยมาทางอากาศนั้น, การจับเอานั่นแหละ เป็นฐาน, เอามือออกจากประเทศที่ตนจับเอาต้องปาราชิก. เอามือยกเครื่อง ประดับมีสร้อยคอเป็นต้นที่ตกลงไปในจีวรขึ้น ต้องปาราชิก, ไม่ได้ยกขึ้นเลย แต่เดินไป ต้องปาราชิกในย่างเท้าที่สอง. ถึงในเครื่องประดับมีสร้อยคอเป็นต้น ที่ตกลงไปในบาตร ก็มีนัยอย่างนี้แล. เอามือจับเครื่องประดับมีสร้อยคอ เป็นต้น ที่ตกลงที่ศีรษะ ที่หน้า หรือที่เท้า ต้องปาราชิก, ไม่ได้จับเอาเลย แต่เดินไป ต้องปาราชิกในย่างเท้าที่สอง. อนึ่ง เครื่องประดับมีสร้อยคอ เป็นต้นนั้นตกไปในที่ใดๆ , เฉพาะโอกาสที่เครื่องประดับเป็นต้นตั้งอยู่ในที่ นั้นๆ เป็นฐานของเครื่องประดับเป็นต้นนั้น, อังคาพยพทั้งหมดก็ดี บาตร และจีวรก็ดี หาได้เป็นฐานไม่ ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในอากาศ


ความคิดเห็น 67    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 143

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่อยู่ในกลางแจ้ง

พึงทราบวินิจฉัยในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในกลางแจ้ง. ภัณฑะที่เขาวางไว้บน เตียงและตั่งเป็นต้น จะเป็นของควรจับต้องหรือไม่ควรจับต้องก็ตาม เมื่อภิกษุ จับต้องด้วยไถยจิต เป็นทุกกฎ. ก็แลในภัณฑะที่เขาวางไว้บนเตียงและตั่งนี้ ควรทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวไว้ในภัณฑะที่ตั้งอยู่บนบก. ส่วนความแปลกกัน พึงทราบดังนี้ :-

ถ้าผ้าสาฎกที่แข็งด้วยแป้ง ซึ่งเขาขึงไว้ที่เตียงหรือตั่ง ตรงกลางไม่ถูก พื้นเตียง ถูกแต่เท้าเตียงเท่านั้น, พึงทราบฐานด้วยอำนาจแห่งเท้าทั้ง ๔ ของ เตียงนั้น. จริงอยู่ เมื่อผ้าสาฎกนั้น สักว่าอันภิกษุให้ล่วงเลยโอกาสที่ถูก เบื้องบน แห่งเท้าเตียงเท่านั้น ย่อมเป็นปาราชิก ในเพราะเหตุให้ก้าวล่วงนั้น. แต่เมื่อภิกษุลักไปพร้อมทั้งเตียงและตั่ง พึงทราบฐาน ด้วยอำนาจโอกาสที่ เท้าเตียงและตั่งตั้งจดอยู่.

บทว่า จีวรวํเส วา มีความว่า บนราวหรือบนขอไม้ที่เขาผูกตั้งไว้ เพื่อประโยชน์แก่การพาดจีวร. เฉพาะโอกาสที่ถูกกับโอกาสที่ตั้งอยู่ เป็นฐาน ของจีวรที่พาดไว้บนราวนั้น ซึ่งเอาชายไว้ข้างนอก เอาขนดไว้ข้างใน, ราว จีวรทั้งหมด หาได้เป็นฐานไม่. เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุจับจีวรนั้นที่ขนด ดึงมาด้วยไถยจิต ให้โอกาสที่ตั้งอยู่บนราวด้านนอก ล่วงเลยประเทศที่ราวจีวร ถูกด้านในไป เป็นปาราชิก ด้วยการดึงมาเพียงนิ้วเดียวหรือสองนิ้วเท่านั้น. นัยแม้แห่งภิกษุผู้จับที่ชายดึงมา ก็เหมือนกันนี้. แต่เมื่อภิกษุรูดลงข้างซ้าย หรือข้างขวาบนราวจีวรนั้นนั่นเอง ครั้นเมื่อจีวรนั้นสักว่าล่วงเลยฐานแห่งชาย ข้างขวาด้วยชายข้างซ้าย หรือสักว่าล่วงเลยฐานแห่งชายข้างซ้ายด้วยชายข้างขวา


ความคิดเห็น 68    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 144

ไป เป็นปาราชิก ด้วยการรูดไปเพียง ๑๐ นิ้ว หรือ ๑๒ นิ้วเท่านั้น. เมื่อ ภิกษุยกขึ้นข้างบน เป็นปาราชิก ด้วยการยกขึ้นเพียงปลายเส้นผม. เมื่อภิกษุ แก้จีวรที่เขาเอาเชือกผูกแขวนไว้ จะถูกราวจีวรหรือไม่ก็ตาม เป็นถุลลัจจัย, เมื่อแก้ออกแล้ว เป็นปาราชิก. จริงอยู่ จีวรนั้นพอสักว่าแก้ออกเท่านั้น ย่อม ถึงความนับว่า พ้นจากฐาน. เมื่อภิกษุคลายจีวรที่เขาพันไว้ที่ราวออก เป็น ถุลลัจจัย, ครั้นเมื่อจีวรนั้นสักว่าคลายออกเสร็จแล้ว ก็ต้องปาราชิก. ในจีวร ที่เขาทำเป็นห่วงเก็บไว้ ภิกษุตัดห่วงออกก็ดี แก้ออกก็ดีปลดปลายราวข้างหนึ่ง แล้วรูดออกก็ดี ต้องถุลลัจจัย, ครั้นเมื่อห่วงนั้น สักว่าขาดก็ดี สักว่าแก้ออก แล้วก็ดี สักว่ารูดออกแล้วก็ดี ต้องปาราชิก. ภิกษุไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย รูดไป รูดมาบนราวจีวร, ยังรักษาอยู่ก่อน. จริงอยู่ ราวจีวรแม้ทั้งหมดเป็นฐานของ ห่วง. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุที่การรูดหมุนไปบนราวจีวรนั้นเป็นของ ธรรมดา. แต่ถ้าภิกษุเอามือจับจีวรนั้นทำให้ลอยไปในอากาศ ต้องปาราชิก. เพียงโอกาสที่ถูกกับโอกาสที่ตั้งอยู่ เป็นฐานของจีวรที่เขาคลี่พาดไว้. วินิจฉัย ในจีวรชนิดนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในจีวรที่พับพาดไว้. ส่วนจีวร ใด เป็นของถูกพื้นด้วยชายข้างหนึ่ง, ฐานจีวรนั้นมี ๒ ฐาน ด้วยอำนาจโอกาส ที่จดราวจีวรและพื้น. ในจีวรที่จดพื้นด้วยชายข้างหนึ่งนั้น พึงทราบวินิจฉัย ตามนัยที่กล่าวแล้วในผ้าสาฎกไม่แข็งนั่นแหละ. แม้ในสายระเดียงจีวร ก็พึง ทราบวินิจฉัยดังนี้แล. ส่วนภัณฑะที่เขาวางแขวนไว้บนขอ จะเป็นหม้อยาหรือ ถุงยาก็ตาม, ถ้าตั้งอยู่ไม่ถูกฝาหรือพื้น, เมื่อภิกษุรูดหูที่คล้องปลดออก เมื่อ ภัณฑะนั้นสักว่าออกจากปลายขอไป, เป็นปาราชิก. หูสำหรับคล้องเป็นของแข็ง เมื่อภิกษุยกขึ้นพร้อมทั้งหลักหู ทำให้ลอยไปในอากาศ ถึงเมื่อหูที่คล้องนั้น ยังไม่หลุดออกจากปลายขอ ก็เป็นปาราชิก. ภัณฑะเป็นของพิงติดอยู่กับฝา,


ความคิดเห็น 69    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 145

ภิกษุดึงภัณฑะนั้นออกจากปลายขอครั้งแรก ต้องถุลลัจจัย, ภายหลังจึงปลด ฝาออก ต้องปาราชิก. นัยแม้แห่งภิกษุผู้ปลดฝาออกครั้งแรกแล้ว ภายหลังจึง นำออกจากขอ ก็เหมือนกันนี้. ก็ถ้าภิกษุไม่อาจปลดภัณฑะที่หนักออกได้ ตนเองจึงทำให้พิงฝาแล้วปลดออกจากขอ, เมื่อภัณฑะนั้น แม้ภิกษุไม่ให้ห่างฝา สักว่าปลดออกจากขอได้เท่านั้น เป็นปาราชิก. เพราะว่าฐานที่ตนทำ ไม่จัด เป็นฐาน. แต่สำหรับภัณฑะที่ตั้งจดพื้นมี ๒ ฐานเท่านั้น. วินิจฉัยในภัณฑะที่ ตั้งจดพื้นนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วแล. ก็แลภัณฑะใด เขาใส่สาแหรก แขวนไว้. เมื่อภิกษุปลดภัณฑะนั้นออกจากสาแหรกก็ดี ปลดภัณฑะนั้นทั้ง สาแหรกออกจากขอก็ดี เป็นปาราชิก. และถึงความต่างกันแห่งฐานในภัณฑะ ที่เขาใส่สาแหรกแขวนไว้นี้ ก็พึงทราบอย่างภัณฑะที่ชิดฝาและพื้น.

ตะปูที่เขาตอกฝาไว้ตรงๆ ก็ดี เดือยที่เกิดในฝานั้นนั่นเองก็ดี ชื่อว่า ภิตติขีละ ตะปูฝา. ส่วนตะปูงอนที่เขาตอกไว้นั้นแหละ ชื่อ ฟันนาค. ภัณฑะ ที่เขาแขวนไว้บนตะปูฝาและฟันนาคนั้น พึงทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวแล้ว ในภัณฑะที่แขวนไว้บนขอ. ก็หอกหรือหลาวหรือแส้หางสัตว์ ซึ่งเขายกขึ้น พาดไว้บนตะปูฝาหรือฟันนาค ๒ - ๓ อัน ซึ่งติดเรียงกันเป็นลำดับ ภิกษุจับที่ ปลายหรือที่ด้ามลากมา, เพียงแต่โอกาสที่ตะปูฝาหรือฟันนาคอันหนึ่งๆ ถูก ล่วงเลยไปเท่านั้น ต้องปาราชิก. เพราะว่าเพียงโอกาสที่ถูกเท่านั้น ย่อมเป็น ฐานของหอกหลาวและแส้หางสัตว์เหล่านั้น, ตะปูฝาหรือฟันนาคทั้งหมด ไม่ จัดเป็นฐาน. ภิกษุยืนหันหน้าเข้าฝา จับตรงกลางลากมา เพียงแต่ส่วนด้านนอก ล่วงเลยโอกาสที่ส่วนด้านในถูก ต้องปาราชิก. แม้เมื่อภิกษุเลื่อนไปข้างหน้า ก็มีนัยเหมือนกันนี้. เมื่อภิกษุเอามือจับยกขึ้น ทำให้ลอยไปในอากาศ แม้ เพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก. ภิกษุลากหอกเป็นต้นนั้นที่เขาวางไว้ชิดฝา ครูดฝามา, เมื่อเธอให้ด้ามล่วงเลยโอกาสที่ปลายถูก หรือให้ปลายล่วงเลย


ความคิดเห็น 70    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 146

โอกาสที่ด้ามถูกไป ต้องปาราชิก. ภิกษุยืนหันหน้าเข้าฝา ลากมาให้ส่วนที่สุด ข้างอื่นล่วงเลยโอกาสที่ส่วนอีกข้างหนึ่งถูกไป ต้องปาราชิก. เมื่อยกขึ้นตรงๆ ทำให้ลอยไปในอากาศเพียงปลายเส้นผม ต้องปาราชิก.

สองบทว่า รุกฺเข วา ลคฺคิตํ ได้แก่ ภัณฑะที่เขายกขึ้นแขวนไว้ ที่ต้นตาลเป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยตามนัยที่กล่าวแล้วในภัณฑะที่แขวนไว้บน ขอเป็นต้น. ก็แลเมื่อภิกษุเขย่าทะลายตาลที่เกิดอยู่บนต้นตาลนั้น วัตถุแห่ง ปาราชิกจะเต็มในผลใด. เมื่อผลนั้นสักว่าหลุดจากขั้ว ต้องปาราชิก. ภิกษุตัด ทะลายตาล ต้องปาราชิก. ส่วนทะลายตาลที่เขายกขึ้นเอาปลายพาดไว้ในง่ามใบ ได้ ๒ ฐาน คือฐานที่พาดไว้ ๑ ฐานคือขั้ว ๑. วินิจฉัยใน ๒ ฐานนั้น พึง ทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว. ส่วนภิกษุใด ยกปลายพาดที่ง่ามใบเองแล้วจึงตัด เพราะกลัวว่า พอตัดขาดตกลงมา จะพึงทำเสียง สักว่าตัดเสร็จ, ภิกษุนั้น ต้องปาราชิก. เพราะว่าฐานที่ตนทำ ไม่จัดเป็นฐาน. ในดอกและผลของต้นไม้ ทั้งปวง พึงทราบวินิจฉัยโดยอุบายนี้.

ในคำว่า ปตฺตาธารเกปิ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- จะเป็นเชิงไม้ก็ตาม เชิงวลัยก็ตาม เชิงท่อนไม้ก็ตาม ที่ตั้งบาตรชนิดใดชนิดหนึ่ง แม้เป็นกระเช้า ก็ช่าง ทุกอย่างถึงความนับว่า เชิงรองบาตร ทั้งนั้น เพียงโอกาสที่บาตรถูก นั่นเอง เป็นฐานของบาตรที่เขาตั้งไว้บนเชิงรองบาตรนั้น. ในเชิงไม้ของบาตร นั้น มีกำหนดฐานโดยอาการ ๕ อย่าง. ภิกษุจับบาตรที่ตั้งอยู่บนเชิงไม้นั้น ที่ขอบปาก แล้วลากไปข้างใดข้างหนึ่งในทิศทั้ง ๔ ให้ส่วนข้างอื่นล่วงเลย โอกาสที่ส่วนข้างหนึ่งๆ ถูกไป ต้องปาราชิก. เมื่อยกขึ้นข้างบน เพียงปลาย เส้นผม ต้องปาราชิก. แต่พึงให้ตีราคาของปรับอาบัติทุกๆ แห่ง. แม้เมื่อ ภิกษุลักบาตรไปพร้อมทั้งเชิงรอง ก็มีนัยนี้เหมือนกัน ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในกลางแจ้ง


ความคิดเห็น 71    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 147

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำ

พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำ :- หลายบทว่า อุทเก นิกฺขิตฺตํ โหติ ความว่า ภัณฑะที่พวกชนผู้กลัวแต่ราชภัยเป็นต้น ทำการ ปิดเสียให้ดีในวัตถุทั้งหลายมีภาชนะทองแดง และโลหะเป็นต้นซึ่งจะไม่เสียหาย ไปด้วยน้ำเป็นธรรมดา แล้วเก็บไว้ในน้ำนิ่ง ในสระโบกขรณีเป็นต้น. เพียง โอกาสที่ตั้งอยู่ เป็นฐานของทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำนั้น, น้ำทั้งหมด ไม่จัดเป็นฐาน.

หลายบทว่า คจฺฉติ วา อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ความว่า เมื่อภิกษุ เดินไปในน้ำที่ไม่ลึก เป็นทุกกฎทุกๆ ย่างเท้า. ในน้ำลึกเมื่อทำความพยายาม ด้วยมือ หรือด้วยเท้าก็ดี ทำความพยายามทั้งมือและเท้าก็ดีเป็นทุกกฏทุก ประโยค. ถึงในการดำลงและผุดขึ้น เพื่อลักเอาหม้อ ก็มีนัยเหมือนกันนี้. แต่ถ้าภิกษุเห็นภัยบางอย่าง จะเป็นงูน้ำหรือปลาร้ายก็ตาม กลัวแล้วก็หนีไป เสียในระหว่าง ไม่เป็นอาบัติ. ในอาการมีจับต้องเป็นต้น พึงทราบวินิจฉัย โดยนัยที่กล่าวแล้วในหม้อ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินนั่นแล. ส่วนความแปลกกันมี ดังต่อไปนี้ :- ในภุมมัฏฐกถานั้น ภิกษุขุดลากไปบนแผ่นดิน, ในอุทกัฏฐกถานี้ ภิกษุกดให้จมลงในโคลน. ความกำหนดฐาน ย่อมมีได้ ด้วยอาการ ๖ ด้วย ประการฉะนี้. ในดอกอุบลเป็นต้น วัตถุแห่งปาราชิก จะครบในดอกใด, เมื่อ ดอกนั้นสักว่า ภิกษุเด็ดแล้ว ต้องปาราชิก. ก็บรรดาชาติดอกบัวเหล่านี้ เปลือกบัวแม้ที่ข้างๆ หนึ่งแห่งอุบลชาติทั้งหลาย ยังไม่ขาดไปเพียงใด, ยัง รักษาอยู่เพียงนั้น. ส่วนปทุมชาติเมื่อก้านขาดแล้ว ใยข้างในแม้ยังไม่ขาด ก็รักษาไว้ไม่ได้. ดอกอุบลเป็นต้นที่เจ้าของตัดวางไว้, ดอกใด จะยังวัตถุ ปาราชิกให้ครบได้, เมื่อดอกนั้นอันภิกษุยกขึ้นแล้ว ก็เป็นปาราชิก. ดอกอุบล


ความคิดเห็น 72    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 148

เป็นต้น เป็นของที่เขามัดเป็นกำๆ ไว้, วัตถุปาราชิกจะครบในกำใด, เมื่อ กำนั้น อันภิกษุยกขึ้น ต้องปาราชิก. ดอกอุบลเป็นต้น เป็นของเนื่องด้วย ภาระ * , เมื่อภิกษุให้ภาระนั้นเคลื่อนจากฐาน ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง แห่งอาการ ๖ ต้องปาราชิก ตามนัยที่กล่าวแล้วในหม้อที่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ดอกอุบลเป็นต้น มีก้านยาวที่เขามัดที่ดอกหรือที่ก้านให้เป็นกำ ลาดหญ้าบน เชือกบนหลังน้ำ วาง ไว้ หรือล่ามไว้, กำหนดการให้เคลื่อนจากฐานแห่งดอก อุบลเป็นต้นเหล่านั้น พึงทราบโดยอาการ 6 อย่าง คือ ด้านยาว กำหนด ด้วยปลายดอกและที่สุดก้าน ด้านขวาง กำหนดด้วยที่สุดสองข้าง เบื้องล่าง กำหนดด้วยโอกาสที่จด เบื้องบนกำหนดด้วยหลังแห่งดอกที่อยู่ข้างบน. แม้ ภิกษุใด ทำน้ำให้กระเพื่อม ให้คลื่นเกิดขึ้น ยังกำดอกไม้ที่เขาวางไว้บนหลังน้ำ ให้เคลื่อนจากฐานที่ตั้งเดิม แม้เพียงปลายเส้นผม, ภิกษุนั้นต้องปาราชิก. แต่ถ้าเธอกำหนดหมายไว้ว่า ถึงที่นี่แล้วเราจักถือเอา ดังนี้ ยังรักษาอยู่ก่อน. เมื่อเธอยกขึ้นในที่ซึ่งกำดอกไม้ลอยไปถึงแล้ว เป็นปาราชิก. น้ำทั้งสิ้น เป็น ฐานของดอกไม้ที่ขึ้นพ้นน้ำแล้ว. เมื่อภิกษุถอนดอกไม้นั้นยกขึ้นตรงๆ เมื่อที่ สุดของก้านห่างจากน้ำเพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก.ภิกษุจับดอกไม้ผลักไป แล้วเหนี่ยวมาข้างๆ จึงถอนขึ้น, น้ำไม่เป็นฐาน; เมื่อดอกไม้นั้นสักว่า ภิกษุ ถอนขึ้นแล้ว ก็เป็นปาราชิก. ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าว ๒ คำนี้ไว้ว่า ดอกไม้ที่มัดเป็นกำๆ เขาผูกตั้งไว้ในที่น้ำหรือที่ต้นไม้ หรือที่กอไม้, เมื่อภิกษุไม่แก้เครื่องผูกออก ทำไห้ลอยไปข้างโน้นและข้างนี้ เป็นถุลลัจจัย,


* คือ หาบ คอน แบก ตะพาย.


ความคิดเห็น 73    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 149

เมื่อเครื่องผูกสักว่าหลุดออก ต้องปาราชิก. ภิกษุแก้เครื่องผูกก่อนแล้วนำไป ทีหลัง, ในดอกไม้ที่เขาผูกไว้นี้ กำหนดฐานโดยอาการ * ๖ อย่าง.

สำหรับภิกษุผู้ใคร่จะถือเอาดอกปทุมในกอปทุมพร้อมทั้งกอ พึงทราบ กำหนดฐานเบื้องบนและด้านกว้าง ด้วยอำนาจแห่งน้ำที่ก้านดอก และก้านใบ ถูก. และเมื่อเธอยังไม่ได้ถอนกอปทุมนั้นขึ้น แต่เหนี่ยวดอกหรือใบมาเฉพาะ หน้าตน เป็นถุลลัจจัย. พอถอนขึ้น ต้องปาราชิก. เมื่อเธอแม้ไม่ยังก้านดอก และก้านใบให้เคลื่อนจากฐาน ถอนกอปทุมขึ้นก่อน เป็นถุลลัจจัย. เมื่อก้าน แห่งดอกและใบเธอให้เคลื่อนจากฐาน ในภายหลัง ต้องปาราชิก. ส่วนภิกษุ ผู้ถือเอาดอกในกอปทุม ที่เขาถอนขึ้นไว้แล้ว พึงให้ตีราคาภัณฑะปรับอาบัติ. แม้ในดอกที่กองไว้ที่มัดไว้เป็นกำๆ และที่เนื่องในภาระ ซึ่งวางไว้นอกสระ มีนัยเหมือนกันนี้. เหง้าบัวหรือรากบัว วัตถุปาราชิกจะครบ ด้วยเหง้าหรือ รากอันใด, เมื่อภิกษุถอนเหง้าหรือรากอันนั้นขึ้น ต้องปาราชิก. ก็ในเหง้า และรากบัวนี้ พึงกำหนดฐานด้วยอำนาจโอกาสที่เปือกตมถูก. ในมหาอรรถกถา นั่นเอง ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุถอนเหง้าหรือรากบัวเหล่านั้นขึ้น แม้ราก ฝอยที่ละเอียด ยังไม่ขาด ก็ยังรักษาอยู่ก่อน, ใบก็ดี ดอกก็ดี เกิดที่ข้อเหง้าบัว มีอยู่, แม้ใบและดอกนั้น ก็ยังรักษาอยู่ ดังนี้. ก็แล ที่หัวเหง้าบัว เป็นของ มีหนาม เหมือนตุ่มสิวที่ใบหน้าของพวกคนกำลังแตกเนื้อหนุ่มสาว ฉะนั้น หนามนี้รักษาไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นของยาว. คำที่เหลือนัยดังกล่าวไว้แล้ว ในดอกอุบล เป็นต้นนั่นเอง. น้ำทั้งสิ้น ในชลาลัยทั้งหลาย มีบึงเป็นต้น


* คำว่า ๒ คำนี้ ในสารัตถทีปนี. ๒/๒๑๘ ท่านอธิบายไว้ว่า คำว่า เมื่อภิกษุไม่แก้เครื่องผูกออก แต่ทำให้ลอยไปข้างโน้นและข้างนี้ เป็นถุลลัจจัย, เมื่อเครื่องผูกสักว่าหลุดแล้ว ก็เป็น ปาราชิก นี้เป็นคำที่ ๑ คำว่า ภิกษุแก้เครื่องผูกออกก่อนแล้ว จึงนำไปทีหลัง, ในดอกไม้ที่เขา ผูกไว้นี้ กำหนดฐานโดยอาการ ๖ นี้เป็นคำที่ ๒.


ความคิดเห็น 74    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 150

เป็นฐานของปลาและเต่าที่มีเจ้าของ. เพราะเหตุนั้น ภิกษุใด เอาเบ็ดก็ดี ข่าย ก็ดี ไซก็ดี มือก็ดี จับเอาปลาที่มีเจ้าของ ในที่ที่เขายังรักษา, วัตถุปาราชิก จะครบด้วยปลาตัวใด, เมื่อปลาตัวนั้น สักว่าภิกษุยกขึ้นจากน้ำแม้เพียงปลาย เส้นผม ภิกษุนั้น ต้องปาราชิก. ปลาบางตัวเมื่อถูกจับ วิ่งไปทางโน้นและทางนี้ กระโดดขึ้นไปยังอากาศ ตกลงไปที่ตลิ่ง, แม้เมื่อภิกษุจับเอาปลาตัวที่อยู่ใน อากาศหรือที่ตกไปที่ตลิ่งนั้น ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน. เมื่อภิกษุจับเอาแม้เต่า ตัวที่คลานไปหาอาหารกินภายนอกขอบสระ ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ก็เมื่อภิกษุ ให้สัตว์น้ำพ้นจากน้ำ เป็นปาราชิก.

[สมัยหลังพุทธกาลพวกชนขุดบ่อน้ำใช้เลี้ยงปลา]

ชนทั้งหลายในชนบทนั้นๆ อาศัยลำราง สำหรับไขน้ำของสระใหญ่ที่ ทั่วไปแก่ชนทั้งปวง ชุดห้วงน้ำเช่นกับแม่น้ำน้อยอันทั่วไปแก่ชนทั้งปวงเหมือน กัน. พวกเขาได้ชักลำรางเล็กๆ จากห้วงน้ำ คล้ายกับแม่น้ำนั้นไป แล้วขุดเป็น บ่อไว้เพื่อประโยชน์แก่การใช้สอยของตนๆ ที่ปลายราง. และชนเหล่านั้นมี ความต้องการน้ำในเวลาใด ในเวลานั้นจึงชำระลำรางเล็กในบ่อ และห้วงน้ำ ให้สะอาด แล้วลอกลำรางสำหรับไขน้ำไป. ปลายทั้งหลายออกจากสระใหญ่นั้น พร้อมกับน้ำ ไปถึงบ่อโดยลำดับแล้วอยู่. ชนทั้งหลายไม่ห้ามผู้ที่จับปลาในสระ และห้วงน้ำนั้น. แต่ไม่ยอม คือ ห้ามมิให้จับปลาทั้งหลายที่เข้าไปในลำรางและ บ่อน้ำเล็กๆ ของตนๆ.

[ภิกษุจับเอาปลาที่เขาเลี้ยงปรับอาบัติตามราคาปลา]

ภิกษุใดจับปลาในที่เหล่านั้น ในสระหรือในลำรางสำหรับไขน้ำ หรือ ในห้วงน้ำ, ภิกษุนั้น อันพระวินัยธรพึงไห้ปรับอาบัติด้วยอวหาร. แต่เมื่อ


ความคิดเห็น 75    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 151

จับปลาที่เข้าไปในลำรางเล็ก หรือในบ่อแล้ว พึงปรับอาบัติด้วยอำนาจแห่ง ราคาปลาที่จับได้. ถ้าปลาที่กำลังถูกจับ จากลำรางเล็กและบ่อน้ำนั้น กระโดด ขึ้นไปในอากาศ หรือตกลงมาริมตลิ่ง, เมื่อภิกษุจับเอาปลานั้น ซึ่งอยู่ในอากาศ หรือที่อยู่บนตลิ่งพ้นจากน้ำแล้ว อวหาร ไม่มี. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ชนเหล่านั้นเป็นเจ้าของปลา ซึ่งอยู่ในที่หวงห้ามของตนเท่านั้น. จริงอยู่ กติกา เห็นปานนี้ เป็นกติกาในชนบทเหล่านั้น. แม้ในเต่า ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็ ถ้าว่า ปลาที่กำลังจะถูกจับว่ายขึ้นจากบ่อไปลงรางเล็ก, แม้เมื่อภิกษุจับปลานั้น ในรางเล็กนั้น เป็นอวหารแท้. แต่ไม่เป็นอวหารแก่ภิกษุผู้จับปลาที่ว่ายขึ้นจาก ลำรางเล็กไปลงห้วงน้ำ และว่ายขึ้นจากห้วงน้ำนั้นไปลงสระแล้ว. ภิกษุเอา เมล็ดข้าวสุกล่อปลาจากบ่อไปขึ้นลำรางแล้วจับเอา, เป็นอวหารแก่ภิกษุนั้นแท้. แต่ไม่เป็นอวหารแก่ภิกษุผู้ล่อจากลำรางนั้นไปลงห้วงน้ำแล้วจับเอา. ชนบาง พวก นำเอาปลาจากที่สาธารณะแก่ชนทั้งปวง บางแห่งนั่นแล ขังเลี้ยงไว้ใน บ่อน้ำที่หลังสวน แล้วฆ่าเสียคราวละ ๒ - ๓ ตัว เพื่อประโยชน์แก่แกงเผ็ด ทุกวัน. เมื่อภิกษุจับปลาเห็นปานนั้น ซึ่งอยู่ในน้ำ หรือบนอากาศ หรือริม ตลิ่งแห่งใดแห่งหนึ่ง เป็นอวหารแท้. แม้ในเต่า ก็มีนัยเหมือนกันนี้.

ก็ในฤดูแล้ง กระแสน้ำในแม่น้ำขาดสาย น้ำย่อมขังอยู่ในที่ลุ่มบาง แห่ง. มนุษย์ทั้งหลายโปรยผลไม้เบื่อเมาและยาพิษเป็นต้นลง เพื่อความวอด วายแห่งปลาทั้งหลายในลุ่มน้ำนั้นแล้วไปเสีย. ปลาทั้งหลาย กินผลไม้เบื่อเมา และยาพิษเป็นต้นเหล่านั้น แล้วตายหงายท้องลอยอยู่บนน้ำ. ภิกษุใดไปในที่ นั้นแล้ว จับเอาด้วยทำในใจว่า เจ้าของยังไม่มาเพียงใด, เราจักจับเอาปลา เหล่านี้เพียงนั้น, ภิกษุนั้น พระวินัยธร พึงปรับอาบัติตามราคา. เมื่อเธอ


ความคิดเห็น 76    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 152

ถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญาไม่เป็นอวหาร. แต่เมื่อเจ้าของให้นำมาเป็นภัณฑไทย มนุษย์ทั้งหลายโปรยยาพิษเบื่อปลาแล้วพากันกลับไปนำภาชนะมาบรรจุให้เต็ม แล้วไป. พวกเขายังอาลัยอยู่ว่า พวกเราจักกลับมาแม้อีก เพียงใด, ปลา เหล่านั้น ยังจัดว่าเป็นปลามีเจ้าของเพียงนั้น. แต่เมื่อใด พวกเขาสิ้นอาลัย หลีกไปเสียด้วยปลงใจว่า พวกเรา พอละ จำเดิมแต่นั้นไป เป็นทุกกฎแก่ภิกษุ ผู้ถือเอาด้วยไถยจิต, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีบังสุกุลสัญญา. พึงทราบวินิจฉัย ในชาติสัตว์น้ำแม้ทุกชนิดเหมือนในปลาและเต่า.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในน้ำ


ความคิดเห็น 77    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 153

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือ

พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือ :- พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะ ทรงแสดงเรือเป็นอันดับแรกก่อน จึงตรัสว่า นาวา นาม ยาย ตรติ ดังนี้. เพราะฉะนั้น ในอธิการว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือนี้ พาหนะสำหรับข้ามน้ำ โดยที่สุด จะเป็นรางย้อมผ้าก็ตาม แพไม้ไผ่ก็ตาม พึงทราบว่า เรือ ทั้งนั้น. ส่วนในการสมมติสีมา เรือประจำที่ภิกษุขุดภายใน หรือต่อด้วยแผ่นกระดาน จัดทำไว้ โดยกำหนดอย่างต่ำที่สุด บรรทุกคนข้ามฟากได้ถึง ๓ คน จึงใช้ได้. แต่ในนาวัฎฐาธิการนี้ บรรทุกคนได้แม้คนเดียว ท่านก็เรียกว่า เรือ เหมือนกัน.

ภัณฑะอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องกับตัวเรือก็ตาม ไม่เนื่องกับตัวเรือ ก็ตาม ชื่อว่าภัณฑะที่เก็บไว้ในเรือ. ลักษณะการลักภัณฑะที่เก็บไว้ในเรือนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในภัณฑะที่ตั้งอยู่บนบก นั่นแล. การแสวงหาเพื่อน การเดินไป การจับต้อง และการทำให้ไหว ในคำเป็นต้นว่า นาวํ อวหริสฺสามิ มีนัยดังกล่าวแล้ว นั่นแล. ส่วนในคำว่า พนฺธนํ โมจติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- เรือลำใด เมื่อแก้เครื่องผูกแล้ว ก็ยังไม่เคลื่อนจากฐาน, เครื่องผูกของเรือ ลำนั้น ยังแก้ไม่ออกเพียงใด, เป็นทุกกฏเพียงนั้น, แต่ครั้นแก้ออกแล้ว เป็นถุลลัจจัยก็มี เป็นปาราชิกก็มี. คำนั้น จำมีแจ้งข้างหน้า. คำที่เหลือมีนัย ดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. พรรณนาเฉพาะบาลีมีเท่านี้ก่อน.

ส่วนวินิจฉัยนอกบาลี ในนาวัฏฐาธิการนี้ มีดังต่อไปนี้ :- สำหรับ เรือที่ผูกจอดไว้ในกระแสน้ำเชี่ยว มีฐานเดียว คือ เครื่องผูกเท่านั้น. เมื่อ เครื่องผูกนั้น สักว่าแก้ออกแล้วต้องปาราชิก. ความยุกติในเครื่องผูกนั้น ได้ กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้นนั่นแล. ส่วนในเรือที่เขาล่มไว้ ตั้งแผ่ไปตลอดประเทศ


ความคิดเห็น 78    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 154

แห่งน้ำใดๆ ประเทศแห่งน้ำนั้นๆ เป็นฐานของเรือนั้น. เพราะเหตุนั้น เมื่อ ภิกษุกู้เรือนั้นข้างบนก็ดี กดให้จมลงในเบื้องต่ำก็ดี ให้ล่วงเลยโอกาสที่เรือ ถูกในทิศทั้ง ๔ ไปก็ดี ก็เป็นปาราชิกในขณะที่พอเลยไป. เรือไม่ได้ผูกจอด อยู่ตามธรรมดาของเรือในน้ำนิ่ง เมื่อภิกษุฉุดลาก ไปข้างหน้าก็ดี ไปข้างหลัง ก็ดี ข้างซ้ายและข้างขวาก็ดี ครั้นเมื่อสักว่าส่วนที่ตั้งอยู่ในน้ำอีกข้างหนึ่ง ล่วง เลยโอกาสที่ส่วนข้างหนึ่งถูกไป เป็นปาราชิก. เมื่อยกขึ้นข้างบนให้พ้นจากน้ำ เพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก เมื่อกดลงข้างล่างให้ขอบปากล่วงเลยโอกาสที่ พื้นท้องเรือถูกต้องไป เป็นปาราชิก. สำหรับเรือที่ผูกไว้ริมตลิ่งจอดอยู่ในน้ำนิ่ง มีฐาน ๒ คือ เครื่องผูก ๑ โอกาสที่จอด ๑. ภิกษุแก้เรือนั้นออกจากเครื่อง ผูกก่อน ต้องถุลลัจจัย. ภายหลังให้เคลื่อนจากฐาน โดยอาการอันใดอันหนึ่ง แห่งอาการ ๖ อย่าง ต้องปาราชิก. แม้ในการให้เคลื่อนจากฐานก่อน แก้ เครื่องผูกทีหลัง ก็มีนัยเหมือนกันนี้. โอกาสที่ถูกเทียว เป็นฐานของเรือที่เข็น ขึ้นวางหงายไว้บนบก. กำหนดฐานของเรือนั้น พึงทราบโดยอาการ ๕ อย่าง. แต่โอกาสที่ขอบปากถูกเท่านั้น เป็นฐานของเรือที่เขาวางคว่ำไว้. ผู้ศึกษา พึง ทราบการกำหนดฐานของเรือแม้นั้นไปโดยอาการ ๕ อย่าง แล้วทราบว่าเป็น ปาราชิก ในเมื่อเรือสักว่าล่วงเลยโอกาสที่ถูกข้างใดข้างหนึ่งและเบื้องบนไป เพียงปลายเส้นผม. ก็แลโอกาสที่ไม้หมอนถูกเท่านั้นเป็นฐานของเรือที่เขาเข็น ขึ้นบกแล้ววางบนไม้หมอนสองอัน. เพราะฉะนั้น วินิจฉัยในเรือที่เขาวางบน ไม้หมอนนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในผ้าสาฎกเนื้อแข็งที่พาดไว้เฉพาะ บนปลายเท้าเตียง และในหลาว แส้หางสัตว์เขาพาดไว้บนไม้ฟันนาค. แต่ ว่าเมื่อเรือผูกเชือกไว้ ไม่ใช่เพียงแต่โอกาสที่ถูกต้องเท่านั้นเป็นฐาน แห่งเรือ ที่เขายังมิได้แก้เชือกซึ่งยาวประมาณ ๖๐ - ๗๐ วา ไว้เลยแล้วเหนี่ยวมาคล้องไว้


ความคิดเห็น 79    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 155

กับหลักที่ตอกลงดินตั้งไว้บนบกพร้อมกับเชือก, โดยที่แท้ พึงทราบว่า ด้าน ยาวเพียงที่ส่วนเบื้องหลังของโอกาสที่เรือจดแผ่นดิน จับแต่ปลายเชือกมา เป็น ฐานก่อน ส่วนด้านขวางประมาณที่สุดรอบที่เรือและเชือกจดแผ่นดิน เป็นฐาน. เมื่อภิกษุฉุดลากเรือนั้นไปตามยาวก็ดี ตามขวางก็ดี พอสักว่าให้ส่วนที่จดดิน อีกข้างหนึ่งเลยโอกาสที่ส่วนข้างหนึ่งถูก เป็นปาราชิก. เมื่อยกขึ้นข้างบนให้พ้น จากแผ่นดินพร้อมทั้งเชือก เพียงปลายเส้นผม เป็นปาราชิก.

อนึ่ง ภิกษุใด มีไถยจิต ขึ้นไปยังเรือที่จอดอยู่ที่ท่า เอาถ่อหรือไม้ พายแจวไป, ภิกษุนั้นต้องปาราชิก. แต่ถ้าภิกษุกางร่ม หรือเอาเท้าทั้งสอง เหยียบจีวร และเอามือทั้งสองยกขึ้นทำต่างใบเรือให้กินลม, ลมแรงพัดมาพา เรือไป, เรือนั้นเป็นอันถูกลักไปด้วยลมนั้นแล. อวหารไม่มีแก่บุคคล แต่ความ พยายามมีอยู่. ก็ความพยายามนั้น หาใช่เป็นความพยายามในอันที่ให้เคลื่อน จากฐานไม่. ก็ถ้าเรือนั้นแล่นไปอยู่อย่างนั้น ภิกษุงดไม่ให้แล่นไปตามปกติเสีย นำไปยังทิศาภาคส่วนอื่น ต้องปาราชิก. เรือที่แล่นไปถึงท่าบ้านแห่งใดแห่งหนึ่ง เสียเอง ภิกษุไม่ให้เคลื่อนจากฐานเลยขายเสียแล้วก็ไป, ไม่เป็นอวหารเลย, แต่เป็นภัณฑไทย ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเรือ


ความคิดเห็น 80    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 156

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในยาน

พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในยาน :- พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ จะทรงแสดงยานก่อน จึงตรัสว่า ยานํ นาม วยฺหํ เป็นต้น. ในคำว่า วยฺหํ เป็นต้นนั้นมีวินิจฉัยดังนี้ :-

ยานที่ปิดบังด้วยไม้เลียบไว้เบื้องบน คล้ายกับมณฑปก็ตาม ที่เขาทำ ปิดคลุมไว้ทั้งหมดก็ตาม ชื่อว่า คานหาม. เตียงที่เขาใส่กลอนซึ่งสำเร็จด้วนทอง และเงินเป็นต้นไว้ที่ข้างทั้งสอง และทำไว้โดยนัยดังปีกครุฑ ชื่อว่า เตียงหาม, รถและเกวียนปรากฏชัดแล้วแล. ภัณฑะที่มีวิญญาณหรือไม่มีวิญญาณ ซึ่งเขา เก็บไว้ด้วยอำนาจเป็นกองเป็นต้น ในบรรดาคานหามเป็นต้นเหล่านั้น แห่งใด แห่งหนึ่ง เมื่อภิกษุให้เคลื่อนจากฐานด้วยไถยจิต พึงทราบว่า เป็นปาราชิก โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในเรือและที่ตั้งอยู่บนบก. ส่วนความ แปลกกัน มีดังต่อไปนี้ :- เมื่อภิกษุเอาตะกร้ารับเอาสิ่งของมีข้าวสารเป็นต้น ที่ตั้งอยู่ในยาน แม้เมื่อไม่ยกตะกร้าขึ้น ครั้นตบตะกร้า ทำให้วัตถุมีข้าวสาร เป็นต้น ซึ่งเนื่องเป็นอันเดียวกัน กระจายไป เป็นปาราชิก. นัยนี้ ย่อมใช้ได้ แม้ในสิ่งของที่ตั้งอยู่บนบกเป็นต้น. กิจทั้งหลายมีการเที่ยวหาเพื่อนเป็นต้น ในคำว่า เราจักลักยาน มีนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.

ก็ในคำว่า านา จาเวติ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- สำหรับยาน ที่เทียมด้วยโคคู่ มี ๑๐ ฐาน คือ เท้าทั้ง ๘ ของโคทั้ง ๒ และล้อ ๒. เมื่อ ภิกษุมีไถยจิตขึ้นเกวียนนั้น นั่งบนทูบขับไป เป็นถุลลัจจัย ในเมื่อโคทั้ง ๒ ยกเท้าขึ้น, และเมื่อโอกาสเพียงปลายเส้นผมล่วงเลยไปจากประเทศที่ล้อทั้ง ๒ จดแผ่นดิน เป็นปาราชิก. แต่ถ้าโคทั้ง ๒ รู้ว่า ผู้นี้มิใช่เจ้าของๆ เรา แล้ว


ความคิดเห็น 81    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 157

สลัดแอกทิ้ง ไม่ยอมเข็นไป หลุดอยู่ก็ตาม ดิ้นรนอยู่ก็ตาม, ยังรักษาอยู่ก่อน เมื่อภิกษุจัดโคทั้งสองให้เทียมเข้าไปตรงๆ แล้วพาดแอกเทียมให้มั่น แทง ด้วยปฏักขับไปอีก เป็นถุลลัจจัย ในเมื่อโคเหล่านั้นยกเท้าขึ้น ตามนัยที่กล่าว แล้วนั่นแล, เป็นปาราชิก ในเมื่อล้อเคลื่อนไป. ถ้าแม้ในทางที่มีโคลนตม ล้อข้างหนึ่งติดแล้วในโคลน, โคลากล้อข้างที่ ๒ หมุนเวียนอยู่, อวหารยังไม่ มีก่อน เพราะล้อข้างหนึ่งยังคงตั้งอยู่. แต่เมื่อภิกษุจัดโคทั้งสองให้เทียมตรง แล้วขับไปอีก เมื่อล้อที่หยุดอยู่หมุนเลยโอกาสที่ถูกไป เพียงปลายเส้นผม เป็น ปาราชิก. และพึงทราบความต่างกันแห่งฐานของยานที่เทียม โดยอุบายนี้ คือ ยานที่เทียม ๔ มีฐาน ๑๘ ที่เทียม ๘ มีฐาน ๓๔. ส่วนยานใดที่มิได้เทียม เขา ใช้ไม้ค้ำที่ตรงทูบอันหนึ่ง และค้ำข้างหลัง ๒ อันจอดไว้, ยานนั้น มีฐาน ๕ ด้วยอำนาจแห่งไม้ค้ำ ๓ อัน และล้อทั้ง ๒. ถ้าไม้ค้ำที่ตรงแอก เขาบากเป็น ง่ามที่ตอนล่าง มีฐาน ๖. ส่วนยานที่ไม่ได้ค้ำไว้ข้างหลัง ค้ำที่ทูบเท่านั้น มี ฐาน ๓ บ้าง ๔ บ้าง ด้วยอำนาจแห่งไม้ค้ำ. สำหรับยานที่เขาเอาทูบพาดไว้บน กระดานหรือบนไม้ มีฐาน ๔. ยานที่เขาเอาทูบพาดไว้ที่แผ่นดินก็เหมือนกัน. เมื่อภิกษุลากหรือยกยานนั้น ให้เคลื่อนจากฐานไปข้างหน้าและข้างหลัง เป็น ถุลลัจจัย, เมื่อฐานที่ล้อทั้งสองจดอยู่ ล่วงเลยไปเพียงปลายเส้นผม ก็เป็น ปาราชิก. สำหรับยานที่เบาถอดล้อออกแล้วเอาหัวเพลาทั้ง ๒ พาดไว้บนไม้ มีฐาน ๒. ภิกษุเมื่อลากหรือยกยานนั้น ให้ล่วงเลยโอกาสที่ถูกไป เป็นปาราชิก. ยานที่เขาวางไว้บนแผ่นดิน มีฐาน ๕ ด้วยอำนาจแห่งที่ซึ่งจดกับทูบ และไม้ ค้ำเพลา ๔ อัน. เมื่อภิกษุจับยานนั้นที่ทูบลากไป ครั้นส่วนสุดข้างหน้ากับส่วน สุดข้างหลังแห่งไม้ค้ำเพลา คลาดจากกัน เป็นปาราชิก. เมื่อจับที่ไม้ค้ำเพลา ลากไป เมื่อส่วนเบื้องหลังกับส่วนเบื้องหน้าของไม้ค้ำเพลาคลาดจากกัน เป็น ปาราชิก. เมื่อจับตรงสีข้างลากไป เป็นปาราชิก ในเมื่อที่ซึ่งไม้ค้ำเพลานั่นเอง


ความคิดเห็น 82    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 158

จดอยู่ตามขวางคลาดจากกันไป. เมื่อจับตรงกลางยกขึ้น ครั้นโอกาสเพียงปลาย เส้นผมพ้นจากแผ่นดิน เป็นปาราชิก. ถ้าไม้เดือยค้ำเพลาไม่มี, เขาทำปีกทูบ ให้เท่ากันดีแล้ว เจาะตรงกลางสอดหัวเพลาเข้าไป. ยานนั้น ตั้งอยู่ถูกแผ่นดิน ทั้งหมด โดยรอบพื้นเบื้องล่าง. ในยานนั้นพึงทราบว่า เป็นปาราชิกด้วย อำนาจล่วงเลยฐานที่ถูกใน ๔ ทิศ และเบื้องบน. ล้อที่เขาวางเอาดุมตั้งบน ภาคพื้น มีฐานเดียวเท่านั้น. การกำหนดล้อนั้น พึงทราบโดยอาการ ๕ อย่าง. ล้อที่ตั้งให้ข้างกงและดุมภูมิ (ดิน) มีฐาน ๒. เมื่อภิกษุเอาเท้าเหยียบส่วนที่ เชิดขึ้นแห่งกงให้ถูกที่พื้นแล้วจับที่กำหรือที่กงยกขึ้น ฐานที่ตนทำไม่จัดเป็นฐาน. เพราะเหตุนั้น เมื่อส่วนที่เหลือแม้ที่คงตั้งอยู่นั้น สักว่าล่วงเลยไป เป็นปาราชิก. แม้สำหรับล้อที่เขาวางพิงฝาไว้ ก็มีฐาน ๒. บรรดาฐานทั้ง ๒ นั้น เมื่อภิกษุ ปลดออกจากฝาครั้งแรก เป็นถุลลัจจัย, ภายหลังในเมื่อยกขึ้นจากแผ่นดินเพียง ปลายเส้นผม เป็นปาราชิก. แต่เมื่อภิกษุปลดให้พ้นจากพื้นดินครั้งแรก ถ้าฐาน ที่ล้อตั้งอยู่ใกล้ฝา ไม่กระเทือน ก็มีนัยนี้แหละ. ถ้าเมื่อภิกษุจับที่กำลากไป ข้างล่างปลายส่วนเบื้องบนแห่งโอกาสที่ตั้งถูกฝาล่วงเลยปลายส่วนเบื้องล่างไป เป็นปาราชิก. ในยานที่กำลังเดินทางไปเจ้าของยานลงจากยานแวะออกจากทาง ไปด้วยกรณียะบางอย่าง ถ้ามีภิกษุรูปอื่นเดินสวนทางมา พบเห็นยานว่างจาก การอารักขา จึงคิดว่า เราจักลักเอายาน แล้วขึ้นขี่. โคทั้งหลายพาหลีกไป เว้นจากความพยายามของภิกษุทีเดียว ไม่เป็นอวหาร. คำที่เหลือเป็นเช่นดัง ที่กล่าวไว้แล้วในเรือ ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในยาน


ความคิดเห็น 83    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 159

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในภาระ

ถัดจากภัณฑะที่ตั้งอยู่ในยานนี้ไป ภาระนั่นแล ชื่อว่า ภารัฏฐะ (ภัณฑะ ที่ตั้งอยู่ในภาระ). ภาระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ ๔ ประการด้วย อำนาจแห่งสีสภาระเป็นต้น. ในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในภาระนั้น พึงทราบการกำหนด อวัยวะมีศีรษะเป็นต้น เพื่อความไม่ฉงนในภาระทั้งหลาย มีสีสภาระเป็นต้น. บรรดาอวัยวะเหล่านั้น พึงทราบการกำหนดศีรษะก่อน; นี้กำหนดส่วนเบื้องล่าง คือ ที่เบื้องหน้ามีหลุมคอ, ที่คอเบื้องหลังของคนบางพวก มีขวัญอยู่ที่ ท้ายผม, ที่ข้างทั้งสองแห่งหลุมคอนั่นเอง ผมของคนบางพวก เกิดลามลงมา, ผมเหล่าใด เขาเรียกว่า จอนหู, ส่วนเบื้องต่ำแห่งผมเหล่านั้นด้วย. กำหนด เบื้องบนแต่นั้นขึ้นไป พึงทราบว่าเป็นศีรษะ. ภาระที่ตั้งอยู่ในระหว่างนี้ ชื่อว่า สีสภาระ.

อวัยวะที่ชื่อว่า คอในข้างทั้งสอง เบื้องต่ำตั้งแต่จอนหูลงไป, เบื้องบน ตั้งแต่ข้อศอกขึ้นไป, เบื้องต่ำตั้งแต่รากขวัญที่ท้ายทอยและ หลุมคอลงไป. เบื้องบนตั้งแต่รากขวัญกลางหลัง และหลุมตรงลิ้นปี่ ในท่ามกลางที่กำหนด ของอกขึ้นไป. ภาระที่ตั้งอยู่ในระหว่างนี้ ชื่อว่า ขันธภาระ.

ส่วนเบื้องต่ำตั้งแต่รากขวัญกลางหลัง และหลุมตรงลิ้นปี่ลงไปจนถึง ปลายเล็บเท้า, นี้เป็นการกำหนดแห่งสะเอว, ภาระที่ตั้งอยู่ในสรีระโดยรอบใน ระหว่างนี้ ชื่อว่า กฏิภาระ.

ส่วนเบื้องต่ำตั่งแต่ข้อศอกลงไป จนถึงปลายเล็บมือ, นี้เป็นการกำหนด แห่งของที่หิ้ว. ภาระที่ตั้งอยู่ในระหว่างนี้ ชื่อว่า โอลัมพกะ.

บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยเป็นลำดับไป ในคำว่า สีเส ภารํ เป็นต้น ดังต่อไปนี้ :- ภิกษุใดอันพวกเจ้าของมิได้สั่งว่า ท่านจงถือเอาภัณฑะนี้ไปใน


ความคิดเห็น 84    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 160

ที่นี้ พูดเองเลยว่า ท่านจงมอบภัณฑะชื่อนี้ให้แก่ข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจะนำเอา ภัณฑะของพวกท่านไป ดังนี้ แล้วเอาศีรษะทูนภัณฑะของพวกชนเหล่านั้นไป ลูบคลำภัณฑะนั้นด้วยไถยจิตต้องทุกกฎ. เมื่อยังไม่ทันให้ล่วงเขตกำหนดศีรษะ ตามที่กล่าวแล้วเลย เป็นแต่ลากย้ายไปข้างนี้ๆ บ้าง ลากย้ายกลับมาบ้าง ต้อง ถุลลัจจัย, เมื่อภัณฑะนั้นพอเธอลดลงสู่คอ แม้พวกเจ้าของจะมีความคิดว่า จงนำไปเถิด ดังนี้ ก็จริงอยู่ ถึงกระนั้นก็ต้องปาราชิก เพราะตนมิได้ถูกพวก เขาสั่งไว้. อนึ่ง เมื่อเธอแม้ไม่ได้ลดลงมาสู่คอ แต่ให้พ้นจากศีรษะ แม้เพียง ปลายเส้นผม ก็เป็นปาราชิก. อนึ่ง สำหรับภาระคู่ส่วนหนึ่งตั้งอยู่บนศีรษะ ส่วนหนึ่งตั้งอยู่ที่หลัง. ในภาระคู่นั้น พึงทราบวินิจฉัยด้วยอำนาจแห่งฐาน ๒. แต่การชี้แจงนี้ ได้ปรารภด้วยอำนาจแห่งภาระ มีสีสภาระล้วนๆ เป็นต้น เท่านั้น. อนึ่ง แม้ในขันธภาระเป็นต้น ก็มีวินิจฉัยเหมือนที่กล่าวไว้ในสีสภาระ นี้แหละ.

ส่วนในคำว่า หตฺเถ ภารํ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- ภัณฑะที่ หิ้วไป เรียกว่า หัตถภาระ เพราะเป็นของที่ถือไปด้วยมือ. ภาระนั้นจะเป็น ของที่ถือเอาจากภาคพื้นก่อนทีเดียว หรือจะเป็นของที่ถือเอาจากศีรษะเป็นต้น ด้วยจิตบริสุทธิ์ก็ตามที ย่อมถึงความนับว่า หัตถภาระเหมือนกัน. เมื่อภิกษุ เห็นที่รกชัฏเช่นนั้น จึงปลงภาระนั้นลงที่ภาคพื้นหรือที่กอไม้เป็นต้น ด้วย ไถยจิต, เมื่อภาระนั้นสักว่าพ้นจากมือ เป็นปาราชิก.

ก็แล ในคำว่า ภูมิโต คณฺหาติ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- เมื่อภิกษุ ปลงภาระเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่งลง บนภาคพื้นด้วยจิตบริสุทธิ์ เพราะเหตุ มีอาหารเช้าเป็นต้น แล้วกลับยกขึ้นอีกด้วยไถยจิต แม้เพียงเส้นผมเดียว ก็เป็น ปาราชิก ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในภาระ


ความคิดเห็น 85    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 161

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวน

พึงทราบวินิจฉัยแม้ในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวนต่อไป :- พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงสวนก่อน จึงตรัสว่า สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ชื่อว่า สวน ดังนี้. บรรดาสวนเหล่านั้น สวนเป็นที่บานแห่งดอกไม้ทั้งหลาย มีดอก มะลิเป็นต้น ชื่อว่า สวนดอกไม้. สวนเป็นที่เผล็ดแห่งผลไม้ทั้งหลาย มีผล มะม่วงเป็นต้น ชื่อว่า สวนผลไม้. วินิจฉัยภัณฑะที่เขาเก็บไว้แม้ในสวน โดยฐาน ๔ มีนัยดังกล่าวแล้ว ในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในภาคพื้นเป็นต้นนั่นแล. ส่วนวินิจฉัยในของซึ่งเกิดในสวนนั้น พึงทราบดังนี้ :- รากไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีแฝกและตะไคร้เป็นต้น ชื่อว่า เหง้า. เมื่อภิกษุถอนรากนั้นถือเอาก็ดี ถือเอา ที่เขาถอนไว้แล้วก็ดี วัตถุแห่งปาราชิกจะเต็มด้วยรากใด, ครั้นเมื่อรากนั้น อันเธอถือเอาแล้ว เป็นปาราชิก. แม้เหง้ามัน ก็สงเคราะห์เข้าด้วยรากเหมือน กัน. ก็เมื่อภิกษุถอนเหง้าขึ้น เป็นถุลลัจจัยทีเดียว ในเมื่อเหง้านั่นยังไม่ขาด แม้มีประมาณเล็กน้อย. คำที่เหลือ พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในเหง้าบัว นั่นแล.

บทว่า ตจํ ได้แก่ เปลือกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่พอจะใช้ประกอบ เพื่อเป็นเครื่องยา หรือเพื่อเป็นเครื่องย้อม. เมื่อภิกษุถากถือเอาเปลือกไม้นั้น หรือถือเอาเปลือกไม้ที่เขาถากไว้แล้ว เป็นปาราชิก โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วใน รากไม้นั่นแล.

บทว่า ปุปฺผํ ได้แก่ ดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีดอกมะลิเครือและ มะลิซ้อนเป็นต้น. เมื่อภิกษุเก็บเอาดอกไม้นั้น หรือถือเอาดอกไม้ที่เขาเก็บไว้ แล้ว เป็นปาราชิก โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในดอกอุบลและดอกปทุมนั่นแล. จริงอยู่ แม้ดอกไม้ทั้งหลาย มีขั้วหรือมีที่ต่อยังไม่ขาด ก็ยังรักษาอยู่. แต่ สำหรับดอกไม้บางเหล่า มีไส้อยู่ภายในขั้ว, ไส้นั้นรักษาไม่ได้.


ความคิดเห็น 86    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 162

บทว่า ผลํ ได้แก่ ผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีผลมะม่วงและผลตาล เป็นต้น. วินิจฉัยสำหรับภิกษุผู้ถือเอาผลไม้นั้นจากต้นไม้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ แล้วในกถาว่าด้วยภัณฑะที่คล้องไว้บนต้นไม้. ผลไม้ที่เขาเก็บวางไว้ สงเคราะห์ เข้าด้วยภัณฑะที่ตั้งอยู่บนภาคพื้นเป็นต้นนั่นแล.

สองบทว่า อารามํ อภิยุญฺชติ ความว่า ภิกษุกล่าวเท็จตู่เอาสวน ซึ่งเป็นของคนอื่นว่า นี้เป็นสวนของข้าพเจ้า ดังนี้ เป็นทุกกฏ เพราะเป็น ประโยคแห่งอทินนาทาน.

หลายบทว่า สามิกสฺส วิมตึ อุปฺปาเทติ มีความว่า ภิกษุยังความ สงสัยให้เกิดขึ้นแก่เจ้าของสวน เพราะความเป็นผู้ฉลากในการวินิจฉัย หรือ เพราะอาศัยคนที่มีกำลังเป็นต้น. คืออย่างไร? คือตามความจริง เจ้าของเห็น ภิกษุนั้น ซึ่งเป็นผู้ขวนขวายในการวินิจฉัยอยู่อย่างนั้น จึงคิดว่า เราจักอาจทำ สวนนี้ให้กลับคืนเป็นของเรา หรือไม่หนอ? ความสงสัย เมื่อเกิดขึ้นแก่ เจ้าของนั้น ย่อมชื่อว่า เป็นอันภิกษุนั้นให้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยอาการดังกล่าวมานี้ เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น ย่อมต้องถุลลัจจัย.

สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิปติ มีความว่า ก็เมื่อใด เจ้าของทอดธุระเสีย ด้วยคิดว่า ภิกษุนี้ หยาบช้าทารุณ พึงทำแม้ซึ่งอันตรายแก่ชีวิตและพรหมจรรย์ของเรา, บัดนี้ เราไม่ต้องการสวนนี้ละ, เมื่อนั้น ภิกษุผู้ตู่ ย่อมต้อง ปาราชิก หากแม้ตนจะเป็นผู้ทำการ * ทอดธุระเสียเองก็ตาม. แต่ถ้าเจ้าของทอด ธุระแล้วก็ตาม ภิกษุผู้ตู่ ไม่ทอดธุระ ยังความอุตสาหะในอันจะพึงให้คืน ทีเดียว ด้วยคิดว่า เราจักบีบเจ้าของสวนนี้ให้หนักแล้วแสดงความแผ่อำนาจ ของเรา ตั้งเจ้าของสวนคนนั้นไว้ในความเป็นผู้รับใช้ แล้วจึงจักให้คืน ดังนี้, ยังรักษาอยู่ก่อน. ถ้าแม้ภิกษุผู้ตู่ ครั้นแย่งชิงเอาแล้ว ก็ทอดธุระเสีย ด้วย


* โยชนาปาฐะ ๑/๓๒๔ ว่า อกโต ธุรนิกฺเขโป เอเตนาติ อกตธุรนิกฺเขโป.


ความคิดเห็น 87    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 163

คิดว่า บัดนี้ เราจักไม่คืนสวนนั้นให้แก่เจ้าของคนนี้ ฝ่ายเจ้าของก็ไม่ทอดธุระ เสีย ยังเที่ยวแสวงหาพรรคพวก ทั้งรอคอยเวลาอยู่ ด้วยคิดว่า เราได้ลัชชี บริษัทเสียก่อน ภายหลังจึงจักรู้ ดังนี้ ยังเป็นผู้มีความอุตสาหะในการรับคืน ทีเดียว, ก็ยังรักษาอยู่นั่นเทียว. แต่เมื่อใด แม้ภิกษุผู้ตู่นั้นทอดธุระเสีย ด้วย คิดว่า เราจักไม่คืนให้ ทั้งเจ้าของก็ทอดธุระเสียด้วยคิดว่า เราจักไม่ได้คืน ทั้งสองฝ่ายทอดธุระเสียดังกล่าวมานี้ ; เมื่อนั้น ภิกษุผู้ตู่ เป็นปาราชิก. แต่ ถ้าภิกษุครั้นตู่แล้ว ก็ทำการวินิจฉัยความเสียเอง เมื่อวินิจฉัยยังไม่เสร็จ ทั้ง เจ้าของก็มิได้ทอดธุระ รู้อยู่ทีเดียวว่า ตนมิใช่เป็นเจ้าของเลย ได้ถือเอาดอกไม้ หรือผลไม้บางอย่างจากสวนนั้น พระวินัยธรพึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ.

บทว่า ธมฺมญฺจรนฺโต ได้แก่ ภิกษุผู้ตู่ ทำการตัดสินความในหมู่ ภิกษุ หรือในราชตระกูล.

สองบทว่า สามิกํ ปราเชติ ความว่า ภิกษุผู้ตู่นั้น ให้ของกำนัล แก่พวกผู้พิพากษา แล้วอ้างพยานโกง ย่อมชนะเจ้าของสวน.

สองบทว่า อาปตฺติ ปาราชิกสฺส ความว่า มิใช่จะเป็นปาราชิก เฉพาะภิกษุผู้ประกอบคดีนั้นอย่างเดียวก็หามิได้ พวกภิกษุผู้พิพากษาโกงก็ดี ผู้เป็นพยานโกงก็ดี ผู้แกล้งดำเนินคดีในการให้สำเร็จประโยชน์แก่ภิกษุผู้ฟ้องร้องนั้น ก็เป็นปาราชิกทั้งหมด. ก็ในคำว่า ธมฺมญฺจรนฺโต นี้ พึงทราบความ ปราชัย ด้วยอำนาจเจ้าของทอดธุระเท่านั้น. จริงอยู่ เจ้าของยังไม่ทอดธุระ จัดว่ายังไม่แพ้ทีเดียว.

หลายบทว่า ธมฺมญฺจรนฺโต ปรชฺชติ ความว่า แม้ถ้าตนเองถึง ความปราชัย เพราะคำพิพากษาที่เป็นไปโดยธรรมโดยวินัย โดยสัตถุศาสน์. แม้ด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุผู้ตู่นั้น ยังต้องถุลลัจจัย เพราะทำการบีบคั้น เจ้าของด้วยการกล่าวเท็จเป็นปัจจัย ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวน


ความคิดเห็น 88    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 164

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในวิหาร

พึงทราบวินิจฉัยในทรัพย์แม้ที่ตั้งอยู่ในวิหารต่อไป :- ทรัพย์ที่เก็บไว้ โดยฐาน ๔ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ก็วินิจฉัยแม้ในการตู่เอาทรัพย์ที่ตั้งอยู่ ในวิหารนี้ พึงทราบดังนี้ :- เมื่อภิกษุตู่เอาวิหารก็ดี บริเวณก็ดี อาวาสก็ดี ทั้งใหญ่ ทั้งเล็ก ซึ่งเขาถวายพวกภิกษุอุทิศสงฆ์ มาจากทิศทั้ง ๔ ตู่ไม่ขึ้น, ทั้งไม่อาจเพื่อจะแย่งชิงเอาได้. เพราะเหตุไร? เพราะไม่มีการทอดธุระแห่ง ภิกษุทั้งปวง. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในทิศทั้ง ๔ จะทำการทอดธุระใน วิหารเป็นต้นที่เป็นของสงฆ์นี้ไม่ได้แล. แต่ภิกษุผู้ตู่ถือเอาสิ่งของๆ คณะ อัน ต่างด้วยคณะผู้กล่าวทีฆนิกายเป็นต้น หรือของบุคคลบางคน ย่อมอาจทำคณะ และบุคคลบางคนนั้น พึงทราบวินิจฉัย โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในสวน นั้นแล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในวิหาร


ความคิดเห็น 89    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 165

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในนา

พึงทราบวินิจฉัยแม้ในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในนาต่อไป :- พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงนาก่อน จึงตรัสว่า ที่ซึ่งปุพพัณชาติ หรืออปรัณชาติเกิด ชื่อว่า นา. บรรดาปุพพัณชาติเป็นต้นนั้น ข้าวเปลือก ๗ ชนิด มีข้าวสาลีเป็นต้น ชื่อว่า ปุพพัณชาติ. พืชทั้งหลายมีถั่วเขียวและถั่วราชมาษ เป็นต้น ชื่อว่า อปรัณชาติ. แม้ไร่อ้อยเป็นต้น ก็สงเคราะห์เข้าในบทว่า อปรัณชาติ นี้เหมือนกัน. ภัณฑะที่เขาเก็บไว้โดยฐาน ๔ แม้ในทรัพย์ที่ตั้ง อยู่ในนานี้ ก็มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

ส่วนในภัณฑะที่เกิดขึ้นในนานั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- เมื่อภิกษุแย่งชิง เอาธัญชาติมีรวงข้าวสาลีเป็นต้นก็ดี ใช้มือนั่นเองเด็ดเอาหรือใช้เคียวเกี่ยวเอา ทีละรวงๆ ก็ดี หรือถอนรวมกันเอาทีละมากๆ ก็ดี วัตถุปาราชิก จะครบใน เมล็ด ในรวง ในกำ หรือในผลมีถั่วเขียวและถั่วราชมาษเป็นต้นใดๆ เมื่อ เมล็ดเป็นต้นนั้นๆ สักว่าเธอให้หลุดจากขั้ว เป็นปาราชิก. ส่วนลำต้นก็ดี ใยก็ดี เปลือกก็ดี ที่ยังไม่ขาดแม้มีประมาณน้อย ก็ยังรักษาอยู่. ซังข้าวเปลือก แม้เป็นของยาว, ลำต้นของรวงข้าวเปลือก ยังไม่หลุดออกจากซังข้าวภายใน เพียงใด, ยังรักษาอยู่เพียงนั้น เมื่อพื้นเบื้องล่างของลำต้น หลุดออกจากซัง ข้าวแล้ว แม้เพียงปลายเส้นผม พระวินัยธรพึงปรับอาบัติด้วยอำนาจราคา สิ่งของ. ก็เมื่อภิกษุใช้เคียวเกี่ยวถือเอา ครั้นเมื่อลำต้นข้าวอยู่ในกำมือ แม้ ขาดแล้วในตอนล่าง, ถ้ารวงทั้งหลายยังเกี่ยวประสานกันอยู่, ยังรักษาอยู่ก่อน. แต่เมื่อเธอสางยกขึ้นแม้เพียงปลายเส้นผม, ถ้าวัตถุปาราชิกครบ เป็นปาราชิก.


ความคิดเห็น 90    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 166

ก็แล เมื่อภิกษุถือเอาข้าวเปลือกที่เจ้าของเกี่ยววางไว้พร้อมทั้งข้าวลีบ หรือทำ ให้หมดข้าวลีบ, วัตถุปาราชิกจะครบด้วยรวงใด, ครั้นเมื่อรวงนั้นอันเธอถือ เอาแล้ว เป็นปาราชิก. ถ้าเธอกำหนดหมายไว้ว่า เราจักนวดข้าวเปลือกนี้ แล้วจักฝัดถือเอาแต่เมล็ดข้าวเท่านั้น ดังนี้, ยังรักษาอยู่ก่อน. แม้เมื่อเธอให้ เคลื่อนจากฐาน ในเพราะการนวดและฝัด ยังไม่เป็นปาราชิก ภายหลัง เมื่อ เธอสักว่าตักใส่ภาชนะ เป็นปาราชิก. ส่วนการตู่เอาในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในนานี้ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

ในการปักหลักรุกล้ำเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- ขึ้นชื่อว่าแผ่นดินเป็น ของหาค่ามิได้ ; เพราะเหตุนั้น ถ้าว่าภิกษุทำประเทศแห่งแผ่นดิน แม้เพียง ปลายเส้นผมให้เป็นของๆ ตน ด้วยหลักเพียงอันเดียวเท่านั้น พวกเจ้าของจะ เห็นหรือไม่เห็นก็ตาม, ที่หลักนั้น จะจารึกชื่อหรือไม่จารึกก็ตาม พอเธอรุก เสร็จ ก็เป็นปาราชิก แก่เธอด้วย แก่ภิกษุทั้งปวงผู้มีฉันทะร่วมกับเธอด้วย แต่ถ้าที่นานั้น เป็นของที่จะพึงโกงเอาได้ ด้วยหลัก ๒ อัน, เป็นถุลลัจจัยใน หลักอันที่ ๑, เป็นปาราชิกในหลักอันที่ ๒. ถ้าเป็นของที่จะพึงโกงเอาได้ด้วย หลัก ๓ อัน เป็นทุกกฏในหลักอันที่ ๑ เป็นถุลลัจจัยในหลักอันที่ ๒ เป็น ปาราชิกในหลักอันที่ ๓. แม้ในหลักมากอัน ก็พึงทราบว่า เป็นทุกกฏด้วย หลักต้นๆ เว้นในที่สุดไว้ ๒ หลัก เป็นถุลลัจจัยด้วยหลักอันหนึ่ง แห่งสอง หลักในที่สุด, เป็นปาราชิกด้วยหลักอีกอันหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้. ก็ปาราชิก นั้นแล ย่อมมีด้วยความทอดธุระของพวกเจ้าของ. ในการรุกทั้งปวงมีการรุกล้ำ ด้วยเชือกเป็นต้น ก็อย่างนี้.

บทว่า รชฺชุํ วา มีความว่า ภิกษุมีความประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใจว่า นานี้เป็นของเรา ขึงเชือกก็ตาม ทอดไม้เท้าลงก็ตาม ต้องทุกกฏ เมื่อเธอทำ


ความคิดเห็น 91    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 167

ในใจว่า บัดนี้เราจักทำให้เป็นของๆ ตน ด้วย ๒ ประโยค เป็นถุลลัจจัย ใน ประโยคที่หนึ่งแห่ง ๒ ประโยคนั้น, เป็นปาราชิกในประโยคที่ ๒.

บทว่า วติ วา มีความว่า ภิกษุมีความประสงค์จะทำนาของผู้อื่นให้ เป็นของๆ ตน ด้วยอำนาจแห่งการล้อม จึงปักหลักกระทู้ลง ต้องทุกกฏทุกๆ ประโยค, เมื่อประโยคหนึ่งยังไม่สำเร็จ เป็นถุลลัจจัย เมื่อประโยคนั้นสำเร็จ แล้ว เป็นปาราชิก. ถ้าเธอไม่อาจทำด้วยประโยคมีประมาณเท่านั้น แต่อาจ ทำให้เป็นของๆ ตนได้ ด้วยล้อมไว้ด้วยกิ่งไม้เท้านั้น แม้ในการทอดกิ่งไม้ลง ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ภิกษุอาจเพื่อจะล้อมด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้เป็น ของๆ ตนได้ ด้วยประการอย่างนี้, ในวัตถุนั้นๆ พึงทราบว่า เป็นทุกกฏ ด้วยประโยคต้นๆ , เป็นถุลลัจจัยด้วยประโยคอันหนึ่ง แห่งสองประโยคใน ที่สุด, เป็นปาราชิกด้วยประโยคนอกจากนี้.

บทว่า ปริยาทํ วา มีความว่า ภิกษุมีความประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใจ นาของผู้อื่นว่า นี้เป็นนาของเรา จึงรุกคันนาของตนเข้าไป โดยประการที่ แนวนา (ของตน) จะล้ำนาของผู้อื่น หรือเอาดินร่วนและดินเหนียวเป็นต้น เสริมทำให้กว้างออกไป หรือว่าตั้งคันนาที่ยังไม่ได้ทำขึ้น ต้องทุกกฏในประโยค ต้นๆ , เป็นถุลลัจจัยด้วยประโยคอันหนึ่ง แห่งสองประโยคหลัง, เป็นปาราชิก ด้วยประโยคนอกจากนี้ ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในนา


ความคิดเห็น 92    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 168

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่

พึงทราบวินิจฉัยแม้ในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่อไป :- พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงพื้นที่ก่อน จึงตรัสว่า วตฺถุ นาม อารามวตฺถุ วิหารวตฺถุ (ที่ชื่อว่าพื้นที่ ได้แก่พื้นที่สวน พื้นที่วิหาร) ดังนี้. บรรดา พื้นที่สวนเป็นต้นนั้น ภูมิภาคที่เขามิได้ปลูกพืช หรือต้นไม้ที่ควรปลูกไว้เลย แผ้วถางพื้นดินไว้อย่างเดียว หรือล้อมด้วยกำแพง ๓ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่สวนดอกไม้เป็นต้น ชื่อว่า อารามวัตถุ. ภูมิภาคที่เขาตั้งไว้ เพื่อประโยชน์แก่วิหารบริเวณ และอาวาสหนึ่งๆ โดยนัยนั้นนั่นเอง ชื่อว่า วิหารวัตถุ. ภูมิภาคแม้ใดในกาลก่อน เป็นอารามและเป็นวิหาร, ภายหลัง ร้างไป ตั้งอยู่เป็นเพียงภูมิภาค ไม่สำเร็จกิจแห่งอารามและวิหาร ภูมิภาคแม้ นั้นก็สงเคราะห์ โดยการรวมเข้าในอารามวัตถุและวิหารวัตถุเหมือนกัน. ส่วน วินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนและพื้นที่วิหารนี้ เป็นเช่นกับที่กล่าวแล้ว ในนานั่นเอง ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่

คำที่ควรจะกล่าวในภัณฑะที่ตั้งอยู่ในบ้าน ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว ทั้งนั้น.


ความคิดเห็น 93    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 169

กถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่า

วินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่า พึงทราบดังนี้ :- พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงป่าก่อน จึงตรัสว่า อรญฺํ นาม ยํ มนุสฺสานํ ปริคฺคหิคํ โหติ, ตํ อรญฺํ (ที่ชื่อว่าป่า ได้แก่ป่าที่พวกมนุษย์หวงห้าม) ดังนี้. ในคำว่า อรญฺํ นั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- เพราะขึ้นชื่อว่า แม้ที่พวกมนุษย์หวงห้าม ก็มี แม้ที่ไม่หวงห้ามก็มี, ในอธิการนี้ ท่านประสงค์เอาป่าที่เขาหวงห้าม มีการอารักขา เป็นแดนที่พวกมนุษย์ไม่ได้เพื่อจะถือเอาไม้และเถาวัลย์เป็นต้น โดยเว้นจากมูลค่า ; เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ป่าเป็นที่ พวกมนุษย์หวงห้าม แล้วตรัสอีกว่า ชื่อว่าป่า ดังนี้.

ด้วยคำว่าป่านั้น ท่านแสดงความหมายนี้ดังนี้ว่า ความเป็นที่ หวงห้ามไม่จัดเป็นลักษณะของป่า, แต่ที่เป็นป่าโดยลักษณะของตน และพวก มนุษย์หวงห้าม ชื่อว่าป่าในความหมายนี้. วินิจฉัยในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่านั้น ก็เป็นเช่นกับที่กล่าวแล้วในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในสวนเป็นต้น.

ก็บรรดาต้นไม้ที่เกิดในป่านั้น เมื่อต้นไม้ที่มีราคามากแม้เพียงต้นเดียว ในป่านี้ สักว่าภิกษุตัดขาดแล้ว ก็เป็นปาราชิก. อนึ่ง ในบทว่า ลตํ วา นี้ หวายก็ดี เถาวัลย์ก็ดี ก็ชื่อว่าเถาวัลย์ทั้งนั้น. บรรดาหวายและเถาวัลย์เหล่านั้น หวายหรือเถาวัลย์ใด เป็นของยาวซึ่งยื่นไป หรือเกี่ยวพันต้นไม้ใหญ่และกอไม้ เลื้อยไป เถาวัลย์นั้น ภิกษุตัดที่รากแล้วก็ดี หรือตัดที่ปลายก็ดี ไม่ยังอวหาร ให้เกิดขึ้นได้. แต่เมื่อใดภิกษุตัดทั้งที่ปลายทั้งที่ราก เมื่อนั้น ย่อมยังอวหาร ให้เกิดได้ หากเถาวัลย์ไม่เกี่ยวพัน (ต้นไม้) อยู่. ส่วนที่เกี่ยวพัน (ต้นไม้) อยู่


ความคิดเห็น 94    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 170

พอภิกษุคลายออกพ้นจากต้นไม้ ย่อมยังอวหารให้เกิดได้. หญ้าก็ตาม ใบไม้ ก็ตาม ทั้งหมดนั้น ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยศัพท์ว่าหญ้า ในบทว่า ติณํ วา นี้ ภิกษุถือเอาหญ้านั้น ที่ผู้อื่นตัดไว้เพื่อประโยชน์แก่เครื่องมุงเรือนเป็นต้น หรือ ที่ตนเองตัดเอา พระวินัยธรพึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ และจะปรับอาบัติ แต่เฉพาะถือเอาหญ้าและใบไม้อย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ ถือเอาเปลือกและสะเก็ด เป็นต้นแม้อย่างอื่นชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ. เมื่อ ภิกษุถือเอาวัตถุมีเปลือกไม้เป็นต้น ซึ่งพวกเจ้าของยังความอาลัยอยู่ พึงปรับ อาบัติตามราคาสิ่งของ แม้ต้นไม้ที่เขาถากทิ้งไว้นานแล้ว ก็ไม่ควรถือเอา. ส่วนต้นไม้ใด ซึ่งเขาตัดที่ปลายและรากแล้ว กิ่งของต้นไม้นั้นเกิดเน่าผุบ้าง สะเก็ดทั้งหลายกะเทาะออกบ้าง, จะถือเอาด้วยคิดว่า ต้นไม้นี้ พวกเจ้าของ ทอดทิ้งแล้ว ดังนี้ ควรอยู่. แม้ต้นไม้ที่สลักเครื่องหมายไว้เมื่อใดเครื่องหมาย ถูกสะเก็ดงอกปิด เมื่อนั้น จะถือเอาก็ควร. มนุษย์ทั้งหลาย ตัดต้นไม้เพื่อ ประโยชน์แก่เรือนเป็นต้น เมื่อใด เขาสร้างเรือนเป็นต้นนั้นเสร็จแล้ว และ เข้าอยู่อาศัย, เมื่อนั้น แม้ไม้ทั้งหลาย ย่อมเสียหายไปเพราะฝนและแดดแผดเผา อยู่ในป่า. ภิกษุพบเห็น ไม้แม้เช่นนี้ จะถือเอาด้วยคิดว่า เขาทอดทิ้งแล้ว ดังนี้ ควรอยู่ เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ไม้เหล่านั้นเจ้าของป่า (เจ้าพนักงาน ป่าไม้) ไม่มีอิสระ. ไม้ทั้งหลายที่ชนเหล่าใดให้ไทยธรรม (ค่าภาคหลวง) แก่เจ้าของป่าแล้วจึงตัด, ชนเหล่านั้นนั่นเอง เป็นอิสระแห่งไม้เหล่านั้น และ ชนเหล่านั้น ก็ทิ้งไม้เหล่านั้น พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในไม้เหล่านั้นแล้ว; เพราะเหตุนั้น ภิกษุจะถือเอาไม้เช่นนั้นก็ควร. แม้ภิกษุรูปใด ให้ไทยธรรม (ค่าภาคหลวง) แก่พนักงานผู้รักษาป่าไม้ก่อนทีเดียวแล้วเข้าป่า ให้ไวยาวัจกร ถือเอาไม้ทั้งปลายได้ตามความพอใจ, การที่ภิกษุรูปนั้น แม้จะไม่ไปยังที่อารักขา (ด่านตรวจ) ของเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้เหล่านั้น ไปโดยทางตามที่ตนชอบใจ ก็ควร. แม้ถ้าเธอเมื่อเข้าไป ยังไม้ได้ให้ไทยธรรม ทำในใจว่า ขณะออกมา


ความคิดเห็น 95    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 171

จักให้ ดังนี้ ให้ถือเอาไม้ทั้งหลาย แล้วขณะออกมาให้ไทยธรรมที่ควรให้ แก่พวกเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้เหล่านั้นแล้วไป สมควรแท้. แม้ถ้าเธอทำ ความผูกใจไว้แล้วจึงไป เมื่อเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้ทวงว่า ท่านจงให้ ตอบว่า อาตมาจักให้ เมื่อเขาทวงอีกว่า จงให้ ควรให้ทีเดียว ถ้ามีบางคน ให้ทรัพย์ของตนแล้ว พูด (กับเจ้าพนักงาน) ว่า พวกท่านจงให้ภิกษุไปเถิด ดังนี้, ภิกษุจะไปตามข้ออ้างที่ตนได้แล้วนั้นแลควรอยู่. แต่ถ้าบางคนมีชาติ เป็นอิสระ (เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่) ไม่ได้ให้ทรัพย์เลย ห้ามไว้ว่า พวกท่านอย่าได้ รับค่าภาคหลวงสำหรับพวกภิกษุ ดังนี้ แต่พวกเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้ พูดว่า เมื่อพวกเราไม่รับเอาของพวกภิกษุและดาบส จักได้จากที่ไหนเล่า? ให้เถิดขอรับ! ดังนี้, ภิกษุควรให้เหมือนกัน. ส่วนภิกษุรูปใด เมื่อเจ้าพนักงานผู้รักษาป่าไม้นอนหลับ หรือขลุกขลุ่ยอยู่ในการเล่น หรือหลีกไปใน ที่ไหนๆ เสีย มาถึงแล้วแม้เรียกหาอยู่ว่า เจ้าพนักงานผู้ควบคุมป่าไม้ อยู่ที่ ไหนกัน ดังนี้ ครั้นไม่พบ จึงไปเสีย, ภิกษารูปนั้น เป็นภัณฑไทย. ฝ่ายภิกษุ รูปใด ครั้นไปถึงสถานที่อารักขาแล้ว แต่มัวใฝ่ใจถึงกรรมฐานเป็นต้นอยู่ หรือส่งจิตไปที่อื่นเสีย เลยผ่านไป เพราะระลึกไม่ได้ , ภิกษุรูปนั้น เป็น ภัณฑไทยเหมือนกัน. แม้ภิกษุรูปใด ไปถึงสถานที่นั้นแล้ว มีโจร ช้าง เนื้อร้าย หรือมหาเมฆปรากฏขึ้น, เมื่อภิกษุรูปนั้น รีบผ่านเลยสถานที่นั้นไป เพราะ ต้องจะพ้นจากอุปัทวะนั้น, ยังรักษาอยู่ก่อน, แต่ก็เป็นภัณฑไทย. ก็ขึ้น ชื่อว่า สถานที่อารักขาในป่านี้ เป็นของหนักมาก แม้กว่าด่านภาษี. จริงอยู่ ภิกษุเมื่อไม่ก้าวเข้าไปสู่เขตแดน ด่านภาษี หลบหลีกไปเสียแต่ที่ไกล จะต้อง เพียงทุกกฎเท่านั้น แต่เมื่อเธอหลบหลีกที่อารักขาในป่านี้ไปด้วยไถยจิต ถึง จะไปโดยทางอากาศก็ตาม ก็เป็นปาราชิกโดยแท้ เพราะเหตุนั้น ภิกษุไม่ควร เป็นผู้ประมาทในสถานที่อารักขาในป่า ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในป่า


ความคิดเห็น 96    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 172

กถาว่าด้วยน้ำ

ก็ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยในน้ำดังนี้ :- บทว่า ภาชนคตํ ได้แก่ น้ำที่เขารวมใส่ไว้ในภาชนะทั้งหลายมีไหใส่น้ำเป็นต้น ในเวลาที่หาน้ำได้ยาก. เมื่อภิกษุเอียงภาชนะที่เขาใส่น้ำนั้นก็ดี ทำให้เป็นช่องทะลุก็ดี แล้วสอดภาชนะ ของตนเข้าไปรับเอาน้ำที่มีอยู่ ในภาชนะของเขาเหล่านั้น กับในสระโบกขรณี และบ่อ ก็พึงทราบวินิจฉัยโดยนัยดังที่กล่าวไว้ในเนยใสและน้ำมันนั่นแล. ส่วน ในการเจาะคันนา มีวินิจฉัยดังนี้ :- เมื่อภิกษุเจาะคันนาแม้พร้อมทั้งภูตคาม ซึ่งเกิดขึ้นในคันนานั้น เป็นทุกกฏ เพราะเป็นประโยคแห่งอทินนาทาน. ก็แล ทุกกฏนั้น ย่อมเป็นทุกๆ ครั้งที่ขุดเจาะ. ภิกษุยืนอยู่ข้างใน แล้วหันหน้าไป แล้วหันหน้าเข้าไปข้างในเจาะอยู่ พึงปรับอาบัติด้วยส่วนข้างใน, เมื่อเธอเจาะ หันหน้าไปทั้งข้างในและข้างนอก คือ ยืนอยู่ที่ตรงกลางทำลายคันนานั้นอยู่ พึงปรับอาบัติด้วยส่วนตรงกลาง.

ภิกษุทำคันนาให้ชำรุดแล้ว จึงร้องเรียกฝูงโคมาเอง หรือใช้ให้พวก เด็กชาวบ้านร้องเรียกมาก็ตาม, ฝูงโคเหล่านั้นพากันเอากีบเล็บตัดคันนา เป็น อันว่าภิกษุรูปนั้นนั่นเองตัดคันนา. ภิกษุทำคันนาให้ชำรุดแล้ว ต้อนฝูงโคเข้า ไปในน้ำ หรือสั่งพวกเด็กชาวบ้านให้ต้อนเข้าไปก็ตาม, ระลอกคลื่นที่โค เหล่านั้นทำให้เกิดขึ้นซัดทำลายคันนาไป. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุพูดชวนพวกเด็ก ชาวบ้านว่า จงพากันเล่นน้ำเถิด หรือตวาดพวกเด็กผู้เล่นอยู่ให้สะดุ้งตกใจ, ระลอกคลื่นที่เด็กเหล่านั้นทำให้ตั้งขึ้น ทำลายคันนาไป. ภิกษุตัดต้นไม้ที่เกิด อยู่ภายในน้ำเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นตัดก็ตาม, ระลอกคลื่นแม้ที่ต้นไม้ซึ่งล้มลงนั้น


ความคิดเห็น 97    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 173

ทำให้ตั้งขึ้น ซัดทำลายคันนาไป, เป็นอันว่าภิกษุรูปนั้นนั่นเอง เป็นผู้ทำลาย คันนา. ภิกษุทำคันนาให้ชำรุดแล้ว ปิดน้ำที่เขาไขออกไป หรือปิดลำราง สำหรับไขน้ำออกจากสระเสีย เพื่อต้องการรักษาสระก็ดี ก่อคันหรือแต่งลำราง ให้ตรง โดยอาการที่น้ำซึ่งไหลบ่าไปแต่ที่อื่น จะไหลเข้าไปในสระนี้ได้ก็ดี พังสระของตนซึ่งอยู่เบื้องบนสระของคนอื่นนั้นก็ดี, น้ำที่เอ่อล้นขึ้น ไหลบ่า พัดเอาคันนาไป, เป็นอันว่าภิกษุรูปนั้นนั่นเอง เป็นผู้ทำลายคันนา. ในที่ทุกๆ แห่ง พระวินัยธรพึงปรับด้วยอวหาร พอเหมาะสมแก่ราคาน้ำที่ไหลออกไป. แม้เมื่อภิกษุรื้อถอนท่อลำรางสำหรับไขน้ำออกไปเสีย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

อนึ่ง ถ้าภิกษุนั้นทำคันนาให้ชำรุดแล้ว ฝูงโคซึ่งเดินมาตามธรรมดา ของตนนั่นเอง หรือพวกเด็กชาวบ้านผู้ไม่ได้ถูกบังคับ ช่วยกันขับต้อนให้ขึ้น ไปเอากีบเล็บตัดคันนาก็ดี ฝูงโคที่พวกเด็กชาวบ้านผู้ไม่ได้ถูกบังคับ ช่วยกัน ขับต้อนให้ลงไปในน้ำตามธรรมดาของตนเอง ทำให้ระลอกคลื่นตั้งขึ้นก็ดี, พวกเด็กชาวบ้านพากันเข้าไปเล่นน้ำเสียเอง ทำให้ระลอกคลื่นตั้งขึ้นก็ดี, ต้นไม้ (ซึ่งเกิดอยู่) ภายในน้ำ ที่ถูกชนเหล่าอื่นตัดขาดล้มลงแล้ว ทำระลอกคลื่นให้ ตั้งขึ้น, ระลอกคลื่นนั้นๆ ซัดคันนาขาดก็ดี, แม้หากว่า ภิกษุทำคันนาให้ชำรุด แล้ว ปิดที่ๆ เขาไขน้ำออกไป หรือลำรางสำหรับไขน้ำแห่งสระที่แห้ง ก่อคัน หรือแต่งลำรางที่แห้งให้ตรงทางน้ำที่จะไหลบ่าไปแต่ที่อื่น, ภายหลังในเมื่อฝน ตก น้ำไหลบ่ามาเซาะทำลายคันนาไป, ในที่ทุกๆ แห่ง เป็นภัณฑไทย. ส่วน ภิกษุใด ทำลายคันบึงแห้งในฤดูแล้งให้พังลงจนถึงพื้น, ภายหลังในเมื่อฝนตก น้ำที่ไหลมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไหลผ่านไป, เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้น. ข้าวกล้ามีประมาณเท่าใด ที่เกิดขึ้นเพราะมีน้ำนั้นเป็นปัจจัย, ภิกษุเมื่อไม่ใช้ แม้ค่าทดแทนเท่าราคาบาทหนึ่งจากข้าวกล้า (ที่เสียไป) นั้น จัดว่าไม่เป็นสมณะ เพราะพวกเจ้าของทอดธุระ. แต่พวกชาวบ้านแม้ทั้งหมด เป็นอิสระแห่งน้ำใน บึงทั่วไปแก่ชนทั้งปวง และปลูกข้าวกล้าทั้งหลายไว้ภายใต้แห่งบึงนั้นด้วย.


ความคิดเห็น 98    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 174

น้ำก็ไหลออกจากลำรางใหญ่แต่บึงไปโดยท่ามกลางนา เพื่อหล่อเลี้ยงข้าวกล้า. แม้ลำรางใหญ่นั้น ก็เป็นสาธารณะแก่ชนทั้งปวง ในเวลาน้ำไหลอยู่เสมอ. ส่วนพวกชนชักลำรางเล็กๆ ออกจากลำรางใหญ่นั้น แล้วไขน้ำให้เข้าไปในนา ของตนๆ. ไม่ย่อมให้คนเหล่าอื่นถือเอาน้ำในลำรางเล็กของตนนั้น, เมื่อมี น้ำน้อย ในฤดูแล้ง จึงแบ่งปันน้ำให้กันตามวาระ. ผู้ใด เมื่อถึงวาระน้ำ ไม่ได้น้ำ, ข้าวกล้าของผู้นั้นย่อมเหี่ยวแห้งไป, เพราะเหตุนั้น ผู้อื่นจะรับเอา น้ำในวาระของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่ได้. บรรดาลำรางเล็กเป็นต้นนั้น ภิกษุใด ไขน้ำจากลำรางเล็ก หรือจากนาของชนเหล่าอื่น ให้เข้าไปยังเหมืองหรือนา ของตน หรือของคนอื่นด้วยไถยจิตก็ดี ให้น้ำไหลบ่าปากดงไปก็ดี, ภิกษุนั้น เป็นอวหารแท้. ฝ่ายภิกษุใด คิดว่า นานๆ เราจักมีน้ำสักคราวหนึ่ง และ ข้าวกล้านี้ก็เหี่ยวแห้งจึงปิดทางไหลของน้ำที่กำลังไหลเข้าไปในนาของชนเหล่า อื่นเสีย แล้วให้ไหลเข้าไปยังนาของตน, ภิกษุนั้นเป็นอวหารเหมือนกัน. ก็ถ้า ว่าเมื่อน้ำยังไม่ไหลออกจากบึง หรือยังไม่ไหลไปถึงปากเหมืองของชนเหล่าอื่น, ภิกษุก่อลำรางแห้งนั่นเองไว้ในที่นั้นๆ โดยอาการที่น้ำซึ่งกำลังไหลมา จะไม่ ไหลเข้าไปในนาของชนเหล่าอื่น ไหลเข้าไปแต่ในนาของตนเท่านั้น, เมื่อน้ำ ยังไม่ไหลออกมา แต่ภิกษุได้ก่อคันไว้ก่อนแล้ว ก็เป็นอันเธอก่อไว้ดีแล้ว, เมื่อ น้ำไหลออกมาแล้ว ถ้าภิกษุก่อคันไว้ เป็นภัณฑไทย. แม้เมื่อภิกษุไปยังบึง แล้วรื้อถอนท่อลำรางสำหรับไขน้ำออกเสียเอง ให้น้ำไหลเข้าไปยังนาของตน ไม่เป็นอวหาร. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่าตนอาศัยบึงจึงได้ทำนา. แต่ไม่ สมด้วยลักษณะนี้ว่า วัตถุกาละและเทสะเป็นต้น. เพราะเหตุนั้น คำที่ท่าน กล่าวไว้ในมหาอรรถกถานั่นแหละ ชอบแล้ว ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยน้ำ


ความคิดเห็น 99    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 175

กถาว่าด้วยไม้ชำระฟัน

ไม้ชำระฟัน อันผู้ศึกษาพึงวินิจฉัยตามข้อที่วินิจฉัยไว้ในภัณฑะตั้งอยู่ ในสวน. ส่วนความแปลกกันในไม้ชำระฟันนี้ มีดังต่อไปนี้ :-

ไวยาวัจกรคนใด เป็นผู้ที่สงฆ์เลี้ยงไว้ด้วยค่าบำเหน็จ ย่อมนำไม้ชำระ ฟันมาถวายทุกวัน หรือตามวารปักษ์และเดือน. ไวยาวัจกรคนนั้น นำไม้ ชำระฟันนั้นมา แม้ตัดแล้ว ยังไม่มอบถวายภิกษุสงฆ์เพียงใด, ไม้ชำระฟันนั้น ก็ยังเป็นของไวยาวัจกรผู้นำมานั้นนั่นเอง เพียงนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุเมื่อ ถือเอาไม้ชำระฟันนั้นด้วยไถยจิต พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ. อนึ่ง มีของ ครุภัณฑ์ซึ่งเกิดขึ้นในอารามนั้น, ภิกษุเมื่อถือเอาของครุภัณฑ์แม้นั้น ที่ภิกษุ สงฆ์รักษาคุ้มครอง ก็พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ. ในไม้ชำระฟันที่ตัดแล้ว และยังมิได้ตัด ซึ่งเป็นของคณะบุคคลและมนุษย์คฤหัสถ์ก็ดี ในภัณฑะที่เกิด ขึ้นในอารามและสวนเป็นต้น ของคณะบุคคลและมนุษย์คฤหัสถ์เหล่านั้นก็ดี ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. สามเณรทั้งหลาย เมื่อนำไม้ชำระฟันมาถวายแก่ภิกษุสงฆ์ ตามวาระ ย่อมนำมาถวายแม้แก่พระอาจารย์และอุปัชฌายะ (ของตน). เธอ เหล่านั้น ครั้นตัดไม้ชำระฟันนั้นแล้ว ยังไม่มอบถวายสงฆ์เพียงใด, ไม้ชำระ ฟันนั้นแม้ทั้งหมด ก็ยังเป็นของเธอเหล่านั้นนั่นเองเพียงนั้น, เพราะเหตุนั้น ภิกษุเมื่อถือเอาไม้ชำระฟันแม้นั้นด้วยไถยจิต ก็พึงปรับอาบัติตามราคาสิ่งของ. แต่เมื่อใด สามเณรเหล่านั้นตัดไม้ชำระฟันแล้ว ได้มอบถวายสงฆ์แล้ว แต่ยัง เก็บไว้ในโรงไม้ชำระฟัน ด้วยคิดในใจอยู่ว่า ภิกษุสงฆ์จงใช้สอยตามสบาย เถิด ดังนี้, ตั้งแต่กาลนั้นไป ไม่เป็นอวหาร แต่ก็ควรทราบธรรมเนียม.


ความคิดเห็น 100    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 176

จริงอยู่ ภิกษุรูปใด เข้าไปในท่ามกลางสงฆ์ทุกวัน, ภิกษุรูปนั้น ควรถือเอา ไม้ชำระฟันได้เพียงวันละอันเท่านั้น. ส่วนภิกษุรูปใด ไม่เข้าไปในท่ามกลาง สงฆ์ทุกวัน พักอยู่ในเรือนที่บำเพ็ญเพียร จะปรากฏตัวได้ก็แต่ในที่ฟังธรรม หรือในโรงอุโบสถ ; ภิกษุรูปนั้นควรกำหนดประมาณ แล้วเก็บไม้ชำระฟัน ๔ - ๕ อันไว้ในที่อยู่ของตนเคี้ยวเถิด. เมื่อไม้ชำระฟันเหล่านั้น หมดไปแล้ว แต่ถ้าในโรงไม้ชำระฟัน ยังมีอยู่มากที่เดียว ก็ควรนำมาเคี้ยวได้อีก, ถ้าเธอ ไม่กำหนดประมาณ ยังนำมาอยู่ไซร้, เมื่อไม้ชำระฟันเหล่านั้นยังไม่หมดสิ้น ไปเลย, แต่ในโรงหมดไป ; คราวนั้น พระเถระทั้งหลายบางพวกจะพึงพูดว่า พวกภิกษุผู้นำไม้ชำระฟันไป จงนำมาคืน, บางพวกจะกล่าวว่า จงเคี้ยวไปเถิด, พวกสามเณรจักขนมาถวายอีก เพราะเหตุนั้น จึงควรกำหนดประมาณ เพื่อ ป้องกันการวิวาทกัน แต่ไม่มีโทษในการถือเอา. แม้ภิกษุผู้จะเดินทาง ควร ใส่ไม้ชำระฟันหนึ่งหรือสองอันในถุงย่ามแล้วจึงไป ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยไม้ชำระฟัน


ความคิดเห็น 101    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 177

กถาว่าด้วยต้นไม้เจ้าป่า

บทว่า วนปฺปติ ได้แก่ ต้นไม้เป็นเจ้าแห่งป่า คำว่า วนัปปติ นั่น เป็นชื่อของต้นไม้ที่เจริญที่สุดในป่า. ก็ต้นไม้ที่พวกมนุษย์หวงห้ามแม้ทั้งหมด มีมะม่วง ขนุนสำมะลอ และขนุนธรรมดาเป็นต้น ท่านประสงค์เอาในอธิการนี้. ก็หรือว่า พวกมนุษย์ปลูกกระวานและเถาวัลย์เป็นต้นขึ้นไว้ที่ต้นไม้ใด, ต้นไม้ นั้น เมื่อถูกภิกษุตัด ถ้าเปลือกก็ดี ใยก็ดี สะเก็ดก็ดี กระพี้ก็ดี แม้อันเดียว ยังติดเนื่องกันอยู่แล ล้มลงบนพื้นดิน ก็ยังรักษาอยู่ก่อน. ส่วนต้นไม้ใดแม้ ถูกตัดขาดแล้ว ก็ยังตั้งอยู่ตรงๆ นั่นเอง เพราะมีเถาวัลย์หรือกิ่งไม้โดยรอบ ธารไว้ หรือเมื่อล้มลงไปยังไม่ถึงพื้นดิน, ในต้นไม้นั้น ไม่มีการหลีกเลี่ยง คือ เป็นอวหารทีเดียว. แม้ต้นไม้ใด ที่ภิกษุเอาเลื่อนตัดขาดแล้ว ก็ยังตั้งอยู่ ในทีนั้นนั่นเอง เป็นเหมือนยังไม่ขาดฉะนั้น, แม้ในต้นไม้นั้น ก็มีนัยนี้ เหมือนกัน. ส่วนภิกษุรูปใด ทำต้นไม้ให้หย่อนกำลัง ภายหลังจึงเขย่าให้ล้ม ลงก็ดี ให้ผู้อื่นเขย่าก็ดี ตัดไม้ต้นอื่นใกล้ต้นไม้นั้นทับลงไว้เองก็ดี ให้ผู้อื่น ตัดทับก็ดี ต้อนพวกลิงให้ไปขึ้นบนต้นไม้นั้นก็ดี สั่งคมอื่นให้ต้อนขึ้นไปก็ดี ต้อนพวกค้างคาวให้ขึ้นบนต้นไม้นั้นก็ดี สั่งคนอื่นให้ต้อนขึ้นไปก็ได้ ค้างคาว เหล่านั้น ทำต้นไม้นั้นให้ล้มลง ; อวหารย่อมมีแก่ภิกษุรูปนั้นเหมือนกัน. แต่ถ้าเมื่อทำต้นไม้หย่อนกำลังแล้ว มีผู้อื่นซึ่งเธอมิได้บังคับเคย เขย่า ต้นไม้นั้นให้ล้มลงก็ตาม เอาต้นไม้ทับไว้เองก็ตาม พวกลิงหรือค้างคาวขึ้น


ความคิดเห็น 102    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 178

เกาะตามธรรมดาของตนก็ตาม มีผู้อื่นซึ่งเธอมิได้บังคับขึ้นไปเองก็ตาม เธอ แผ้วถางทางลมไว้เสียเองก็ตาม, ลมที่มีกำลังแรงพัดมาทำต้นไม้ให้ล้มลง ; เป็นภัณฑไทย ในที่ทุกแห่ง. ก็ในอธิการนี้ การแผ้วถางทางลมในเมื่อลมยัง ไม่พัดมา สมด้วยกิจทั้งหลาย มีการแต่งลำรางที่แห้งให้ตรงเป็นต้น หาสมโดย ประการอื่นไม่. ภิกษุเจาะต้นไม้แล้วเอาศัสตราตอกก็ดี จุดไฟเผาก็ดี ตอก เงี่ยงกระเบนที่เป็นพิษไว้ก็ดี ต้นไม้นั้นย่อมตายไป ด้วยการกระทำใด, ในการ กระทำนั้นทั้งหมด เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยต้นไม้เจ้าป่า


ความคิดเห็น 103    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 179

กถาว่าด้วยผู้นำทรัพย์ไป

ในภัณฑะที่มีผู้นำไป มีวินิจฉัยดังนี้ :- ภัณฑะที่ผู้อื่นนำไป ชื่อว่า หรณกะ.

สองบทว่า เถยฺยจิตฺโต อามสติ ความว่า ภิกษุเห็นชนอื่นผู้ใช้ สีสภาระเป็นต้นทูนเอาสิ่งของเดินไป แล้วคิดอยู่ในใจว่า เราจักแย่งเอาสิ่งของ นั่นไป จึงรีบไปลูบคลำ เพียงการลูบคลำเท่านี้ เธอเป็นทุกกฏ.

บทว่า ผนฺทาเปติ ความว่า ภิกษุทำการฉุดมาและฉุดไป แต่เจ้าของ ยังไม่ปล่อย, เพราะทำให้ไหวนั้น เธอเป็นถุลลัจจัย.

สองบทว่า านา จาเวติ ความว่า ภิกษุฉุดมาให้พ้นจากมือเจ้าของ, เพราะเหตุที่ให้พ้นนั้น เธอเป็นปาราชิก. แต่ถ้าเจ้าของภัณฑะลุกขึ้นมาแล้วโบยตี ภิกษุนั้น บังคับให้วางภัณฑะนั้น แล้วจึงรับคืนอีก , ภิกษุเป็นปาราชิก เพราะ การถือเอาคราวแรกนั่นเอง. เมื่อภิกษุตัดหรือแก้เครื่องอลังการ จากศีรษะ หู คอ หรือจากมือถือเอา พอสักว่าเธอแก้ให้พ้นจากอวัยวะมีศีรษะเป็นต้น ก็เป็นปาราชิก. แต่เธอไม่ได้นำกำไลมือหรือทองปลายแขนที่มือออก เป็นแต่ รูดไปทางปลายแขน ให้เลื่อนไปๆ มาๆ หรือทำให้เชิดไปในอากาศ, ก็ยัง รักษาอยู่ก่อน เครื่องประดับมีกำไลมือเป็นต้น ให้เกิดเป็นปาราชิกไม่ได้ ดุจวลัยที่โคนต้นไม้และราวจีวรฉะนั้น; เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า มือที่ สวมเครื่องประดับมีวิญญาณ. จริงอยู่ เครื่องประดับมีกำไลมือเป็นต้น ซึ่ง สวมอยู่ในส่วนแห่งอวัยวะที่มีวิญญาณ ยังนำออกจากมือนั้นไม่ได้เพียงใด ก็ยัง มีอยู่ในมือนั้นนั่นเองเพียงนั้น. ในวงแหวนที่สวมนิ้วมือ ในเครื่องประดับเท้า และสะเอว ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนภิกษุรูปใด แย่งชิงเอาผ้าสาฎกที่ผู้อื่น


ความคิดเห็น 104    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 180

นุ่งห่มอยู่ และผู้อื่นนั้น ก็ไม่ปล่อยให้หลุดออกโดยเร็ว เพราะมีความละอาย. ภิกษุผู้เป็นโจรดึงทางชายข้างหนึ่ง. ผู้อื่น (คือเจ้าของผ้า) ก็ดึงทางชายอีกข้าง หนึ่ง ยังรักษาอยู่ก่อน. เมื่อสักว่าผ้านั้นพ้นจากมือของผู้อื่น ภิกษุนั้นต้อง ปาราชิก. แม้ถ้าเอกเทศแห่งผ้าสาฎกที่ภิกษุดึงมา ขาดไปอยู่ในมือ และเอกเทศ นั้น ได้ราคาถึงบาท ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน.

บทว่า สหภณฺฑหารกํ ความว่า ภิกษุคิดว่า เราจักนำภัณฑะพร้อม กับคนผู้ขนภัณฑะไป ดังนี้แล้ว จึงคุกคามผู้ขนภัณฑะไปว่า เองจงไปจากที่นี่. บุคคลผู้ขนภัณฑะไปนั้นเกรงกลัว จึงได้หันหน้าไปยังทิศตามที่ภิกษุผู้เป็นโจร ประสงค์ ก้าวเท้าข้างหนึ่งไป เป็นถุลลัจจัย แก่ภิกษุผู้เป็นโจร. เป็นปาราชิก ในก้าวเท้าที่สอง.

บทว่า ปาตาเปติ ความว่า แม้ถ้าภิกษุผู้เป็นโจร เห็นอาวุธในมือ ของบุคคลผู้ขนภัณฑะไป เป็นผู้มีความหวาดระแวง ใคร่จะทำให้อาวุธตกไป แล้วถืออาวุธนั้น จึงถอยออกไปอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งตวาด ทำให้อาวุธตกไป พอสักว่าอาวุธหลุดจากมือของผู้อื่นแล้ว ก็ต้องปาราชิก. ส่วนคำว่า ทำทรัพย์ ให้ตกไป ต้องอาบัติทุกกฏ เป็นต้น พระองค์ตรัสไว้แล้วด้วยอำนาจความ กำหนดหมาย. จริงอยู่ ภิกษุรูปใด กำหนดหมายไว้ว่า เราจักทำให้สิ่งของ ตกไป แล้วจักถือเอาสิ่งของที่เราชอบใจ ดังนี้ แล้วจึงทำให้ตกไป. เธอรูป นั้นต้องทุกกฏ เพราะทำให้สิ่งของนั้นตกไป และเพราะการจับต้องสิ่งของนั้น, ต้องถุลลัจจัย เพราะทำให้ไหว, ต้องปาราชิก เพราะทำสิ่งของที่มีราคาถึง บาทให้เคลื่อนจากฐาน. แม้เมื่อภิกษุถูกบุคคลผู้ขนภัณฑะไปผลักให้ล้มลงใน ภายหลังจึงปล่อยสิ่งของนั้น ความเป็นสมณะไม่มีเลย. ฝ่ายภิกษุรูปใด เห็น บุคคลผู้ขนสิ่งของกำลังก้าวเดินไป จึงติดตามไป พลางพูดว่า หยุด หยุด วางสิ่งของลง ทำให้เขาวางสิ่งของลง, แม้ภิกษุรูปนั้น ก็เป็นปาราชิก ในเมื่อ


ความคิดเห็น 105    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 181

สักว่าสิ่งของพ้นไปจากมือของผู้ขนไป เพราะคำสั่งนั้นเป็นเหตุ, ส่วนภิกษุรูป ใด พูดว่า หยุดๆ แต่ไม่ได้พูดว่า วางสิ่งของลง, และบุคคลผู้ขนสิ่งของไป นอกนี้ จึงเหลียวดูภิกษุผู้เป็นโจรนั้น แล้วคิดว่า ถ้าภิกษุโจรรูปนี้ พึงมาถึง ตัวเรา จะพึงฆ่าเราเสียก็ได้ ยังเป็นผู้มีความห่วงใยอยู่ จึงได้ซ่อนสิ่งของนั้น ไว้ในที่รกชัฏ ด้วยคิดในใจว่า จักกลับมาถือเอา ดังนี้แล้วหลีกไป ยังไม่ เป็นปาราชิก เพราะมีการทำให้ตกเป็นปัจจัย, แต่เมื่อภิกษุมาถือเอาด้วยไถยจิต เป็นปาราชิกในขณะยกขึ้น ก็ถ้าภิกษุผู้เป็นโจรนั้น มีความรำพึงอย่างนี้ว่า สิ่งของนี้เมื่อเราทำให้ตกไปเท่านั้น ชื่อว่า ได้ทำให้เป็นของๆ เราแล้ว ใน ระหว่างที่รำพึงนั้น จึงถือเอาสิ่งของนั้น ด้วยความสำคัญว่า เป็นของตน ยังรักษาอยู่ ในเพราะการถือเอา, แต่เป็นภัณฑไทย ครั้นเมื่อเจ้าของพูดว่า ท่านจงคืนให้ เมื่อไม่คืนให้ เป็นปาราชิก ในเมื่อเจ้าของทอดธุระ. แม้เมื่อ ภิกษุถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญาว่า เจ้าของภัณฑะนั้น ทิ้งสิ่งของนี้ไป, บัดนี้ เขาไม่หวงแหนสิ่งของนี้ ดังนี้ ก็มีนัยเหมือนกันนี้.

ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า แต่ถ้าเจ้าของกำลังตรวจดูด้วยเหตุ เพียงคำที่ภิกษุโจรพูดว่า หยุด หยุด เท่านั้น เห็นภิกษุโจรนั้น แล้วทอดธุระ เสีย ด้วยคิดว่า บัดนี้ มันไม่ใช่ของเรา หมดความห่วงใย ทอดทิ้งหนีไป, เมื่อภิกษุถือเอาของสิ่งนั้นด้วยไถยจิต เป็นทุกกฏ ในเมื่อยกขึ้น, เมื่อเจ้าของ ให้นำมาคืน พึงคืนให้, เมื่อไม่คืนให้ เป็นปาราชิก เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่าเขาทอดทิ้งสิ่งของนั้น ด้วยประโยคของภิกษุนั้น. แต่ในอรรถกถา ทั้งหลายอื่น ไม่มีคำวิจารณ์เลย วินิจฉัยแม้ในภิกษุผู้ถือเอาด้วยความสำคัญว่า เป็นของตนก็ดี ด้วยบังสุกุลสัญญาก็ดี โดยนัยก่อนนั่นเอง ก็เหมือนกันนี้แล.

จบกถาว่าด้วยผู้นำทรัพย์ไป


ความคิดเห็น 106    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 182

กถาว่าด้วยสิ่งของที่เขาฝากไว้

พึงทราบวินิจฉัยในของฝากต่อไป:- แม้ในเพราะการกล่าวเท็จทั้งที่ รู้ตัวอยู่ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้รับไว้ ดังนี้ จึงเป็นทุกกฏ เพราะเป็นบุพประโยค แห่งอทินนาทาน คงเป็นทุกกฏนั่นเอง แม้แก่ภิกษุผู้กล่าวคำเป็นต้นว่า ท่าน พูดอะไร? คำนี้ไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า, ทั้งไม่สมควรแก่ท่านด้วย เจ้าของยัง ความสงสัยให้เกิดขึ้นว่า เราได้มอบทรัพย์ไว้ในมือของภิกษุนี้ ในที่ลับ, คน อื่นไม่มีใครรู้ เธอจักให้แก่เรา หรือไม่หนอ? เป็นถุลลัจจัยแก่ภิกษุ เจ้าของเห็นข้อที่ภิกษุนั้นเป็นผู้หยาบคายเป็นต้น จึงทอดธุระว่า ภิกษุรูปนี้ จักไม่คืนให้แก่เรา ในภิกษุและเจ้าของภัณฑะนั้น ถ้าภิกษุนี้ ยังมีความ อุตสาหะในอันให้อยู่ว่า เราจักทำให้เขาลำบาก แล้วจักให้ ยังรักษาอยู่ก่อน แม้ถ้าเธอไม่มีความอุตสาหะในอันให้, แต่เจ้าของภัณฑะยังมีความอุตสาหะใน อันรับ ยังรักษาอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าภิกษุไม่มีอุตสาหะในอันให้นั้น เจ้าของ ภัณฑะทอดธุระว่า ภิกษุนี้ จักไม่ให้แก่เรา เป็นปาราชิกแก่ภิกษุ เพราะทอด ธุระของทั้งสองฝ่าย ด้วยประการฉะนี้ แม้ถ้าภิกษุพูดแต่ปากว่า จักให้ แต่ จิตใจ ไม่อยากให้ แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นปาราชิก ในเพราะเจ้าของทอดธุระ แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ย้ายภัณฑะ ชื่อว่าของฝากนั้น ที่ชนเหล่าอื่นมอบไว้ ในมือของตน เพื่อประโยชน์แก่การคุ้มครองไปจากฐาน โดยความเป็นประเทศ นี้ไม่ได้คุ้มครอง นำไปเพื่อต้องการเก็บไว้ในที่คุ้มครอง อวหารย่อมไม่มีแก่ ภิกษุผู้ให้เคลื่อนจากฐานแม้ด้วยไถยจิต. เพราะเหตุไร? เพราะเป็นของที่ เขาฝากไว้ในมือของตน, แต่เป็นภัณฑไทย. แม้เมื่อภิกษุผู้ใช้สอยเสียด้วย ไถยจิต ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ถึงในการถือเอาเป็นของยืม ก็เหมือนกันแล.


ความคิดเห็น 107    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 183

แม้คำว่า ธมฺมํ จรนฺโต เป็นอาทิ ก็มีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน พรรณนา พระบาลี เท่านี้ก่อน.

ส่วนวินิจฉัยนอกพระบาลีในของฝากนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยอำนาจ แห่งจตุกกะมีปัตตจตุกกะเป็นต้น อย่างนี้ :-

ได้ยินว่า ภิกษุรูปหนึ่ง ให้เกิดความโลภขึ้นในบาตรที่มีราคามากของ ผู้อื่น ใคร่จะลักบาตรนั้น จึงกำหนดที่ซึ่งเขาวางบาตรครั้นนั้นไว้ได้อย่างดี แล้ว จึงวางบาตรแม้ของตนไว้ใกล้ชิดบาตรครั้นนั้นทีเดียว ในสมัยใกล้รุ่ง แม้เธอจึง มาให้บอกธรรม แล้ว เรียนพระมหาเถระผู้กำลังหลับอยู่ อย่างนี้ว่า กระผมไหว้ ขอรับ พระเถระถามว่า นั่นใคร เธอจึงตอบว่า กระผมเป็นภิกษุอาคันตุกะ ขอรับ อยากจะลาไปแค่เช้านี่แหละ และบาตรของกระผมมีสายโยคเช่นนี้ มีถลกเช่นนี้ วางไว้ที่โน้น, ดีละ ขอรับ กระผมควรได้บาตรนั้น. พระเถระ เข้าไปฉวยเอาบาตรนั้น, เป็นปาราชิก แก่ภิกษุผู้เป็นโจร ในขณะยกขึ้นทีเดียว. ถ้าเธอกลัวแล้วหนีไปในเมื่อพระเถระมาแล้ว ถามว่า คุณเป็นใคร มาผิดเวลา. เธอต้องปาราชิกแล้วเทียว จึงหนีไป. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่พระเถระ เพราะ ท่านมีจิตบริสุทธิ์ พระเถระทำในใจว่า เราจักหยิบบาตรนั้น แต่ฉวยเอาใบ อื่นไป, แม้ในบาตรใบนั้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แต่นัยนี้ ย่อมเหมาะในเมื่อ พระเถระหยิบบาตรใบอื่น แต่เหมือนใบนั้น ดังเรื่องคนที่เหมือนกันกับคนที่ สั่งในมนุสสวิคคหสิกขาบทฉะนั้น. ส่วนในกุรุนที ท่านกล่าวไว้ว่า พึงปรับ อาบัติด้วยการย่างเท้าไป คำที่ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีนั้น ย่อมสมในเมื่อพระเถระ หยิบบาตรอื่น แต่ไม่เหมือนใบนั้นเลย. พระเถระสำคัญว่าเป็นบาตรใบนั้น แต่ได้หยิบเอาบาตรของตนให้ไป, ไม่เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้เป็นโจร เพราะ บาตรนั้นเจ้าของให้, เพราะตนถือเอาด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ เป็นทุกกฏ. พระเถระ


ความคิดเห็น 108    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 184

สำคัญว่าเป็นบาตรใบนั้น แต่ได้หยิบเอาบาตรของภิกษุผู้เป็นโจรนั่นเองให้ไป, แม้ในอธิการว่าด้วยการหยิบบาตรของภิกษุผู้เป็นโจรให้ไปนี้ ไม่เป็นปาราชิก แก่ภิกษุผู้เป็นโจร เพราะบาตรใบนั้นเป็นของๆ ตน, แต่เพราะตนถือเอา ด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ เป็นทุกกฏแท้. เป็นอนาบัติแก่พระเถระในที่ทั้งปวง.

ภิกษุอีกรูปอื่น คิดว่า จักลักบาตร แล้วไหว้พระเถระผู้กำลังจำวัด หลับอยู่ เหมือนอย่างนั่นเอง และถูกพระเถระถามว่า นี้ใคร?. ภิกษุนั้น เรียนว่า กระผมเป็นภิกษุไข้ ขอรับ! ได้โปรดให้บาตรใบหนึ่งแก่กระผมก่อน, กระผมไปยังประตูบ้านแล้ว จักนำเภสัชมา. พระเถระกำหนดว่า ในที่นี้ ไม่มี ภิกษุไข้, นี้ เป็นโจร แล้วพูดว่า จงนำบาตรนี้ไป ได้นำบาตรของภิกษุ ผู้คู่เวรของตนให้ไป, เป็นปาราชิกแก่ทั้งสองรูป ในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง. แม้ เมื่อพระเถระจำได้ดีว่า เป็นบาตรของภิกษุผู้คู่เวร แล้วยกบาตรของรูปอื่นขึ้น ก็มีนัยเหมือนกัน ก็ถ้าพระเถระจำได้ดีว่า บาตรใบนี้ ของภิกษุผู้คู่เวร แต่ได้ยกเอาบาตรของภิกษุผู้เป็นโจรนั่นเองให้ไป เป็นปาราชิกแก่พระเถระ เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้เป็นโจร โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ถ้าพระเถระสำคัญ อยู่ว่า บาตรใบนี้ ของภิกษุผู้คู่เวรของภิกษุผู้เป็นโจรนั้น จึงให้บาตรของตน ไป, เป็นทุกกฏทั้งสองรูป โดยนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล. พระมหาเถระรูปหนึ่ง พูดกะภิกษุผู้อุปัฏฐากว่า คุณจงถือเอาบาตรและจีวร, เราจักไปบิณฑบาตยังบ้าน ชื่อโน้น. ภิกษุหนุ่ม ถือเอาเดินไปข้างหลังพระเถระ ยังไถยจิตให้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเลื่อนภาระบนศีรษะลงมาที่คอ ไม่เป็นปาราชิก. เพราะเหตุไร? เพราะ เหตุว่า บาตรและจีวรนั้น เธอถือไปตามคำสั่ง, แต่ถ้าเธอแวะออกจากทาง เข้าดงไป, พึงปรับอาบัติการย่างเท้า. ถ้าเธอกลับบ่ายหน้าไปทางวิหาร หนีไป เข้าวิหารแล้วจึงไป เป็นปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารไป. ถ้าแม้น เธอบ่ายหน้าสู่บ้าน หนีไปจากสถานที่พระมหาเถระผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งห่ม เป็น


ความคิดเห็น 109    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 185

ปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารบ้านไป. แต่ถ้าทั้งสองรูป เที่ยวบิณฑบาตฉัน แล้ว หรือถือเอาออกไป, ฝ่ายพระเถระพูดกะภิกษุหนุ่มรูปนั้นแม้อีกว่า คุณจง ถือเอาบาตรและจีวร, เราจักไปยังวิหาร และภิกษุหนุ่มรูปนั้น ก็เลื่อนภาระ บนศีรษะลงมาที่คอในสถานที่นั้น โดยนัยก่อนนั่นแล ยังรักษาอยู่ก่อน ถ้าแวะ ออกจากทางเข้าดงไป พึงปรับอาบัติด้วยการย่างเท้า. เธอกลับแล้วมุ่งหน้าไป สู่บ้านนั่นแลหนีไป เป็นปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารบ้านไป. เธอมุ่งหน้า ไปยังวิหารข้างหน้าหนีไป แต่ไม่ยืนไม่นั่งในวิหาร ไปเสียด้วยไถยจิต ยังไม่ ทันสงบนั่นเอง, เป็นปาราชิกในขณะก้าวล่วงอุปจารไป. ฝ่ายภิกษุรูปใด ท่าน มิได้ใช้ฉวยเอาเอง เป็นปาราชิกแก่ภิกษุรูปนั้น ในเพราะเลื่อนภาระที่ศีรษะ ลงมาที่คอเป็นต้น คำที่เหลือเหมือนกับคำก่อนนั่น แล.

ส่วนภิกษุใด อันพระเถระสั่งว่า คุณจงไปยังวิหารชื่อโน้นแล้ว ซัก หรือย้อมจีวรแล้วจงมา ดังนี้ รับคำว่า สาธุ แล้วฉวยเอาไป, ไม่เป็นปาราชิก แม้แก่ภิกษุรูปนั้น ในเพราะยังไถยจิตให้เกิดขึ้น แล้วเลื่อนภาระบนศีรษะลง มาที่คอเป็นต้นในระหว่างทาง. ในเพราะแวะออกจากทาง พึงปรับเธอด้วยการ ย่างเท้า. เธอไปยังวิหารนั้นแล้ว พักอยู่ในวิหารนั้นนั่นเอง ใช้สอยให้เก่าไป ด้วยไถยจิต หรือว่าพวกโจรลักเอาจีวรนั้นของพระเถระนั้นไป ไม่เป็นอวหาร แต่เป็นภัณฑไทย. แม้เมื่อเธอออกจากวิหารนั้นมา ก็นัยนี้แล. ฝ่ายภิกษุใด ท่านมิได้สั่ง เมื่อพระเถระทำนิมิตแล้ว หรือตนเองกำหนดได้ เห็นจีวร เศร้าหมองแล้ว จึงกล่าวว่า โปรดมอบจีวรเถิด ขอรับ! ผมจักไปยังบ้าน ชื่อโน้น ย้อมแล้วจักนำมา ดังนี้ แล้วฉวยเอาไป เป็นปาราชิกแก่ภิกษุนั้น ในเพราะยังไถยจิตให้เกิดขึ้น แล้วเลื่อนภาระบนศีรษะลงมาที่คอเป็นต้นใน ระหว่างทาง. เพราะเหตุไร? เพราะจีวรนั้น ตนถือเอาด้วยท่านมิได้สั่ง.


ความคิดเห็น 110    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 186

เมื่อเธอแวะออกจากทางก็ดี กลับมายังวิหารนั้นนั่นเอง แล้วก้าวล่วงแดนวิหาร ไปก็ดี ก็เป็นปาราชิก ซึ่งมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ในเมื่อไถยจิตเกิดขึ้น แม้แก่เธอผู้ไปแล้วที่บ้านนั้น ย้อมจีวรแล้วกลับมาอยู่ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แต่ถ้าเธอไปในวิหารใด ก็พักอยู่ในวิหารนั้น หรือในวิหารในระหว่างทาง หรือกลับมายังวิหาร (เดิม) นั้นนั่นแลแล้วพักอยู่ ไม่ให้ก้าวล่วงแดนอุปจาร ในด้านหนึ่งแห่งวิหารนั้นไปก็ดี ใช้สอยให้เก่าไปด้วยไถยจิตก็ดี พวกโจรลัก จีวรนั้น ของภิกษุรูปนั้นไปก็ดี จีวรนั้นสูญหายไปด้วยประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ดี เป็นภัณฑไทย. แต่เมื่อเธอก้าวล่วงแดนอุปจารสีมาไป เป็นปาราชิก.

ฝ่ายภิกษุใด เมื่อพระเถระทำนิมิตอยู่ จึงเรียนท่านว่า โปรดให้เถิด ขอรับ! ผมจักย้อมมาถวาย ดังนี้ แล้วเรียนถามว่า ผมจะไปย้อมที่ไหน ขอรับ? ส่วนพระเถระกล่าวกะภิกษุรูปนั้นว่า คุณจงไปย้อมในที่ซึ่งคุณ ปรารถนาเถิด. ภิกษุรูปนี้ ชื่อว่า ทูตที่ท่านส่งไป. ภิกษุนี้ แม้เมื่อหนีไปด้วย ไถยจิตก็ไม่ควรปรับด้วยอวหาร. แต่เมื่อเธอหนีไปด้วยไถยจิตก็ดี ให้ฉิบหาย เสียด้วยการใช้สอยหรือด้วยประการอื่นก็ดี ย่อมเป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. ภิกษุ ฝากบริขารบางอย่างไปไว้ในมือของภิกษุ ด้วยสั่งว่า ท่านจงให้แก่ภิกษุชื่อโน้น ในวิหารชื่อโน้น. วินิจฉัยในเมื่อไถยจิตเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ที่รับบริขารนั้นในที่ ทั้งปวง ก็เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในคำนี้ว่า คุณจงไปยังวิหารชื่อโน้นแล้ว ซักหรือย้อมจีวรแล้วจงมา ดังนี้. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ใคร่จะส่ง (บริขาร) ไป จึงทำนิมิตโดยนัยว่า ใครหนอ จักรับไป. ก็ในสถานที่นั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง กล่าวว่า โปรดให้เถิด ขอรับ! ผมจักรับไป ดังนี้แล้ว ก็รับเอา (บริขารนั้น) ไป. วินิจฉัยในเมื่อไถยจิตเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ที่รับบริขารนั้น ในที่ทั้งปวง เป็น เช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในคำนี้ว่า โปรดให้จีวรเถิด ขอรับ! ผมไปยังบ้าน ชื่อโน้น ย้อมแล้ว จักนำมา ดังนี้.


ความคิดเห็น 111    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 187

พระเถระได้ผ้าเพื่อประโยชน์แก่จีวรแล้ว ก็เก็บไว้ในตระกูลอุปัฏฐาก. ถ้าอันเตวาสิกของพระเถระนั้น ใคร่จะลักเอาผ้าไป จึงไปในตระกูลนั้น แล้ว พูดเหมือนตนถูกพระเถระใช้ให้ไปว่า นัยว่าพวกท่านจงให้ผ้านั้น. อุบาสิกา เชื่อคำของภิกษุรูปนั้นแล้ว ได้นำเอาผ้าที่อุบาสกเก็บไว้มาถวายก็ดี อุบาสก หรือใครคนอื่น (เชื่อคำของภิกษุรูปนั้นแล้ว) ได้นำเอาผ้าที่อุบาสิกาเก็บไว้ มาถวายก็ดี. ภิกษุรูปนั้น เป็นปาราชิกในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง. แต่ถ้าพวก อุปัฏฐากของพระเถระพูดว่า พวกเราจักถวายผ้านี้แก่พระเถระ แล้วก็เก็บผ้า ของตนไว้. ถ้าอันเตวาสิกของพระเถระนั้น ใคร่จะลักเอาผ้านั้น จึงไปใน ตระกูลนั้น แล้วพูดว่า นัยว่า พวกท่านใคร่จะถวายผ้าแก่พระเถระ จงให้ผ้า นั้นเถิด. และอุปัฏฐากเหล่านั้น เชื่ออันเตวาสิกรูปนั้นแล้วพูดว่า ท่านผู้เจริญ! พวกข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า นิมนต์ให้ท่านฉันแล้ว จักถวาย จึงได้เก็บไว้ นิมนต์ ท่านรับเอาไปเถิด แล้วก็ถวายไป ไม่เป็นปาราชิก เพราะผ้านั้นพวกเจ้าของ ถวายแล้ว แต่เป็นทุกกฏ เพราะเธอถือเอาด้วยจิตไม่บริสุทธิ์ และเป็น ภัณฑไทยด้วย.

ภิกษุเดินไปยังบ้านบอกแก่ภิกษุว่า ผู้มีชื่อนี้ จักถวายผ้าอาบน้ำฝน แก่ผม, ท่านพึงรับเอาผ้าผืนนั้นแล้วเก็บไว้ด้วย. ภิกษุรูปนั้นรับว่า ดีละ แล้ว เก็บผ้าสาฎกที่มีราคามากที่ภิกษุนั้นให้ไว้ กับผ้าสาฎกที่มีราคาน้อยซึ่งตนได้แล้ว ภิกษุนั้นมาแล้วจะรู้ว่าผ้าที่ตนได้มีราคามาก หรือไม่รู้ก็ตาม พูดว่า ท่านจงให้ ผ้าอาบน้ำฝนแก่ผมเถิด เธอตอบว่า ผ้าสาฎกที่ท่านได้มามีเนื้อหยาบ, ส่วน ผ้าสาฎกของผมมีราคามาก, ทั้งสองผืนผมได้เก็บไว้ในโอกาสชื่อโน้นแล้ว, โปรดเข้าไปเอาเถิด. เมื่อภิกษุรูปที่ทวงนั้นเข้าไปเอาผ้าสาฎกเนื้อหยาบแล้ว, ภิกษุรูปนอกนี้ถือเอาผ้าสาฎกอีกผืนหนึ่ง เป็นปาราชิกในขณะยกขึ้น. แม้ถ้า


ความคิดเห็น 112    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 188

ภิกษุที่เก็บผ้าไว้นั้น ได้จารึกชื่อของตนไว้ในผ้าสาฎกของภิกษุที่มาทวงนั้น และชื่อของภิกษุที่มาทวงนั้นไว้ในผ้าสาฎกของตน แล้วกล่าวว่า ท่านจงไป อ่านดูชื่อ ถือเอาไปเถิด ดังนี้. แม้ในผ้าสาฎกที่กล่าวนั้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ส่วนภิกษุเจ้าถิ่นรูปใด เก็บผ้าสาฎกที่ตนเองและภิกษุอาคันตุกะนั้นได้ มารวมกันไว้แล้ว พูดกะภิกษุอาคันตุกะนั้นอย่างนี้ว่า ผ้าสาฎกที่ท่านและผมได้ ทั้งสองผืนเก็บไว้ภายในห้อง, ท่านจงไปเลือกเอาผ้าที่ท่านปรารถนาเถิด. และ ภิกษุอากันตุกะนั้น ถือเอาผ้าสาฎกเนื้อหยาบที่ภิกษุเจ้าถิ่นได้มานั่นแล เพราะ ความละอาย. ในภิกษุอาคันตุกะและเจ้าถิ่นนั้น เมื่อภิกษุเจ้าถิ่นถือเอาผ้าสาฎก นอกนี้ เหลือจากที่อาคันตุกะภิกษุเลือกเอาแล้ว ไม่เป็นอาบัติ.

ภิกษุอาคันตุกะ เมื่อพวกภิกษุเจ้าถิ่นทำจีวรกรรมอยู่ เก็บบาตรและ จีวรไว้ในที่ใกล้เข้าใจว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้น จักคุ้มครองไว้ จึงไปอาบน้ำ หรือไปในที่อื่นเสีย ถ้าภิกษุเจ้าถิ่นคุ้มครองบาตรและจีวรนั้นไว้, ข้อนั้นเป็น การดี, ถ้าไม่คุ้มครองไว้, เมื่อบาตรและจีวรนั้นสูญหายไป, ก็ไม่เป็นสินใช้. แม้ถ้าภิกษุอาคันตุกะนั้น กล่าวว่า จงเก็บบาตรและจีวรนี้ไว้เถิด ขอรับ! แล้วไป, และภิกษุเจ้าถิ่นนอกนี้ไม่ทราบ เพราะมัวขวนขวายในกิจอยู่, พึง ทราบนัยเหมือนกันนี้. แม้ถ้าภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้น อันภิกษุอาคันตุกะกล่าวว่า จงเก็บบาตรและจีวรนี้ไว้เถิด ขอรับ! ได้ห้ามว่า พวกข้าพเจ้ากำลังยุ่ง และ ภิกษุอาคันกะนอกนี้ก็คิดว่า ท่านเหล่านี้จักเก็บแน่นอน ไม่ติดใจแล้วไปเสีย, พึงทราบนัยเหมือนกันนี้. แต่ถ้าภิกษุเจ้าถิ่นถูกพระอาคันตุกะรูปนั้น ขอร้อง หรือไม่ขอก็ตาม พูดว่า พวกข้าพเจ้าจักเก็บไว้เอง, ท่านจงไปเถิด ดังนี้ ต้องรักษาบาตรและจีวรนั้นไว้ ถ้าไม่รักษาไว้ไซร้, เมื่อบาตรและจีวรนั้น สูญหายไป ย่อมเป็นสินใช้. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า บาตรและจีวรนั้น พวกเธอรับไว้แล้ว.


ความคิดเห็น 113    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 189

ภิกษุรูปใดเป็นภัณฑาคาริก (ผู้รักษาเรือนคลัง) เวลาจวนรุ่งสางนั่เอง ได้รวบรวมบาตรและจีวรของภิกษุทั้งหลายลงไปไว้ยังปราสาทชั้นล่าง ไม่ได้ ปิดประตู ทั้งไม่ได้ บอกแม้แก่ภิกษุเหล่านั้น ไปเที่ยวภิกขาจารในที่ไกลเสีย, ถ้าพวกโจรลักเอาบาตรและจีวรเหล่านั้นไปไซร้, ย่อมเป็นสินใช้เก่เธอแท้.

ส่วนภิกษุภัณฑาคาริกรูปใด ถูกพวกภิกษุกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ! ท่านยกบาตรและจีวรลงมาเถิด บัดนี้ ได้เวลาจับสลาก จึงถามว่า พวกท่าน ประชุมพร้อมกันแล้วหรือ?

เมื่อท่านเหล่านั้นเรียนว่า ประชุมพร้อมแล้ว ขอรับ! จึงได้ขนเอา บาตรและจีวรออกมาวางไว้ แล้วกั้นประตูภัณฑาคาร (เรือนคลัง) แล้วสั่งว่า พวกท่านถือเอาบาตรและจีวร แล้วพึงปิดประตูภายใต้ปราสาทเสียก่อนจึงไป ดังนี้แล้วไป; ก็ในพวกภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งมีชาติเฉื่อยชา เมื่อภิกษุ ทั้งหลายไปกันแล้ว ภายหลังจึงเช็ดตาลุกขึ้นเดินไปยังที่มีน้ำ หรือที่ล้างหน้า. ขณะนั้นพวกโจรพบเห็นเข้า จึงลักเอาบาตรและจีวรของเธอนั้นไป, เป็นอัน พวกโจรลักไปด้วยดี, ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริก. แม้ถ้าภิกษุบางรูป ไม่ได้แจ้งแก่ภิกษุภัณฑาคาริกเลย ก็เก็บจีวรของตนไว้ในภัณฑาคาร, แม้เมื่อ บริขารนั้นสูญหายไป ก็ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริก. แต่ถ้าภิกษุภัณฑาคาริก เห็นบริขารนั้นแล้ว คิดว่า เก็บไว้ในที่ไม่ควร จึงเอาไปเก็บไว้, เมื่อบริขารนั้นสูญหายไป เป็นสินใช้แก่ภิกษุภัณฑาคาริกรูปนั้น. ถ้าภิกษุ ภัณฑาคาริก อันภิกษุผู้เก็บไว้กล่าวว่า ผมเก็บบริขารชื่อนี้ไว้แล้ว ขอรับ! โปรดช่วยดูให้ด้วยย รับว่า ได้ หรือรู้ว่าเก็บไว้ไม่ดี จึงเก็บไว้ในที่อื่นเสีย, เมื่อบริขารนั้นสูญหายไป เป็นสินใช้ แก่ภิกษุภัณฑาคาริกนั้นเหมือนกัน. แต่เมื่อเธอห้ามอยู่ว่า ข้าพเจ้าไม่รับรู้ ไม่เป็นสินใช้. ฝ่ายภิกษุใด เมื่อภิกษุ


ความคิดเห็น 114    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 190

ภัณฑาคาริกเห็นอยู่นั่นเอง เก็บไว้ ทั้งไม่ให้ภิกษุภัณฑาคาริกรับรู้. บริขาร ของภิกษุนั้นหายไป เป็นอันสูญหายไปด้วยดีแล. ถ้าภิกษุภัณฑาคาริก เก็บ บริขารนั้นไว้ในที่แห่งอื่น เมื่อสูญหายไปเป็นสินใช้.

[โจรลักของสงฆ์ในเรือนคลัง ปรับสินไหมภิกษุผู้รักษา]

ถ้าภัณฑาคารรักษาดี บริขารทั้งปวงของสงฆ์และของเจดีย์ เขาเก็บ ไว้ในภัณฑาคารนั้นแล. แต่ภิกษุภัณฑาคาริกเป็นคนโง่ ไม่ฉลาด เปิดประตูไว้ ไปเพื่อฟังธรรมกถา หรือเพื่อทำกิจอื่นบางอย่างในที่ใดที่หนึ่ง ขณะนั้นพวก โจรเห็นแล้ว ลักภัณฑะไปเท่าใด ภัณฑะเท่านั้นเป็นสินใช้แก่เธอทั้งหมด. เมื่อภัณฑาคาริกออก จากภัณฑาคารไปจงกรมอยู่ภายนอก หรือเปิดประตูตาก อากาศ หรือนั่งตามประกอบสมณธรรมในภัณฑาคารนั่นเอง หรือนั่งใน ภัณฑาคารนั้นเอง ขวนขวายด้วยกรรมบางอย่าง หรือเป็นผู้แม้ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ เมืออุปจารในที่นั้นเองมีอยู่ แต่ไปข้างนอกหรือเลินเล่อเสียด้วยอาการ อื่นบางอย่าง, พวกโจรเปิดประตู หรือเข้าทางประตูที่เปิดไว้นั่นเอง หรือตัด ที่ต่อลักภัณฑะไปเท่าใด เพราะความเลินเล่อของเธอเป็นปัจจัย ภัณฑะเท่านั้น เป็นสินใช้แก่เธอนั้นแลทั้งหมด. ฝ่ายพระอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ในฤดูร้อน จะเปิดหน้าต่างนอน ก็ควร. แต่เมื่อปวดอุจจาระปัสสาวะแล้วไปในที่อื่น ใน เมื่ออุปจารนั้นไม่มี จัดว่าเหลือวิสัย เพราะเธอตั้งอยู่ในฝ่ายของผู้เป็นไข้ ; เพราะเหตุนั้น ไม่เป็นสินใช้. ฝ่ายภิกษุใดถูกความร้อนภายในเบียดเบียน จึง ทำประตูให้เป็นของรักษาดีแล้วออกไปข้างนอก. และพวกโจรจับภิกษุนั้น ได้ แล้ว บังคับว่า จงเปิดประตู. เธอไม่ควรเปิดจนถึงครั้งที่สาม. แต่ถ้าพวก โจรเงื้อขวานเป็นต้น ขู่ว่า ถ้าท่านไม่ยอมเปิด, พวกเราจักฆ่าท่านเสียด้วย จักทำลายประตูลักบริขารไปเสียด้วย. เธอจะเปิดให้ ด้วยทำในใจว่า เมื่อเรา


ความคิดเห็น 115    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 191

ตาย เสนาสนะของสงฆ์ก็ฉิบหาย ไม่มีคุณเลย ดังนี้ สมควรอยู่, แม้ใน อธิการนี้ พระอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ไม่มีสินใช้เพราะเหลือวิสัย. ถ้าภิกษุ อาคันคุกะบางรูป ไขกุญแจ หรือเปิดประตูไว้, พวกโจรลักภัณฑะไปเท่าใด ภัณฑะเท่านั้นเป็นสินใช้แก่อาคันตุกะนั้นทั้งหมด. สลักยนต์และกุญแจ เป็น ของที่สงฆ์ติดให้ไว้ เพื่อประโยชน์แก่การรักษาภัณฑาคาร. ภัณฑาคาริกใส่ เพียงลิ่มแล้วนอน. พวกโจรเปิดเข้าไปลักบริขาร เป็นสินใช้แก่เธอแท้. แต่ ภัณฑาคาริกนั้น ใส่ลักยนต์และกุญแจแล้วนอน, ถ้าพวกโจรมาบังคับว่า จงเปิด เธอพึงปฏิบัติในคำของพวกโจรนั้น ตามนัยก่อนนั่นแล. ก็เมื่อ ภัณฑาคาริกนั่นทำการรักษาอย่างนั้นแล้ว จึงนอน, ถ้าพวกโจรทำลายฝาหรือ หลังคา หรือเข้าทางอุโมงค์ ลักไป, ไม่เป็นสินใช้แก่เธอ. ถ้าพระเถระแม้ เหล่าอี่นอยู่ในภัณฑาคาร เมื่อประตูเปิด ท่านจงถือเอาบริขารส่วนตัวไป ภัณฑาคาริกไม่ระวังประตู ในเมื่อพระเถระเหล่านั้นไปแล้ว, ถ้าของอะไรๆ ในภัณฑาคารนั้นถูกลักไป, เป็นสินใช้แก่ภัณฑาคาริกเท่านั้น เพราะภัณฑาคาริกเป็นใหญ่. ฝ่ายพวกพระเถระพึงเป็นพรรคพวก. นี้เป็นสามีจิกรรม ใน ภัณฑาคารนั้น. แต่ถ้าภัณฑาคาริกบอกว่า ขอพวกท่านจงยืนรับบริขารของ พวกท่านข้างนอกเถิด อย่าเข้ามาเลย. และพระเถระโลเลรูปหนึ่ง แห่งพวก พระเถระเหล่านั้น พร้อมด้วยสามเณรและอุปัฏฐากทั้งหลาย เปิดภัณฑาคารเข้า ไปนั่งและนอน ภัณฑะหายไปเท่าใด เป็นสินใช้แก่พระเถระนั้นทั้งหมด ฝ่ายภัณฑาคาริกและพระเถระที่เหลือ พึงเป็นพรรคพวก. ถ้าภิกษุภัณฑาคาริก นั่นเองชวนเอาพวกสามเณรโลเล และเหล่าผู้อุปัฏฐาก ไปนั่งและนอนอยู่ใน ภัณฑาคาร, สิ่งของใดในภัณฑาคารนั้นหายไป. ของทั้งหมดนั้น เป็นสินใช้ แก่ภิกษุภัณฑาคาริกเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุภัณฑาคาริกเท่านั้น ควร


ความคิดเห็น 116    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 192

พักอยู่ในภัณฑาคารนั้น. พวกภิกษุที่เหลือ ควรพักอยู่ที่มณฑปหรือโคนค้นไม้ แต่ไม่ควรพักอยู่ในภัณฑาคาร ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง ภิกษุเหล่าใด เก็บบริขารของพวกภิกษุผู้เป็นสภาคกันไว้ในห้อง ที่อยู่ของตนๆ เมื่อบริขารหายไป ภิกษุเหล่าใดเก็บไว้ เป็นสินใช้แก่ภิกษุ เหล่านั้นนั่นแล. ฝ่ายภิกษุนอกนี้ ควรเป็นพรรคพวก. แต่ถ้าสงฆ์สั่งให้ถวาย ข้าวยาคูและภัต แก่ภิกษุภัณฑาคาริกในวิหารนั่นเอง และภิกษุภัณฑาคาริก รูปนั้น เข้าไปสู่บ้าน เพื่อต้องการภิกขาจาร, สิ่งของหายไป ย่อมเป็นสินใช้ แก่ภิกษุภัณฑาคาริกรูปนั้นนั่นเอง. แม้ภิกษุผู้รับหน้าที่เฝ้าวิหาร ที่พวกภิกษุ ผู้เข้าไปเที่ยวภิกขาจารตั้งไว้ เพื่อต้องการให้รักษาอติเรกจีวร ได้ยาคูและภัต หรืออาหารเหมือนกัน ยังไปภิกขาจาร, สิ่งของใดในวิหารนั้นหายไป, สิ่งของ นั้นทั้งหมดเป็นสินใช้แก่เธอ. และสิ่งของนั้นนั่นเอง จะเป็นสินใช้อย่างเดียว ก็หามิได้ สิ่งของใดหายไป เพราะความประมาทของภิกษุผู้เฝ้าวิหารนั้นเป็น ปัจจัย, สิ่งของนั้นทั้งหมดเป็นสินใช้แก่เธอเหมือนภิกษุภัณฑาคาริกฉะนั้น (เหมือนสิ่งของที่หายไปเพราะความประมาทของภิกษุภัณฑาคาริก เป็นสินใช้ แก่ภิกษุภัณฑาคาริกฉะนั้น) ถ้าเป็นวิหารใหญ่, เมื่อเธอเดินไปเพื่อรักษาที่ ส่วนหนึ่ง สิ่งของที่เก็บไว้ในอีกที่หนึ่ง พวกโจรลักเอาไป ย่อมไม่เป็นสินใช้ เพราะเป็นเหตุเหลือวิสัย. ก็ในที่เช่นนั้น เธอควรเก็บบริขารทั้งหลายไว้ในที่ ประชุมแห่งภิกษุทั้งปวง แล้วนั่งในท่ามกลางวิหาร หรือพึงตั้งภิกษุรับหน้าที่ เฝ้าวิหารไว้ ๒ - ๓ รูป. ถ้าแม้เมื่อเธอเหล่านั้น มิได้เป็นผู้ประมาท คอยระแวด ระวังอยู่ข้างโน้นและข้างนี้ นั่นแล สิ่งของอะไรๆ หายไป, ก็ไม่เป็นสินใช้ แก่เธอเหล่านั้น สิ่งของที่พวกโจรมัดภิกษุผู้รับหน้าที่รักษาวิหารไว้แล้ว ลัก เอาไปก็ดี สิ่งของที่ถูกลักไปโดยทางอื่น เมื่อภิกษุรับหน้าที่เฝ้าวิหาร เดิน


ความคิดเห็น 117    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 193

สวนทางพวกโจรไปก็ดี ไม่เป็นสินใช้แก่เธอเหล่านั้น. ถ้าข้าวยาคูและภัต หรืออาหารที่จะพึงถวายในวิหารไม่มีแก่ภิกษุผู้รับหน้าที่รักษาวิหาร, จะตั้งสลาก ข้าวยา ๒ - ๓ ที่ ซึ่งมีเหลือเพื่อจากลาภที่ภิกษุเหล่านั้นพึงได้ และสลากภัต พอแก่ภิกษุผู้เฝ้าวิหารเหล่านั้น ก็ควร แต่ไม่ควรตั้งให้เป็นประจำ. เพราะว่า พวกชาวบ้าน จะมีความร้อนใจว่า พวกภิกษุผู้รับหน้าที่เฝ้าวิหารเท่านั้น ย่อมฉันภัตของพวกเรา. เพราะเหตุนั้น จึงควรผลัดเปลี่ยนวาระกันตั้งไว้. ถ้าพวกภิกษุที่เป็นสภาคกัน ของภิกษุรับวาระเฝ้าวิหารเหล่านั้น นำสลากภัต มาถวาย, ข้อนั้นก็เป็นการดี, ถ้าไม่ถวาย, ควรให้ภิกษุทั้งหลายรับวาระแล้ว ให้นำมาถวายเถิด. ถ้าภิกษุผู้รับหน้าที่รักษาวิหาร เมื่อได้รับสลากข้าวยาคู ๒ - ๓ ที่ และสลากภัต ๔ - ๕ ที่เสมอ ยังไปภิกขาจาร, สิ่งของหายไปทั้งหมด เป็นสินใช้แก่เธอ เหมือนภิกษุภัณฑาคาริก ฉะนั้น. ถ้าภัตหรือค่าจ้างเพื่อภัต ของสงฆ์ ที่จะพึงถวายแก่ภิกษุผู้เฝ้าวิหารไม่มี ภิกษุรับเอาตามวาระเฝ้าวิหาร แล้ว จึงให้นิสิตของตนๆ ช่วยปฏิบัติจะไม่รับเอาวาระที่มาถึง ย่อมไม่ได้, ควรทำเหมือนอย่างที่ภิกษุเหล่าอื่นทำอยู่ฉะนั้น. แต่ว่าภิกษุใด ไม่มีสหายหรือ เพื่อน ไม่มีภิกษุผู้ชอบพอกันที่จะนำภัตมาให้, ภิกษุทั้งหลาย ไม่ควรให้วาระ ถึงแก่ภิกษุเห็นปานนั้น. ภิกษุทั้งหลายตั้งแม้ส่วนใดไว้ในวิหาร เพื่อประโยชน์ เป็นเสบียงกรัง. ควรตั้งภิกษุผู้รับเอาส่วนนั้นเลี้ยงชีพ (ให้เป็นผู้รับวาระ). ภิกษุใดไม่รับเอาส่วนนั้นเลี้ยงชีพ, ไม่ควรให้ภิกษุนั้นรับวาระ. ภิกษุทั้งหลาย แต่งตั้งภิกษุไว้ในวิหาร แม้เพื่อต้องการให้รักษาผลไม้น้อยใหญ่, ครั้นปฏิบัติ รักษาแล้วก็แจกกันฉันตามคราวแห่งผลไม้. ภิกษุที่ฉันผลไม้เหล่านั้น ควรตั้ง ให้รับวาระ. ภิกษุผู้ไม่อาศัย (ผลไม้นั้น) เลี้ยงชีพ ไม่ควรให้รับวาระ. ภิกษุ ทั้งหลายจะแต่งตั้งภิกษุไว้ แม้เพื่อต้องการให้รักษาเสนาสนะ เตียง ตั่ง และ


ความคิดเห็น 118    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 194

เครื่องปูลาด, ควรแต่งตั้งภิกษุผู้อยู่ในอาวาส, ส่วนภิกษุผู้ถืออัพโภกาสิกธุดงค์ ก็ดี ผู้ถือรุกขมูลิกธุดงค์ก็ดี ไม่ควรให้รับวาระ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ภิกษุรูปหนึ่งยังเป็นพระนวกะอยู่ แต่เธอเป็นพหูสูท สอนธรรมให้การสอบ ถาม บอกบาลีแสดงธรรมกถา แก่ภิกษุเป็นอันมาก ทั้งช่วยภาระของสงฆ์ด้วย. ภิกษุนี้ เมื่อฉันลาภอยู่ก็ดี อยู่ในอาวาสก็ดี ไม่ควรให้รับวาระ, ควรรู้กันว่า เป็นคนพิเศษ. แต่ภิกษุผู้รักษาโรงอุโบสถ และเรือนพระปฏิมา ควรให้ข้าว ยาคูและภัตเป็นทวีคูณ ข้าวสารทะนานหนึ่งทุกวัน ไตรจีวรประจำปี และ กัปปิยภัณฑ์ที่มีราคา ๑๐ หรือ ๒๐ กหาปณะ. ก็ถ้าเมื่อเธอได้รับข้าวยาคูและ ภัตนั้นอยู่นั่นเอง สิ่งของอะไรๆ ในโรงอุโบสถ และเรือนพระปฏิมานั้นหาย ไป เพราะความประมาท, เป็นสินใช้แก่เธอทั้งหมด. แต่สิ่งของที่ถูกพวกโจร ผูกมัดตัวเธอไว้แล้ว แย่งชิงเอาไป โดยพลการย่อมไม่เป็นสินใช้แก่เธอ, การ ที่จะให้รักษาสิ่งของๆ เจดีย์ไว้รวมกับสิ่งของๆ เจดีย์เอง หรือกับสิ่งของๆ สงฆ์ในโรงอุโบสถเป็นต้นนั้น สมควรอยู่, แต่การที่จะให้รักษาสิ่งของๆ สงฆ์ ไว้รวมกับสิ่งของๆ เจดีย์ไม่ควร. แต่สิ่งของอันใด ที่เป็นของสงฆ์ ซึ่งเก็บ รวมกับของเจดีย์, สิ่งของๆ สงฆ์นั้น เมื่อให้รักษาของเจดีย์ไว้แล้ว ก็เป็น อันรักษาไว้แล้วทีเดียว เพราะฉะนั้น การรักษาไว้อย่างนั้นควรอยู่. แม้เมื่อ ภิกษุรักษาสถานที่ทั้งหลาย มีโรงอุโบสถเป็นต้น ตามปักขวาระ สิ่งของที่ หายไป เพราะอำนาจความประมาทย่อมเป็นสินใช้ เหมือนกัน ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยของที่เขาฝากไว้


ความคิดเห็น 119    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 195

กถาว่าด้วยด่านภาษี

ชนทั้งหลาย ย่อมตระบัดภาษีจากที่นั้น เหตุนั้น ที่นั้น ชื่อว่า สุงกฆาฏะ ที่เป็นแดนตระบัดภาษี. คำว่า สุงกฆาฏะ นั่น เป็นชื่อของ ด่านภาษี. จริงอยู่ ด่านภาษีนั้น ท่านเรียกว่า สุงกฆาฏะ เพราะเหตุที่ชน ทั้งหลาย เมื่อไม่ยอมให้ของควรเสียภาษี เป็นด่านภาษีนำออกไปจากที่นั้น ชื่อว่า ตระบัด คือ ยังภาษีของพระราชาให้สูญหายไป.

สองบทว่า ตตฺร ปวิสิตฺวา มีความว่า เข้าไปในด่านภาษีที่พระราชา ทรงทำกำหนดตั้งไว้ในที่ทั้งหลาย มีเขาขาดเป็นต้นนั้น.

สองบทว่า ราชคฺฆํ ภณฺฑํ ได้แก่ ภัณฑะที่ควรแก่พระราชา. อธิบายว่า ภาษีมีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก เป็นของที่ตนควร ถวายแด่พระราชา จากภัณฑะใด, ภัณฑะนั้น. ปาฐะว่า ราชกํ บ้าง. เนื้อ ความอย่างนี้เหมือนกัน. ภิกษุมีไถยจิต คือ ยังไถยจิตให้เกิดขึ้นว่า เราจะไม่ ให้ภาษีแก่พระราชาจากภัณฑะนี้ แล้วลูบคลำภัณฑะนั้น ต้องทุกกฏ, หยิบ จากที่ที่วางไว้ใส่ในย่าม หรือผูกติดกับขาไว้ในที่ปิดบัง ต้องถุลลัจจัย, กิริยา ที่ให้เคลื่อนจากฐาน ชื่อว่ายังไม่มี เพราะเขตแห่งปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกำหนดด้วยด่านภาษี. ภิกษุยังเท้าที่ ๒ ให้ก้าวข้ามเขตกำหนดด่านภาษีไป ต้องปาราชิก.

สองบทว่า พหิ สุงฺกฆาฏํ ปาเตติ มีความว่า ภิกษุอยู่ภายใน นั่นเอง เห็นราชบุรุษทั้งหลาย เมินเหม่อเสีย จึงขว้างไป เพื่อต้องการให้ตก ไปภายนอก ถ้าภัณฑะนั้น เป็นของจะตกได้แน่นอน พอหลุดจากมือ เธอต้อง ปาราชิก. ถ้าภัณฑะนั้น กระต้นไม่ หรือตอไม้ หรือถูกกำลังลมแรงหอบไป


ความคิดเห็น 120    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 196

ตกในภายในนั่นแลอีก ยังคุ้มได้. เธอหยิบขว้างไปอีก ต้องปาราชิก ตามนัย ที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. ถ้าภัณฑะนั้นตกที่พื้นดิน แล้วกลิ้งเข้ามาข้างใน อีก เธอต้องปาราชิกเหมือนกัน. ส่วนในกุรุนที และสังเขปอรรถกถากล่าวว่า ถ้าภัณฑะนั้นตกข้างนอก หยุดแล้วจึงกลิ้งเข้าไป เธอต้องปาราชิก ถ้ายังไม่ ทันหยุดเลยกลิ้งเข้าไป ยังคุ้มได้. ภิกษุอยู่ภายในใช้มือ หรือเท้า หรือไม้เท้า เขี่ยกลิ้งไป หรือว่าให้ผู้อื่นกลิ้งไป, ถ้าภัณฑะนั้นไม่หยุด กลิ้งออกไปต้อง ปาราชิก. ภัณฑะนั้นหยุดข้างในแล้ว จึงออกไปข้างนอก ยังคุ้มได้. ภัณฑะ ที่ภิกษุวางไว้ภายใน ด้วยคิดว่า จักกลิ้งออกไปเอง หรือว่าผู้อื่นจักให้มันกลิ้ง ออกไป ภายหลังกลิ้งเอง หรือผู้อื่นกลิ้งออกไปข้างนอก ยังคุ้มได้เหมือนกัน. แต่ในภัณฑะที่ภิกษุวางไว้ด้วยจิตบริสุทธิ์ และกลิ้งออกไปอย่างนั้น ไม่มีคำที่ จะพึงกล่าวเลย. ภิกษุทำห่อสองห่อให้ติดกันเป็นพวงเดียว วางไว้ระหว่างแดน ของด่านภาษี แม้ว่าด่าภาษีในห่อนอกจะได้ราคาบาทหนึ่ง ก็จริง ถึงกระนั้น ห่อในยังคุ้มไว้ได้ เพราะเนื่องเป็นพวงเดียวกันกับห่อนอกนั้น. แต่ถ้าเธอย้าย ห่อที่อยู่ภายในไปวางไว้ข้างนอก ต้องปาราชิก. แม้ในหาบที่ภิกษุทำให้เนื่อง เป็นอันเดียวกันวางไว้ ก็มีนัยเหมือนกัน. แต่ถ้าภัณฑะนั้น เป็นของไม่ได้ผูก สักว่าพาดไว้บนปลายคานเท่านั้น เป็นปาราชิก. ภิกษุวางไว้ในยาน หรือบน หลังม้าเป็นต้น ซึ่งกำลังไป ด้วยทำในใจว่า ภัณฑะนี้มันจักนำออกไปใน ภายนอก เมื่อภัณฑะนั้นถูกนำออกไปแล้ว อวหารย่อมไม่มี แม้ภัณฑไทยก็ ไม่มี. เพราะเหตุไร? เพราะพระราชาพิกัดไว้ว่า จงเก็บภาษีแก่คนผู้เข้ามา ในที่นี้, จริงอยู่ ภัณฑะนี้ ภิกษุตั้งไว้นอกด่านภาษี และเธอมิได้นำไป; เพราะฉะนั้น จึงไม่มีภัณฑไทย ไม่เป็นปาราชิก. แม้ในภัณฑะที่วางไว้ใน ยานที่จอดอยู่เป็นต้น ครั้นเมื่อยานเป็นต้นนั้นไป เว้นประโยคของภิกษุนั้น


ความคิดเห็น 121    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 197

แม้เมื่อมีไถยจิต อวหารย่อมไม่มีเหมือนกัน. แต่ถ้าภิกษุวางแล้ว ขับยาน เป็นต้นไปอยู่ ให้ก้าวล่วงไปก็ดี ยืนข้างหน้าแล้ว เรียกว่า มาเถิดโว้ย ดังนี้ เพราะความที่ตนสั่งสมไว้ในมนต์ทั้งหลาย มีมนต์เรียกช้างเป็นต้นก็ดี ต้อง ปาราชิก ในขณะก้าวล่วงแดนไป. ในเอฬกโลมสิกขาบท ไม่เป็นอาบัติใน ฐานะนี้ คือ ภิกษุให้ผู้อื่นนำขนเจียมไป, ในสิกขาบทนี้เป็นปาราชิก. ใน เอฬกโลมสิกขาบทนั้น ภิกษุใส่ขนเจียมในยานหรือภัณฑะเองชนอื่นผู้ไม่รู้ ให้ ก้าวล่วงสามโยชน์ไป. ขนเจียมเป็นนิสสัคคีย์ เพราะเหตุนั้น ภิกษุต้อง ปาจิตตีย์, ในสิกขาบทนี้หาเป็นอาบัติไม่. ภิกษุเสียภาษีที่ด่านภาษีก่อนแล้ว จึงไป ควรอยู่.

ภิกษุรูปหนึ่ง ทำความผูกใจไว้แล้วไป ด้วยคิดว่า ถ้าเจ้าพนักงานภาษี ทวงว่า ท่านจงให้ค่าภาษี, เราก็จักให้, ถ้าพวกเขาไม่ทวง. เราจักไป ดังนี้ เจ้าพนักงานภาษีคนหนึ่ง ได้เห็นภิกษุรูปนั้น จึงกล่าวว่า ภิกษุรูปนี้ จะไป, พวกท่านจงเก็บด่าภาษีภิกษุนั้น. เจ้าพนักงานภาษีอีกนายหนึ่ง พูดขึ้นว่า บรรพชิตจักมีค่าภาษีแต่ที่ไหนเล่า นิมนต์ไปเถิด ดังนี้. เป็นอันได้ข้ออ้าง ภิกษุควรไป. ภิกษุทั้งหลายที่ยังไม่เสียค่าภาษีเสียก่อน ไป ไม่ควร, ก็เพราะ เหตุนั้น เมื่อภิกษุพูดว่า รับเอาเถิด อุบาสก ดังนี้ก็ดี เมื่อเจ้าพนักงานภาษี พูดว่า เมื่อเราจะเก็บค่าภาษีของภิกษุ ก็จะต้องเอาบาตรและจีวร จะมีประโยชน์ อะไรด้วยบาตรและจีวรนั้น นิมนต์ไปเถิด ดังนี้ก็ดี เป็นอัน ได้ข้ออ้างทีเดียว. ถ้าพวกเจ้าพนักงานภาษี นอนหลับอยู่ก็ดี เล่นสกาอยู่ก็ดี หรือไปในที่ไหนๆ เสียก็ดี, และภิกษุนี้ แม้ร้องเรียกว่า พวกเจ้าพนักงานภาษี อยู่ที่ไหนกัน? ก็ไม่พบเห็น, เป็นอันได้ข้ออ้างเหมือนกัน. แม้ถ้าภิกษุไปถึงด่านภาษีแล้ว เผอเรอไป คิดถึงอะไรๆ อยู่ก็ดี สาธยายอยู่ก็ดี ตามประกอบมนสิการอยู่ก็ดี


ความคิดเห็น 122    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 198

ถูกภยันตราย มีโจร ช้าง ราชสีห์ และเสือโคร่งเป็นต้น ลุกวิ่งไล่ติดตามไป ก็ดี เห็นมหาเมฆตั้งเค้าขึ้นแล้ว ประสงค์จะเข้าไปยังศาลาข้างหน้าก็ดี ล่วงเลย สถานที่นั้นไป; เป็นอันได้ข้ออ้างเหมือนกัน.

ในคำว่า ภิกษุหลบเลี่ยงภาษี นี้ ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถากุรุนที่ว่า ถึงภิกษุก้าวลงสู่อุปจารแล้วหลบเลี่ยงไป ก็จริง ก็เป็นอวหารทีเดียว. แต่ใน มหาอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุเล็งเห็นโทษอย่างเดียวว่า พวกราชบุรุษ เบียดเบียนผู้หลบเลี่ยง ดังนี้ จึงก้าวลงสู่อุปจารแล้ว หลบเลี่ยงไปเป็น ทุกกฏ, เมื่อไม่ได้ก้าวลงเลย แต่หลบเลี่ยงไป ไม่เป็นอาบัติ. คำในมหา อรรถกถานี้ ย่อมสมด้วยพระบาลี. ในด่านภาษีนี้ ควรกำหนดอุปจารไว้ ๒ เลฑฑุบาต ฉะนั้นแล.

จบกถาว่าด้วยด่านภาษี


ความคิดเห็น 123    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 199

กถาว่าด้วยสัตว์มีชีวิต

ถัดจากกถาด่านภาษีนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงสัตว์ ที่มีชีวิต ซึ่งพอควรแก่อวหารโดยส่วนเดียว จึงตรัสว่า มนุสฺสปาโณ เป็นต้น. เมื่อภิกษุลักมนุษย์ผู้ยังมีชีวิตแม้นั้น ซึ่งเป็นไทไป ย่อมไม่เป็นอวหาร. แม้ มนุษย์ผู้เป็นไทคนใด ถูกมารดาหรือบิดาเอาไปจำนำไว้ หรือตัวเองเอาตัว เป็นประกันไว้ แล้วได้ถือเอาทรัพย์ ๕๐ หรือ ๖๐ กหาปณะไป, เมื่อภิกษุลัก เอามนุษย์ผู้เป็นไทแม้คนนั้นไป ก็ไม่เป็นอวหาร. ส่วนทรัพย์ย่อมเพิ่มดอกเบี้ย ขึ้นในสถานที่เขาไป. แต่เมื่อภิกษุลักทาสนั่นแล ต่างโดยเป็นทาสที่เกิดใน เรือนเบี้ย ทาสสินไถ่และทาสที่ถูกนำมาเป็นเชลย ย่อมเป็นอวหาร. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมายเอาทาสผู้เกิดในเรือนเบี้ยเป็นต้น นั้นนั่นแล จึง ตรัสพระดำรัสนี้ไว้ว่า ที่ชื่อว่าสัตว์มีชีวิต เราเรียกคนยังมีชีวิต ดังนี้.

[บุคคลผู้เป็นทาส ๓ จำพวก]

ก็บรรดาทาสเหล่านั้น ทาสที่เกิดในท้องของนางทาสี ในเรือนพึงทราบ ว่า อันโตชาตกะ ทาสที่เกิดภายใน. ทาสที่ซื้อมาด้วยทรัพย์ พึงทราบว่า ธนักกีตกะ ทาสที่ไถ่มาด้วยทรัพย์, บุคคลที่ถูกกวาดต้อนมาจากต่างประเทศ แล้วเข้าถึงความเป็นทาส พึงทราบว่า กรมรานีตะ ทาสที่ถูกนำมาเป็นเชลย. ภิกษุคิดว่า เราจักลักมนุษย์ที่มีชีวิตเห็นปานนี้ไป แล้วลูบคลำ ต้องทุกกฏ. เมื่อเธอจับที่มือ หรือเท้ายกขึ้น ทำให้ไหว ต้องถุลลัจจัย. เธอใคร่จะยกหนีไป ให้ล่วงเลยจากสถานที่ๆ ยืนอยู่ แม้เพียงปลายเส้นผมไป ต้องปาราชิก. เธอ จับที่ผมหรือที่แขนทั้งสอง ฉุดคร่าไป พึงปรับตามย่างเท้า. ภิกษุคิดว่า เราจัก


ความคิดเห็น 124    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 200

พาเดินไป ขู่หรือตี พลางพูดว่า แกจงไปจากที่นี้. เมื่อเขาไปยังทิศาภาค ตามที่ภิกษุนั้นสั่ง เธอต้องปาราชิกในย่างเท้าที่ ๒. แม้ภิกษุเหล่าใด มีฉันทะ ร่วมกับภิกษุนั้น เป็นปาราชิก ในขณะเดียวกันแก่ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด. ภิกษุ เห็นทาสแล้ว ถามถึงสุขทุกข์ หรือไม่ถามก็ตาม พูดว่า แกจงไป จงหนีไป อยู่เป็นสุขเถิด ถ้าทาสคนนั้นหนีไปไซร้ เธอต้องปาราชิกในย่างเท้าที่ ๒. ภิกษุรูปอื่น พูดกะทาสคนนั้น ผู้เข้ามาสู่สำนักของตนว่า แกจงหนีไป. ถ้าภิกษุ ตั้งร้อยรูป พูดกะทาสผู้เข้ามาสู่สำนักของตนๆ ตามลำดับ, ก็เป็นปาราชิก ด้วยกันทั้งหมด. ส่วนภิกษุรูปใด พูดกะทาสผู้กำลังวิ่งหนีไปนั่นเองว่า แกจง หนีไป ตลอดเวลาที่เจ้าของยังจับแกไม่ได้, เธอรูปนั้นไม่ต้องอาบัติปาราชิก. แต่ถ้าเธอพูดกะทาสค่อยๆ เดินไป, และทาสคนนั้นรีบจ้ำเดินไป ตามคำ ของภิกษุนั้น, เป็นปาราชิก, เมื่อภิกษุเห็นทาส ผู้หนีไปยังบ้านหรือประเทศอื่น แล้วไล่ให้หนีไป แม้จากที่นั้น เป็นปาราชิกเหมือนกัน. ชื่อว่า อทินนาทาน ย่อมพ้นได้โดยปริยาย.

จริงอยู่ ภิกษุรูปใด พูดอย่างนี้ว่า เธอทำอะไรอยู่ในที่นี้? เธอหนีไป ไม่ควรหรือ? ก็ดี ว่า การที่เธอไปในที่ไหนๆ แล้ว มีชีวิตอยู่อย่างสบาย ไม่ควรหรือ? ก็ดี ว่า พวกทาสและสาวใช้พากันหนีไปยังประเทศชื่อโน้นแล้ว ย่อมเป็นอยู่อย่างสบาย ก็ดี, และเขาได้ฟังคำพูดของภิกษุนั้นแล้ว ก็หนีไป, ย่อมไม่เป็นอวหาร. ฝ่ายภิกษุใด พูดว่า พวกอาตมา จะไปยังประเทศชื่อโน้น, ผู้ไปในประเทศนั้นแล้ว ย่อมเป็นอยู่อย่างสบาย และเมื่อพวกท่านไปพร้อม กับพวกอาตมา จะไม่มีความลำบาก ด้วยเสบียงทางเป็นต้น แม้ในระหว่างทาง ดังนี้แล้ว พาเอาทาสผู้มาพร้อมกับตนไป, ภิกษุรูปนั้น ไม่ต้องปาราชิกด้วย


ความคิดเห็น 125    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 201

ไถยจิต ทั้งอวหารก็ไม่มีเลย เพราะอำนาจแห่งการเดินทาง และเมื่อมีพวก โจรดักอยู่ในระหว่างทาง แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า เฮ้ย! พวกโจรซุ่มดักแล้ว, แกจงรีบหนีไป จงรีบมาไป ดังนี้ พระอาจารย์ทั้งหลาย ก็ไม่ปรับเป็นอวหาร เพราะเธอกล่าวเพื่อต้องการให้พ้นจากอันตรายแต่โจร ด้วย ประการฉะนี้.

จบกถาว่าด้วยสัตว์มีชีวิต

กถาว่าด้วยสัตว์ไม่มีเท้า

บรรดาสัตว์ไม่มีเท้าทั้งหลาย ที่ชื่อว่างู มีเจ้าของ คือ งูที่พวกหมองู เป็นต้นจับไว้ เมื่อให้เล่น ย่อมได้ค่าดูกึ่งบาทบ้าง บาทหนึ่งบ้าง กหาปณะหนึ่ง บ้าง, แม้เมื่อจะปล่อยออก ก็รับเอาเงินและทองแล้วแลจึงปล่อยออก. เจ้าของงู เหล่านั้น ไปยังโอกาสที่ภิกษุบางรูปนั่งแล้ววางกล่องงูไว้ นอนหลับไป หรือ ไปในที่ไหนๆ เสีย. ถ้าภิกษุนั้นจับกล่องนั้นในสถานที่นั้น ด้วยไถยจิต ต้อง ทุกกฏ. ทำให้ไหวต้องถุลลัจจัย, ให้เคลื่อนจากฐาน ต้องปาราชิก. แต่ถ้าเธอ เปิดกล่องออกแล้วจับงูที่คอ ต้องทุกกฏ, ยกงูขึ้นต้องถุลลัจจัย, เมื่อเธอยกขึ้น ให้ตรงๆ พอเมื่อหางงูพ้นจากพื้นกล่องเพียงปลายเส้นผม ก็ต้องปาราชิก. เมื่อ เธอดึงครูดออกไป พอหางงูพ้นจากขอบปาก (กล่อง) ไป ต้องปาราชิก.


ความคิดเห็น 126    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 202

เธอเปิดปากกล่องออกนิดหน่อยแล้ว ตี หรือร้องเรียกออกชื่อว่า เฮ้ย! จง เลื้อยออกมา แล้วให้เลื้อยออก ต้องปาราชิก. เธอเปิดออกเหมือนอย่างนั้นแล้ว จึงทำเสียงกบร้อง หรือเสียงหนูร้อง หรือโปรยข้าวตอกลงตาม แล้วร้องเรียก ออกซึ่ง หรือดีดนิ้วมือก็ตาม แม้เมื่องูเลื้อยออกไป ด้วยกิริยาที่ทำเสียงเป็นต้น อย่างนั้น ก็ต้องปาราชิก. เมื่อเธอไม่ได้เปิดปากออก แต่ได้ทำกิริยาอย่างนั้น งูหิวจัด จึงชูศีรษะขึ้นดันฝากล่อง ทำช่องแล้วก็เลื้อยหนีไป เป็นปาราชิก เหมือนกัน. แต่เมื่อเธอเปิดปากออกแล้ว งูเลื้อยออกหนีไปเสียเอง ย่อมเป็น ภัณฑไทย. แม้ถ้าเธอเปิดปากออกก็ตาม ไม่ได้เปิดออกก็ตาม แต่ได้ทำเป็น เสียงกบและเสียงหนูร้อง หรือโปรยข้าวตอกลงเท่านั้นอย่างเดียว ไม่ได้ร้อง เรียกระบุชื่อ หรือไม่ได้ดีดนิ้วมือ, เพราะหิวจัด งูคิดว่า จักกินกบเป็นต้น จึงเลื้อยออกหนีไป เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. ในอธิการนี้ ปลาอย่างเดียว มาแล้วด้วย อปท ศัพท์. ก็คำที่จะพึงกล่าวในปลานี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว ในภัณฑะตั้งอยู่ในน้ำนั่นเทียว ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยสัตว์ไม่มีเท้า


ความคิดเห็น 127    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 203

กถาว่าด้วยสัตว์ ๒ เท้า

บรรดาสัตว์สองเท้าทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดง จำพวกสัตว์ ๒ เท้า ซึ่งใครๆ อาจลักเอาไปได้ จึงตรัสคำว่า มนุสฺสา ปกฺขชาตา เป็นต้น. ส่วนพวกเทวดา ใครๆ ไม่อาจลักเอาไปได้. ที่ชื่อว่า นก เพราะอรรถว่า สัตว์เหล่านั้นมีปีกเกิดแล้ว. สัตว์มีปีกเหล่านั้น มี ๓ จำพวก คือ มีขนเป็นปีกจำพวกหนึ่ง มีหนังเป็นปีกจำพวกหนึ่ง มีกระดูก เป็นปีกจำพวกหนึ่ง, บรรดาสัตว์เหล่านั้น นกยูงและไก่เป็นต้น พึงทราบว่า มีขนเป็นปีก, ค้างคาวเป็นต้น พึงทราบว่ามีหนังเป็นปีก, แมลงภู่เป็นต้น พึงทราบว่า มีกระดูกเป็นปีก. ในอธิการนี้ มนุษย์และนกเหล่านั้นทั้งหมด มาแล้วด้วยทวิปทศัพท์ล้วนๆ. ส่วนคำที่จะพึงกล่าวในสัตว์ ๒ เท้านี้ ข้าพเจ้า ได้กล่าวไว้แล้วในภัณฑะที่อยู่ในอากาศ และสัตว์มีชีวิตนั่นเทียว ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยสัตว์ ๒ เท้า


ความคิดเห็น 128    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 204

กถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า

พึงทราบวินิจฉัย ในสัตว์ ๔ เท้าต่อไป :- ชนิดแห่งสัตว์ ๔ เท้า ทั้งหมด ที่เหลือจากที่มาในพระบาลี พึงทราบว่า ปศุสัตว์ สัตว์เลี้ยง. สัตว์ ทั้งหลายมีช้างเป็นต้น ปรากฏชัดแล้วแล. บรรดาสัตว์มีช้างเป็นต้นเหล่านั้น เมื่อภิกษุลูบคลำช้างด้วยไถยจิต เป็นทุกกฏ. ทำให้ไหว เป็นถุลลัจจัย. ส่วน ภิกษุรูปใด มีกำลังมาก ใช้ศีรษะทูนเอาลูกช้างตัวยังอ่อน ที่ต้นสะดือขึ้น เพราะความเมากำลังให้เท้าทั้ง ๔ และงวงพ้นจากดินแม้เพียงปลายเส้นผม, ภิกษุรูปนั้น ต้องปาราชิก. แต่ช้างบางเชือกเขาผูกขังไว้โนโรงช้าง, บางเชือก ยืนอยู่ ไม่ได้ผูกเลย บางเชือกยืนอยู่ภายในที่อยู่, บางเชือกยืนอยู่ที่พระลาน หลวง.

บรรดาช้างเหล่านั้น ช้างเชือกที่ผูกคอช้างไว้ในโรงช้าง มีฐาน ๕ คือ เครื่องผูกที่คอ และเท้าทั้ง ๔. สำหรับช้างเชือกที่เขาเอาโซ่เหล็กผูกไว้ที่คอ และที่เท้าข้างหนึ่ง มีฐาน ๖. ช้างเชือกที่เขาผูกไว้ที่คอและที่เท้าทั้ง ๒ มีฐาน ๗. พึงทราบการทำให้ไหว และให้เคลื่อนจากฐาน ด้วยอำนาจแห่งฐานเหล่านั้น. โรงช้างทั้งสิ้น เป็นฐานของช้างเชือกที่เขาไม่ได้ผูกไว้, เป็นปาราชิก ในเมื่อ ให้ก้าวล่วงจากโรงช้างนั้นไป. พื้นที่ภายในที่อยู่ทั้งสิ้นนั่นแล เป็นฐานของ ช้างเชือกยืนอยู่ภายในที่อยู่, เป็นปาราชิก ในเมื่อให้ล่วงเลยประตูที่อยู่ของช้าง นั้นไป. พระนครทั้งสิ้นเป็นฐานของช้างเชือกที่ยืนอยู่ที่พระลานหลวง, เป็น ปาราชิก ในเมื่อให้ช้างนั้นล่วงเลยประตูพระนครไป. สถานที่ยืนอยู่นั่นเอง เป็นฐานของช้างเชือกที่ยืนอยู่ภายนอกพระนคร. ภิกษุเมื่อลักช้างนั้นไป พึง


ความคิดเห็น 129    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 205

ปรับด้วยอย่างเท้า. สำหรับช้างที่นอนอยู่ มีฐานเดียวเท่านั้น. เมื่อภิกษุไล่ให้ ช้างลุกขึ้น ด้วยไถยจิต พอช้างลุกขึ้นแล้ว เป็นปาราชิก, ถึงในม้า ก็มี วินิจฉัยเหมือนกันนี้แล. แม้ถ้าม้านั้นถูกเขาล่ามไว้ที่เท้าทั้ง ๔ เทียว พึงทราบ ว่ามีฐาน ๘. ถึงในอูฐก็มีนัยเช่นนี้. แม้โคบางตัวเป็นสัตว์ที่เขาผูกขังไว้ใกล้ เรือน. บางตัวยืนอยู่ไม่ได้ผูกไว้เลย, แต่บางตัว เขาผูกไว้ในคอก, บางตัว ก็ยืนอยู่ไม่ได้ผูกไว้เลย.

บรรดาโคเหล่านั้น โคที่เขาผูกขังไว้ใกล้เรือน มีฐาน ๕ คือ เท้าทั้ง ๔ และเครื่องผูก. เรือนทั้งสิ้น เป็นฐานของโคที่ไม่ได้ผูก. โคที่เขาผูกไว้ในคอก ก็มีฐาน ๕. คอกทั้งสิ้น เป็นฐานของโคที่ไม่ได้ผูก. ภิกษุให้โคนั้นล่วงเลย ประตูคอกไป ต้องปาราชิก. เมื่อเธอทำลายคอกลักไปให้ล่วงเลยประตูคอกไป เป็นปาราชิก เธอเปิดประตูออก หรือทำลายคอกแล้ว ยืนอยู่ข้างนอก แล้ว ร้องเรียกออกชื่อ บังคับให้โคออกมา ต้องปาราชิก. แม้สำหรับภิกษุผู้แสดง กิ่งไม้ที่หักได้ ให้โคเห็นแล้วเรียกมา ก็มีนัยเหมือนกันนั่นแหละ. เธอไม่ได้ เปิดประตู คอกก็ไม่ได้ทำลาย เป็นแต่สั่นกิ่งไม่ที่หักได้แล้วเรียกโคมา. โค กระโดดออกมาเพราะความหิวจัด เป็นปาราชิกเหมือนกัน. แต่ถ้าเมื่อเธอเปิด ประตูออก หรือทำลายคอกแล้ว โคก็ออกมาเสียเอง เป็นภัณฑไทย. เธอ เปิดประตู หรือไม่ได้เปิดก็ตาม ทำลายคอก หรือไม่ได้ทำลายก็ตาม เป็น แต่สั่นกิ่งไม่ที่หักได้อย่างเดียว ไม่ได้เรียกโค. โคเดินออกมาหรือกระโดดออก มา เพราะความหิวจัด เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. โคที่เขาล่ามไว้กลางบ้าน ยืนอยู่ตัวหนึ่ง นอนอยู่ตัวหนึ่ง. โคตัวที่ยืนอยู่มีฐาน ๕. ตัวที่นอนอยู่มีฐาน ๒. พึงทราบการทำให้ไหว และให้เคลื่อนจากฐาน ด้วยอำนาจแห่งฐานเหล่านั้น.


ความคิดเห็น 130    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 206

ก็ภิกษุรูปใดไม่ได้ไล่ให้โคที่นอนอยู่ลุกขึ้น แต่ให้ฆ่าเสียในที่นั้นนั่นเอง เป็น ภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้น. ก็บ้านทั้งสิ้น เป็นฐานของโคตัวยืนอยู่ในบ้านที่ได้ ประกอบประตูล้อมไว้เป็นอย่างดี สำหรับโคตัวที่ยืนอยู่ หรือที่เที่ยวไปในบ้าน ซึ่งไม่ได้ล้อม สถานที่ๆ เท้าทั้ง ๔ ย่ำไปย่ำมานั้น เอง เป็นฐาน. แม้ในสัตว์ ทั้งหลาย มีลา และปศุสัตว์เป็นต้น ก็มีวินิจฉัยเหมือนกันนี้นั่นแล.

จบกถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า

กถาว่าด้วยสัตว์มีเท้ามาก

พึงทราบวินิจฉัยในสัตว์มีเท้ามากต่อไป :- ถ้าวัตถุปาราชิกเต็มด้วย ตะขาบตัวเดียว เมื่อภิกษุลักตะขาบตัวนั้นไปด้วยเท้า เป็นถุลลัจจัย ๙๙ ตัว, เป็นปาราชิกตัวเดียว. คำที่เหลือ มีนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.

จบกถาว่าด้วยสัตว์มีเท้ามาก


ความคิดเห็น 131    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 207

กถาว่าด้วยภิกษุผู้สั่ง

ที่ชื่อว่าภิกษุผู้สั่ง เพราะอรรถว่า ประพฤติเลวทราม. ท่านกล่าว อธิบายว่า ย่อมตามเข้าไปข้างใน ในสถานที่นั้นๆ.

บทว่า โอจริตฺวา ความว่า คอยกำหนด คือ คอยตรวจดู.

บทว่า อาจิกฺขติ ความว่า ภิกษุแกล้งบอกทรัพย์ที่เก็บไว้ไม่ดี ใน ตระกูลของชนอื่นหรือวิหารเป็นต้น ซึ่งมิได้จัดการอารักขาไว้แก่ภิกษุรูปอื่น ผู้สามารถจะทำโจรกรรมได้.

หลายบทว่า อาปตฺติ อุภินฺนํ ปาราชิกสฺส ความว่า เธอทั้งสอง รูป ต้องอาบัติปาราชิก อย่างนี้ คือ ในทรัพย์ที่จะต้องลักได้แน่นอน ภิกษุ ผู้สั่ง เป็นในขณะสั่ง ภิกษุผู้รับสั่งนอกนี้ เป็นในขณะทำให้เคลื่อนจากฐาน ส่วนภิกษุรูปใด ทำปริยายโดยนัยเป็นต้นว่า ในเรือนไม่มีผู้ชาย เขาเก็บทรัพย์ ชื่อโน้นไว้ในส่วนหนึ่ง ไม่ได้จัดการอารักขาไว้ ทั้งประตูก็ไม่ได้ปิด, อาจจะ ลักเอาไปได้ตามทางที่ไปแล้วนั่นแหละ ชื่อว่าบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง ที่จะพึงไปลัก เอาทรัพย์นั้น มาเลี้ยงชีวิตอย่างลูกผู้ชายไม่มี. และภิกษุรูปอื่นได้ฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า บัดนี้เราจักลักเอา (ทรัพย์นั้น) จึงเดินไปลัก, เป็นปาราชิกแก่ภิกษุรูป นั้น ในขณะที่ทำให้เคลื่อนจากฐาน. ส่วนภิกษุรูปนี้ไม่เป็นอาบัติ. จริงอยู่ ภิกษุผู้ทำปริยายนั้น ย่อมพ้นจากอทินนาทานโดยปริยาย ฉะนั้นแล.

จบกถาว่าด้วยภิกษุผู้สั่ง


ความคิดเห็น 132    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 208

กถาว่าด้วยผู้รับของฝาก

ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้รับของฝาก เพราะอรรถว่า รักษาทรัพย์ที่เขานำมา ฝากไว้. ภิกษุรูปใด อันชนอื่น กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ! ช่วยดูแลทรัพย์นี้ สักครู่ จนกว่ากระผมจะทำกิจชื่อนี้ แล้วกลับมา ได้รักษาทรัพย์ที่เขานำมา ในสถานที่อยู่ของตนไว้, คำว่า โอณิรกฺโข นั่น เป็นชื่อของภิกษุผู้รับของ ฝากนั้น. เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุผู้รับของฝาก ได้แก่ ภิกษุผู้รักษาทรัพย์ที่เขานำมาฝากไว้ ดังนี้.

ในเรือนนั้น ภิกษุผู้รับของฝาก ไม่ได้แก้ห่อสิ่งของที่เจ้าของเขาผูก มัดตราสินออกเลย โดยส่วนมาก ตัดแต่กระสอบหรือห่อข้างล่างออกแล้ว ถือเอาแต่เพียงเล็กน้อย ทำการเย็บเป็นต้น ให้เป็นปกติเดิมอีก สำหรับภิกษุ ผู้คิดว่า เราจักถือเอาด้วยอาการอย่างนั้น แล้วทำการจับต้องเป็นต้น พึงทราบว่า เป็นอาบัติตามสมควร ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยภิกษุผู้รับของฝาก


ความคิดเห็น 133    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 209

กถาว่าด้วยการชักชวนกันลัก

การชักชวนกันลัก ชื่อว่า สังวิธาวหาร. มีคำอธิบายว่า การลักที่ทำ ด้วยความสมรู้ร่วมคิดกะกันและกัน.

บทว่า สํวิทหิตฺวา มีความว่า ปรึกษาหารือกัน ด้วยความเป็นผู้ ร่วมฉันทะกัน คือ ด้วยความเป็นผู้ร่วมอัธยาศัยกัน.

[ภิกษุหลายรูปชวนกันไปลักทรัพย์ ต้องอาบัติหมดทุกรูป]

วินิจฉัยในสังวิธาวหารนั้น ดังนี้ ภิกษุหลายรูปด้วยกัน ชักชวนกันว่า พวกเราจักไปเรือน ชื่อโน้น จักทำลายหลังคา หรือฝา หรือจักตัดที่ต่อลัก ของ. ในภิกษุเหล่านั้น รูปหนึ่งลักของได้, เป็นปาราชิกแก่ภิกษุทั้งหมด ใน ขณะยกภัณฑะนั้นขึ้น. จริงอยู่ แม้ในคัมภีร์ปริวาร พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ ตรัสคำนี้ว่า

๔ คน ได้ชวนกันลักครุภัณฑ์ ๓ คน เป็นปาราชิก คนหนึ่งไม่เป็นปาราชิก ปัญหานี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว *

เนื้อความแห่งคำนั้น พึงทราบดังนี้ ๔ คน คือ อาจารย์กับอันเตวาสิก เป็นผู้ใคร่จะลักครุภัณฑ์ ราคา ๖ มาสก. ใน ๔ คนนั้นอาจารย์สั่งว่า คุณจง ลัก ๑ มาสก คุณจงลัก ๑ มาสก คุณจงลัก ๑ มาสก ฉันจักลัก ๓ มาสก. ฝ่ายบรรดาอันเตวาสิกทั้งหลาย อันเตวาสิกรูปหนึ่ง กล่าวว่า ใต้เท้าจงลัก ๓ มาสก นะขอรับ! คุณจงลัก ๑ มาสก คุณจงลัก ๑ มาสก ผมจักลัก ๑ มาสก แม้อันเตวาสิก ๒ รูปนอกจากนี้ ก็ได้กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน. บรรดาชน


* วิ. ปริวาร. ๘/๕๓๐.


ความคิดเห็น 134    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 210

๔ คนนั้น มาสกหนึ่งของอันเตวาสิกคนหนึ่งๆ ในพวกอันเตวาสิก เป็นสาหัตถิกอวหาร, เป็นอาบัติทุกกฏแก่อันเตวาสิกทั้ง ๓ คนนั้น ด้วยมาสกหนึ่งนั้น. ๕ มาสกเป็นอาณัตติกอวหาร, เป็นปาราชิกแก่อันเตวาสิกทั้ง ๓ คนด้วย ๕ มาสกนั้น. ส่วน ๓ มาสก ของอาจารย์ เป็นสาหัตถิกะ, เป็นถุลลัจจัยแก่ อาจารย์นั้น ด้วย ๓ มาสกนั้น. ๓ มาสกเป็นอาณัตติกะ. แม้ด้วย ๓ มาสกนั้น ก็เป็นถุลลัจจัยเหมือนกัน. จริงอยู่ ในอทินนาทานสิกขาบทนี้ สาหัตถิกะไม่ เป็นองค์ของอาณัตติยะ หรืออาณัตติยะไม่เป็นองค์ของสาหัตถิกะ. แต่สาหัตถิยะ พึงปรับรวมกับสาหัตถิยะด้วยกันได้. อาณัตติยะพึงปรับรวมกับอาณัตติยะด้วย กันได้. เพราะเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวว่า

๔ คน ได้ชวนกันลักครุภัณฑ์ ๓ คน เป็นปาราชิก คนหนึ่งไม่เป็นปาราชิก ปัญหา นี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว. *

อีกอย่างหนึ่ง เพื่อไม่ฉงนในสังวิธาวหาร พึงกำหนดจตุกกะแม้นี้ โดยใจความ คือ ของสิ่งเดียว มีฐานเดียว ของสิ่งเดียว มีหลายฐาน ของ หลายสิ่ง มีฐานเดียว ของหลายสิ่ง มีหลายฐาน. ในจตุกกะนั้น ข้อว่า ของสิ่งเดียว มีฐานเดียว นั้น คือ ภิกษุหลายรูป เห็นของมีราคา ๕ มาสก ซึ่งเขาวางไว้ไม่มิดชิด ที่กระดานร้านตลาด ของสกุลหนึ่ง จึงบังคับภิกษุ รูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักของสิ่งนั้น เป็นปาราชิกแก่ภิกษุทั้งหมด ในขณะที่ยก ภัณฑะขึ้นนั้น.

ข้อว่า ของสิ่งเดียว มีหลายฐาน นั้น คือ ภิกษุหลายรูปเห็นมาสก ซึ่งเขาวางไว้ไม่มิดชิด บนกระดานร้านตลาดห้าแผ่นๆ ละมาสก ของสกุลหนึ่ง


* วิ. ปริวาร. ๘/๕๓๐.


ความคิดเห็น 135    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 211

จึงสั่งบังคับภิกษุรูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักมาสกเหล่านั้น เป็นปาราชิกแก่ทุกรูป ในขณะที่ยกมาสกที่ ๕ ขึ้น.

ข้อว่า ของหลายสิ่ง มีฐานเดียว นั้น คือ ภิกษุหลายรูปเห็นของมี ราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก เป็นของๆ คนหลายคน ซึ่งวางไว้ ล่อแหลมในที่เดียวกัน จึงสั่งบังคับภิกษุรูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักของนั้น เป็น ปาราชิกแก่ทุกรูป ในขณะยกภัณฑะนั้นขึ้น.

ข้อว่า ของหลายสิ่ง มีหลายฐาน นั้น คือ ภิกษุหลายรูปเห็นมาสก ของห้าสกุลๆ ละหนึ่งมาสกซึ่งวางไว้ล่อแหลม บนกระดานร้านตลาดห้าแผ่นๆ ละหนึ่งมาสก จึงสั่งบังคับภิกษุรูปหนึ่งว่า คุณจงไปลักมาสกเหล่านั้น. เป็น ปาราชิกแก่ทุกรูป ในขณะที่ยกมาสกที่ ๕ ขึ้น ด้วยประการฉะนี้.

จบกถาว่าด้วยการชักชวนกันลัก


ความคิดเห็น 136    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 212

กถาว่าด้วยการนัดหมาย

กรรมเป็นที่หมายรู้กัน ชื่อว่า สังเกตกรรม. อธิบายว่า การทำ ความหมายรู้กัน ด้วยอำนาจกำหนดเวลา. ก็ในสังเกตกรรมนี้ เมื่อภิกษุผู้ใช้ สั่งว่า คุณจงลักในเวลาก่อนอาหาร ภิกษุผู้รับใช้จะลักในเวลาก่อนอาหารวันนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือในปีหน้าก็ตามที, ความผิดสังเกตย่อมไม่มี, เป็นปาราชิก แม้แก่เธอทั้ง ๒ รูป ตามนัยที่กล่าวแล้ว ในภิกษุผู้คอยกำหนดสั่งนั่นแล. แต่ เมื่อภิกษุผู้ใช้สั่งว่า คุณจงลักในเวลาก่อนอาหารวันนี้ ภิกษุผู้รับใช้ ลักในวัน พรุ่งนี้, สิ่งของนั้น ย่อมเป็นอันภิกษุผู้รับใช้ลักมาภายหลัง ล่วงเลยกำหนด หมายนั้น ที่ผู้ใช้กำหนดไว้ว่า วันนี้, ถ้าเมื่อภิกษุผู้ใช้สั่งว่า จงลักในเวลา ก่อนอาหารพรุ่งนี้ ภิกษุผู้รับใช้ลักในเวลาก่อนอาหารวันนี้, สิ่งของนั้นย่อม เป็นอันผู้รับใช้ลักมาเสียก่อน ยังไม่ทันถึงกำหนดหมายนั้น ที่ผู้ใช้กำหนดว่า พรุ่งนี้, เป็นปาราชิก เฉพาะภิกษุผู้ลัก ซึ่งลักด้วยอวหารอย่างนั้นเท่านั้น, ไม่เป็นอาบัติแก่ผู้ใช้ซึ่งเป็นต้นเหตุ ในเมื่อผู้ใช้สั่งว่า จงลักในเวลาก่อนอาหาร พรุ่งนี้. ฝ่ายภิกษุผู้รับใช้ ลักในวันนั้นนั่นเอง หรือในเวลาหลังอาหารพรุ่งนี้ พึงทราบว่า ลักมาเสียก่อนและภายหลัง การนัดหมายนั้น. แม้ในเวลาหลัง อาหารกลางคืนและกลางวัน ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ก็ในสังเกตกรรมนั้น พึง ทราบความถูกนัดหมาย และความผิดการนัดหมาย แม้ด้วยอำนาจแห่งเวลา มีปุริมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม กาลปักข์ ชุณหปักข์ เดือน ฤดู และปี เป็นต้น.


ความคิดเห็น 137    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 213

ถามว่า เมื่อภิกษุผู้ใช้สั่งว่า จงลักในเวลาก่อนอาหาร ภิกษุผู้รับใช้ พยายามอยู่ ด้วยอันคิดว่า จักลักในเวลาก่อนอาหารนั่นเอง และสิ่งของนั้น ย่อมเป็นอันเธอลักมาได้ ในเวลาหลังอาหาร; ในอวหารข้อนี้ เป็นอย่างไร?

แก้ว่า พระมหาสุมเถระ กล่าวไว้ก่อนว่า นั่นเป็นประโยคในเวลา ก่อนอาหารแท้; เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุ ย่อมไม่พ้น. ส่วน พระมหาปทุมเถระ กล่าวว่า ชื่อว่าผิดการนัดหมาย เพราะล่วงเลยกำหนดกาล ไป; เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุจึงรอดตัวไป.

จบกถาว่าด้วยการนัดหมาย

กถาว่าด้วยการทำนิมิต

การทำนิมิตบางอย่าง เพื่อให้เกิดความหมายรู้ ชื่อว่า นิมิตกรรม. นิมิตกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ๓ อย่าง โคuนัยเป็นต้นว่า เราจักขยิบตา ก็ดี. ก็การทำนิมิตแม้อย่างอื่น มีเป็นอเนกประการเป็นต้นว่า แกว่งไกวมือ ปรบมือ ดีดนิ้วมือ เอียงคอลงไอ และกระแอม พึงสงเคราะห์ เข้าในนิมิตกรรมนี้ ส่วนคำที่เหลือในนิมิตกรรมนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วในสังเกตกรรมนั้นทีเดียวแล.

จบกถาว่าด้วยการทำนิมิต


ความคิดเห็น 138    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 214

กถาว่าด้วยการสั่ง

บัดนี้ เพื่อความไม่ฉงนในสังเกตกรรม และนิมิตกรรมเหล่านี้นั่นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกฺขุ อาณาเปติ ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า โส ตํ มญฺมาโน ความว่า ภิกษุผู้ลุกนั้น เข้าใจทรัพย์ที่ภิกษุผู้สั่ง บอกทำนิมิตเครื่องหมายไว้ว่า เป็น ทรัพย์นั้น จึงลักทรัพย์นั้นนั่นแล. เป็นปาราซิกทั้ง ๒ รูป.

หลายบทว่า โส ตํ มญฺมาโน อญฺํ ความว่า ภิกษุผู้ลักนั้น เข้าใจทรัพย์ที่ภิกษุผู้สั่งๆ ให้ลัก ว่า เป็นทรัพย์นั่น แต่ลักทรัพย์อื่นที่เขาเก็บไว้ ในที่นั้นนั่นแล. ภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุ ไม่เป็นอาบัติ.

หลายบทว่า อญฺํ มญฺมาโน ตํ ความว่า ภิกษุผู้ลักเข้าใจ ทรัพย์อื่นที่ภิกษุผู้สั่ง ทำนิมิตเครื่องหมายบอกไว้อย่างนี้ว่า ทรัพย์นี้มีราคาน้อย, แต่ทรัพย์อย่างอื่น ที่เขาเก็บไว้ในที่ใกล้ทรัพย์นั้นนั่นเอง เป็นทรัพย์ที่มีคุณค่า ดังนี้ จึงลักทรัพย์นั้นนั่นเอง เป็นปาราชิก ทั้ง ๒ รูป

หลายบทว่า อญฺํ มญฺมาโน อญฺํ ความว่า ภิกษุผู้ลักนั้น ย่อมเข้าใจโดยนัยก่อนนั่นแลว่า ทรัพย์อย่างอื่นนี้. ที่เขาเก็บไว้ในที่ใกล้ทรัพย์ นั้นนั่นเอง เป็นทรัพย์ที่มีคุณค่า ดังนี้, ถ้าทรัพย์ที่ลักมานั้นเป็นทรัพย์อย่างอื่น นั่นแล, เป็นปาราชิกแก่เธอผู้ลักเท่านั้น.

ในคำว่า อิตฺถนฺามสฺส ปาวท เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- พึงเห็น อาจารย์รูปหนึ่ง อันเตวาสิก ๓ รูป มีชื่อว่า พุทธรักขิต ธรรมรักขิต และ สังฆรักขิต.


ความคิดเห็น 139    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 215

บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า ภิกขุ ภิกขุํ อาณาเปติ ความว่า อาจารย์กำหนดทรัพย์บางอย่าง ในสถานที่บางแห่ง แล้วสั่งพระพุทธรักขิต เพื่อต้องการลักทรัพย์นั้น.

สองบทว่า อิตฺถนฺนามสฺส ปาวท ความว่า (อาจารย์สั่งว่า) ดูก่อน พุทธรักขิต! คุณจงไปบอกเนื้อความนั่นแก่พระธรรมรักขิต.

หลายบทว่า อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส ปาวทตุ ความว่า แม้พระธรรมรักขิต จงบอกแก่พระสังฆรักขิต.

พระธรรมรักขิตถูกท่านสั่งอย่างนี้ว่า ภิกษุชื่อนี้ จงลักสิ่งของชื่อนี้ แล้วสั่งพระสังฆรักขิตว่า จงลักสิ่งของชื่อนี้ ; แท้จริงบรรดาเราทั้งสอง ท่าน สังฆรักขิต เป็นคนมีชาติกล้าหาญสามารถในกรรมนี้.

สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ความว่า เป็นทุกกฏ แก่อาจารย์ ผู้สั่งอย่างนี้ก่อน. แต่ถ้าคำสั่งนั้น ดำเนินไปตามความประสงค์ ถุลลัจจัยท่าน ปร้บไว้ข้างหน้านั่นแล ย่อมมีในขณะสั่ง, ถ้าสิ่งของนั้นจะต้องลักมาได้แน่นอน, ปาราชิกที่ตรัสไว้ข้างหน้าว่า ทุกรูปต้องปาราชิก ดังนี้ ย่อมมีแก่อาจารย์นี้ใน ขณะนั้นนั่นเอง เพราะดำรัสที่ตรัสไว้นั้น, ความยุกตินี้ บัณฑิตพึงทราบในที่ ทั้งปวง ด้วยประการอย่างนี้.

หลายบทว่า โส อิตรสฺส อาโรเจติ ความว่า ภิกษุผู้รับสั่งบอกว่า พระพุทธรักขิต บอกพระธรรมรักขิต และพระธรรมรักขิต บอกพระสังฆ- รักขิตว่า อาจารย์ของพวกเรา กล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า คุณจงลักทรัพย์ชื่อนี้ ได้ยินว่า บรรดาเราทั้ง ๒ ตัวท่านเป็นบุรุษผู้กล้าหาญ ดังนี้, เป็นทุกกฏ แม้แก่เธอเหล่านั้น เพราะมีการบอกต่อกันไป ด้วยอาการอย่างนั้นเป็นปัจจัย.

สองบทว่า อวหารโก ปฏิคฺคณฺหาติ ความว่า พระสังฆรักขิต รับว่า ดีละ ผมจักลัก.


ความคิดเห็น 140    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 216

หลายบทว่า มูลฏฺสฺส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส ความว่า พอ พระสังฆรักขิตรับคำสั่ง เป็นถุลลัจจัย แก่อาจารย์, เพราะคนหลายคนถูก อาจารย์นั้นชักชวนแล้ว ในบาปแล.

หลายบทว่า โส ตํ ภณฺฑํ ความว่า ถ้าภิกษุนั้น คือ พระสังฆรักขิต ลักสิ่งของนั้นมาได้ไซร้, เป็นปาราชิกทั้งหมด คือ ทั้ง ๔ คน, และหาเป็น ปาราชิกแก่ ๔ คน อย่างเดียวไม่, สมณะตั้งร้อย หรือสมณะตั้งพันก็ตาม ที่สั่งโดยสืบต่อกันไป ไม่ทำให้ผิดการนัดหมาย โดยอุบายยอย่างนั้น เป็นปาราชิก ด้วยกันทั้งหมดทีเดียว.

ในทุติยวาร พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-

หลายบทว่า โส อญฺํ อาณาเปติ ความว่า ภิกษุนั้น คือ พระพุทธรักขิต อันอาจารย์สั่งไว้แล้ว แต่ไม่พบพระธรรมรักขิต หรือเป็นผู้ ไม่อยากจะบอก จึงเข้าไปหาพระสังฆรักขิตทีเดียว แล้วสั่งว่า อาจารย์ของ พวกเราสั่งไว้อย่างนี้ว่า ได้ยินว่า คุณจงลักสิ่งของชื่อนี้มา.

สองบทว่า อาปตฺดิ ทุกฺกฏสฺส ความว่า พระพุทธรักขิต ชื่อว่า เป็นทุกกฏ เพราะสั่งก่อน.

หลายบทว่า ปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏฺสฺส ความว่า พึง ทราบว่า เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้สั่ง ซึ่งเป็นต้นเติมทีเดียว ในเมื่อพระสังฆรักขิต รับแล้ว. ก็ถ้าพระสังฆรักขิตนั้น ลักทรัพย์นั้นมาได้, เป็นปาราชิก แม้ทั้ง สองรูป คือ พระพุทธรักขิตผู้สั่ง ๑ พระสังฆรักขิตผู้ลัก ๑. แต่สำหรับอาจารย์ ผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเดิม ไม่เป็นอาบัติปาราชิก เพราะผิดสังเกต. ไม่เป็นอาบัติ ทุกอย่าง แก่พระธรรมรักขิตเพราะไม่รู้. ส่วนพระพุทธรักขิตทำความสวัสดี แก่ท่านทั้งสองรูปแล้ว ตนเองพินาศ.


ความคิดเห็น 141    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 217

บรรดาอาณัติวาร ทั้ง ๔ บท ถัดจากทุติยวารนี้ไป พึงทราบวินิจฉัย ในอาณัติวารข้อแรกก่อน.

หลายบทว่า โส คนฺตวา ปุน ปจฺจาคจฺฉติ ความว่า ภิกษุผู้รับสั่ง นั้น ไปยังทรัพย์ตั้งอยู่แล้ว เห็นมีการอารักขาไว้ ทั้งภายในและภายนอก ไม่อาจลักเอาได้ จึงกลับมา.

หลายบทว่า ยทา สกฺโกสิ ตทา ความว่า ภิกษุผู้สั่งนั้น สั่งใหม่ว่า ทรัพย์ที่ท่านลักมาแล้วในวันนี้เท่านั้นหรือ จึงเป็นอันลัก, ไปเถิดท่าน ท่าน อาจจะลักมาได้ เมื่อใด, ก็จงลักทรัพย์นั้นมา เมื่อนั้น.

สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ความว่า แม้เพราะสั่งอีกอย่างนั้น ก็เป็นทุกกฏเท่านั้น. แต่ถ้าทรัพย์นั้น ย่อมเป็นของที่จะลักมาได้แน่นอน. ชื่อว่า เจตนาที่ให้สำเร็จประโยชน์ ก็เป็นเช่นกับผลที่เกิดในลำดับแห่งมรรค; เพราะ ฉะนั้น ภิกษุผู้สั่งนี้ เป็นปาราชิกในขณะสั่งทีเดียว. แม้ถ้าภิกษุผู้ลัก จะลัก ทรัพย์นั้นมาได้ โดยล่วงไป ๖๐ ปี และภิกษุผู้สั่ง จะทำกาลกิริยา หรือสึก ไปเสียในระหว่างนั่นเอง จักเป็นผู้ไม่ใช่สมณะเลย ทำกาลกิริยา หรือจักสึกไป, แต่สำหรับภิกษุผู้ลัก ย่อมเป็นปาราชิกในขณะที่ลักนั่นเอง.

ในทุติยวาร เพราะภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุพูดคำนั้นเบาๆ ไม่ได้ ประกาศให้ได้ยิน หรือไม่ได้ประกาศให้ได้ยินคำสั่งนี้ว่า เธออย่าลัก เพราะ เธอผู้เป็นต้นเหตุนั้น เป็นคนหูหนวก; ฉะนั้น ภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุ จึง ไม่พ้น. ส่วนในตติยวารชื่อพ้น เพราะท่านประกาศให้ได้ยิน. ในจตุตถวาร แม้ทั้งสองรูปพ้นได้ เพราะภิกษุผู้สั่งซึ่งเป็นต้นเหตุนั้น ประกาศให้ได้ยิน และ เพราะภิกษุผู้รับสั่งนอกนี้ รับคำว่า ดีละ แล้วก็งดเว้นเสีย ด้วยประการฉะนี้.

จบกถาว่าด้วยการสั่ง


ความคิดเห็น 142    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 218

การพรรณนาบทภาชนีย์

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงองค์แห่งอทินนาทานที่ ตรัสไว้ ด้วยอำนาจแห่งกิริยาที่ให้เคลื่อนจากฐาน ในทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นดิน เป็นต้นนั้นๆ และความต่างแห่งอาบัติ กับความต่างกันแห่งวัตถุ จึงตรัสคำ เป็นต้น ว่า ปญฺจหากาหิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจหากาเรหิ ได้แก่ ด้วยเหตุ ๕ อย่าง มีคำอธิบายว่า ด้วยองค์ ๕. ในคำว่า ปญฺจหากาเรหิ เป็นต้นนั้น มีเนื้อความย่อ ดังต่อไปนี้:- คือ ปาราชิก ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของ ไม่ได้ให้ ด้วยอาการ ๕ อย่างที่ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ทรัพย์อันผู้อื่น หวงแหน ๑; เพราะไม่ครบองค์ ๕ นั้น จึงไม่เป็นปาราชิก. ในคำนั้น มี อาการ ๕ อย่างเหล่านี้ คือ ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหน ๑ เข้าใจว่าทรัพย์อันผู้ อื่นหวงแหน ๑ ความที่บริขารเป็นครุภัณฑ์ ๑ มีไถยจิต ๑ การทำให้เคลื่อน จากฐาน ๑. ส่วนในบริขาร ที่เป็นลหุภัณฑ์ ท่านแสดงถุลลัจจัยและทุกกฏไว้ โดยความต่างกันแห่งวัตถุ ด้วยวาระทั้ง ๒ อื่นจากอาการ ๕ อย่างนั้น.

[อาการ ๖ อย่างที่ให้ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก]

แม้ในวาระทั้ง ๓ ที่ท่านตรัสไว้ โดยนัยเป็นต้นว่า ฉหากาเรหิ ก็ควรทราบอาการ ๖ อย่างนั้น คือ มิใช่มีความสำคัญว่าเป็นของตน ๑ มิใช่ ถือเอาด้วยวิสาสะ ๑ มิใช่ขอยืม ๑ ความที่บริขารเป็นครุภัณฑ์ ๑ มีไถยจิต ๑ การทำให้เคลื่อนจากฐาน ๑. ก็บรรดาวารทั้ง ๓ แม้นี้ในปฐมวาร ท่านปรับ เป็นปาราชิก ทุติยวาร และตติยวารท่านปรับเป็นถุลลัจจัย และทุกกฏ โดย ความต่างกันแห่งวัตถุ. ส่วนในความต่างกันแห่งวัตถุ แม้ที่มีอยู่ในวารทั้ง ๓


ความคิดเห็น 143    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 219

อื่นจาก ๓ วารนั้น ท่านปรับเป็นทุกกฏอย่างเดียว เพราะเป็นวัตถุอันชน เหล่าอื่นไม่ได้หวงแหน. วัตถุที่ท่านกล่าวใน ๓ วารนั้นว่า มิใช่ของอันผู้อื่น หวงแหน จะเป็นวัตถุที่ยังมิได้ครอบครองก็ตาม จะเป็นของที่เขาทิ้งแล้วหมด ราคา หาเจ้าของมิได้ หรือจะเป็นของๆ ตนก็ตาม, วัตถุแม้ทั้ง ๒ ย่อมถึง ความนับว่า มิใช่ของอันผู้อื่นหวงแหน. ก็ในทรัพย์ ๒ อย่างนี้ มีความสำคัญ ว่า ทรัพย์อันผู้อื่นหวงแหนไว้ ๑ ถือเอาด้วยไถยจิต ๑; เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่กล่าวอนาบัติไว้ ฉะนั้นแล.

[อรรถาธิบายในอนาปัตติวาร]

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความต่างแห่งอาบัติ ด้วยอำนาจ แห่งวัตถุและด้วยอำนาจแห่งจิต อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงอนาบัติ จึงตรัสดำว่า อนาปตฺติ สกสญฺิสฺส ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกสญฺิสฺส ได้แก่ ภิกษุผู้มีความ สำคัญว่าเป็นของตน คือ ผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า ภัณฑะนี้เป็นของเรา เมื่อ ถือเอาแม้ซึ่งภัณฑะของผู้อื่น ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอา, ควรให้ทรัพย์ ที่ตนถือเอาแล้วนั้นคืน ถ้าถูกพวกเจ้าของทวงว่า จงให้. เธอไม่ยอมคืนให้ เป็นปาราชิก ในเมื่อเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นทอดธุระ.

บทว่า วิสฺสาสคฺคาเห ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอาด้วย วิสาสะ. แต่ควรรู้ลักษณะแห่งการถือเอาด้วยความวิสาสะ โดยสูตร * นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เอาอนุญาตให้ถือวิสาสะ แก่บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ เคยเห็นกันมา ๑ เคยคบกันมา ๑ เคยบอกอนุญาตกันไว้ ๑ ยังมี ชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑.


* วิ. มหา ๕/๒๑๘.


ความคิดเห็น 144    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 220

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺทิฏฺโ ได้แก่ เพื่อนเพียงเคยเห็นกัน.

บทว่า สมฺภตฺโต ได้แก่ เพื่อนสนิท.

บทว่า อาลปิโต ได้แก่ ผู้อันเพื่อนสั่งไว้ว่า ท่านต้องการสิ่งใดซึ่ง เป็นของผม ท่านพึงถือเอาสิ่งนั้นเถิด, ไม่มีเหตุในการที่ท่านจะขออนุญาตก่อน จึงถือเอา. แม้เพื่อนผู้นอน ด้วยการนอนที่ไม่ลุกขึ้น ยังไม่ถึงความขาดเด็ด แห่งชีวิตินทรีย์เพียงใด ชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่เพียงนั้น.

หลายบทว่า คหิเต จ อตฺตมโน ความว่า เมื่อเราถือเอาแล้ว เขา จะพอใจ. การที่ภิกษุเมื่อรู้ว่า ครั้นเราถือเอาสิ่งของๆ ผู้อื่นเห็นปานนี้แล้ว เขาจักพอใจ จึงถือเอา ย่อมสมควร. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสองค์ ๕ เหล่านั้นไว้ ด้วยอำนาจแห่งการรวบรวมไว้โดยไม่มีส่วนเหลือ. * แต่การถือเอา ด้วยวิสาสะ ย่อมขึ้นด้วยองค์ ๓ คือ เคยเห็นกันมายังมีชีวิตอยู่ รู้ว่าเมื่อเรา ถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑ เคยคบกันมา ยังมีชีวิตอยู่ รู้ว่าเมื่อเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑ เคยบอกอนุญาตกันไว้ ยังมีชีวิตอยู่ รู้ว่าเมื่อเราถือเราแล้ว เขาจักพอใจ ๑. ส่วนเพื่อนคนใด ยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อถือเอาแล้วเขาไม่พอใจ. สิ่งของๆ เพื่อนคนนั้น แม้ภิกษุถือเอาแล้วด้วยการถือวิสาสะ ก็ควรคืนให้ แก่เจ้าของเดิม, และเมื่อจะคืนให้ ทรัพย์มรดก ควรคืนให้แก่เหล่าชน ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ของผู้นั้นก่อน จะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม, ทรัพย์ ของเพื่อนผู้ไม่พอใจ ก็ควรคืนให้ผู้นั้นนั่นเอง.

ส่วนภิกษุใด พลอยยินดีตั้งแรกทีเดียว ด้วยการเปล่งวาจาว่า ท่าน เมื่อถือเอาของๆ ผมชื่อว่าทำชอบแล้ว หรือเพียงจิตตุปบาทเท่านั้น ภายหลัง โกรธด้วยเหตุบางอย่าง, ภิกษุนั้นย่อมไม่ได้เพื่อจะให้นำมาคืน. แม้เธอรูปใด


* ศัพท์นี้น่าจะถูกตามอรรถโยชนาว่า อเสส ... จึงได้แปลไว้อย่างนั้น.


ความคิดเห็น 145    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 221

ไม่ประสงค์จะให้ แต่รับคำไว้ด้วยจิต ไม่พูดอะไรๆ แม้เธอรูปนั้น ก็ย่อม ไม่ได้เพื่อจะให้นำมาคืน. ส่วนภิกษุใด เมื่อเพื่อนภิกษุพูดว่า สิ่งของๆ ท่าน ผมถือเอาแล้ว หรือผมใช้สอยแล้ว จึงพูดว่า สิ่งของนั้น ท่านจะถือเอาหรือ ใช้สอยแล้วก็ตาม, แต่ว่าสิ่งของนั้น ผมเก็บไว้ด้วยกรณีบางอย่างจริงๆ ท่าน ควรทำสิ่งของนั้นให้เป็นปกติเดิม ดังนี้ ภิกษุนี้ ย่อมได้เพื่อให้นำมาคืน.

บทว่า ตาวกาลิเก ความว่า สำหรับภิกษุผู้ถือเอาด้วยคิดอย่างนี้ว่า เราจักให้คืน จักทำคืน ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอาแม้เป็นของยืม. แต่ สิ่งของที่ภิกษุถือเอาแล้ว ถ้าบุคคลหรือคณะผู้เป็นเจ้าของๆ สิ่งของ อนุญาต ให้ว่า ของสิ่งนั่นจงเป็นของท่านเหมือนกัน ข้อนี้เป็นการดี ถ้าไม่อนุญาตไซร้, เมื่อให้นำมาคืน ควรคืนให้. ส่วนของๆ สงฆ์ ควรให้คืนที่เดียว.

ก็บุคคลผู้เกิดในเปรตวิสัยก็ดี เปรตผู้ที่ทำกาละแล้ว เกิดในอัตภาพ นั้นนั่นเองก็ดี เทวดาทั้งหลาย มีเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกเป็นต้นก็ดี, ทั้งหมด ถึงความนับว่า เปรต เหมือนกันในคำว่า เปตปริคฺคเห นี้ ไม่เป็นอาบัติ ในทรัพย์อันเปรตเหล่านั้นหวงแหน. จริงอยู่ ถ้าแม้ท้าวสักกเทวราชออกร้าน ตลาดประทับนั่งอยู่, และภิกษุผู้ได้ทิพยจักษุ รู้ว่าเป็นท้าวสักกะ แม้เมื่อท้าว สักกะนั้นร้องห้ามอยู่ว่า อย่าถือเอาๆ ก็ถือเอาผ้าสาฎกแม้มีราคาตั้งแสน เพื่อ ประโยชน์แก่จีวรของตนไป, การถือเอานั้น ย่อมควร. ส่วนในผ้าสาฎกที่ เหล่าชนผู้ทำพลีกรรมอุทิศพวกเทวดา คล้องไว้ที่ต้นไม้เป็นต้น ไม่มีคำที่ควร จะกล่าวเลย.

บทว่า ติรจฺฉานคตปริคฺคเห ได้แก่ ไม่เป็นอาบัติ เพราะทรัพย์ แม้พวกสัตว์ดิรัจฉานหวงแหน. จริงอยู่ แม้พวกพญานาค หรือสุบรรณมาณพ แปลงรูปเป็นมนุษย์ ออกร้านตลาดอยู่, และมีภิกษุบางรูป มาถือเอาสิ่งของๆ


ความคิดเห็น 146    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 222

พญานาคหรือของสุบรรณมาณพนั้น จากร้านตลาดนั้นไป โดยนัยก่อนนั่นเอง, การถือเอานั้น ย่อมควร. ราชสีห์ หรือ เสือโคร่งฆ่าสัตว์มีเนื้อและกระบือ เป็นต้นแล้ว แต่ยังไม่เคี้ยวกิน ถูกความหิวเบียดเบียน ไม่พึงห้ามในตอนต้น ทีเดียว, เพราะว่ามันจะพึงทำแม้ความฉิบหายให้. แต่ถ้าเมื่อราชสีห์เป็นต้น เคี้ยวกินเนื้อเป็นอาทิไปหน่อยหนึ่งแล้ว สามารถห้ามได้ จะห้ามแล้วถือเอา ก็ควร. แม้จำพวกนกมีเหยี่ยวเป็นต้น คาบเอาเหยื่อบินไปอยู่ จะไล่ให้มันทิ้ง เหยื่อให้ตกไป แล้วถือเอาก็ควร.

บทว่า ปํสุกูลสญฺิสฺส ความว่า แม้สำหรับภิกษุผู้มีความสำคัญ อย่างนั้นว่า สิ่งของนี้ ไม่มีเจ้าของ เกลือกกลั้วไปด้วยฝุ่น ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอา. แต่ถ้าสิ่งของนั้นมีเจ้าของไซร้, เมื่อเขาให้นำมาคืน ก็ควร คืนให้.

บทว่า อุมฺมตฺตกสฺส ความว่า ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุผู้เป็นบ้า ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น.

บทว่า อาทิกมฺมิกสฺส ความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่พระธนิยะผู้เป็น อาทิกัมมิกะ (ผู้เป็นต้นต้นบัญญัติ) ในสิกขาบทนี้. แต่สำหรับภิกษุฉัพพัคคีย์ เป็นต้น ผู้เป็นโจรลักห่อผ้าของช่างย้อมเป็นอาทิที่เหลือ เป็นอาบัติทีเดียว ฉะนั้นแล.

จบการพรรณนาบทภาชนีย์


ความคิดเห็น 147    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 223

กถาว่าด้วยการสับเปลี่ยนสลาก

[ปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น]

ก็ในปกิณกะนี้ คือ

สมุฏฐาน ๑ กิริยา สัญญา ๑ สจิตตกะ ๑ โลกวัชชะ ๑ กรรมและกุศล พร้อมด้วยเวทนา ๑

บัณฑิตพึงทราบคำทั้งหมด โดยนัยดังที่กล่าวไว้แล้วในปฐมสิกขาบท นั่นเอง ว่า สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๓ คือ เป็นสาหัตถิกะเกิดทางกายและทาง จิต, เป็นอาณัตติกะ เกิดทางวาจาและทางจิต, เป็นสาหัตถิกะและอาณัตติกะ เกิดทางกาย ทางวาจาและทางจิต; และเกิดเพราะทำ; จริงอยู่ เมื่อทำเท่านั้น จึงต้องอาบัตินั้น; เมื่อไม่ทำก็ไม่ต้อง เป็นสัญญาวิโมกข์ เพราะพ้นด้วยไม่มี สำคัญว่า เราจะถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้, เป็นสจิตตกะ เป็นโลก วัชชะ เป็นกายกรรม เป็นวจีกรรม เป็นอกุศลจิต, ภิกษุยินดี หรือกลัว หรือวางตนเป็นกลาง จึงต้องอาบัตินั้น; เพราะเหตุนั้น สิกขาบทนี้ จึงชื่อว่า มีเวทนา ๓.

[อรรถาธิบายอุทานคาถาในวินีตวัตถุ]

ในคาถาแห่งวินีตวัตถุ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้:- เรื่องภิกษุ ฉัพพัคคีย์ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในอนุบัญญัตินั่นแล. ในเรื่องที่ ๒ มีวินิจฉัย ดังนี้ ขึ้นชื่อว่า จิตของพวกปุถุชน ละปกติไปด้วยอำนาจกิเลสมีราคะ เป็นต้น ย่อมวิ่งไป คือ พล่านไป ได้แก่ เร่ร่อนไป. ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า


ความคิดเห็น 148    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 224

แม้เว้นความทำลายทางกายทวารและวจีทวารเสีย จะพึงทรงบัญญัติอาบัติด้วย เหตุเพียงจิตตุปบาท (เพียงเกิดความคิด) ใครจะพึงสามารถทำตนไม่ให้เป็น อาบัติได้เล่า? เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ! เธอไม่ต้องอาบัติ เพราะเพียงแต่เกิดความคิดขึ้น๑ แต่ภิกษุก็ไม่ควรเป็นไปใน อำนาจแห่งจิต, ควรห้ามจิตไว้ด้วยกำลังแห่งการพิจารณาทีเดียวแล. เรื่องการ จับต้องผ้า ทำให้ผ้าไหวและทำให้ผ้าเคลื่อนจากฐาน มีเนื้อความตื้นแล้วทั้งนั้น. ส่วนเรื่องทั้งหลายซึ่งถัดจากเรื่องที่ทำผ้าให้เคลื่อนจากฐานนั้นไป มีเรื่องว่า ภิกษุมีไถยจิต หยิบทรัพย์นั้นขึ้นจากพื้นดิน๒ เป็นที่สุด มีเนื้อความตื้นแล้ว ทั้งนั้น.

ในเรื่องตอบคำถามนำ มีวินิจฉัยดังนี้ :-

บทว่า อาทิยิ ความว่า ภิกษุเจ้าของจีวร จับแล้ว คือ ยึดไว้ว่า ท่านเป็นโจร. ส่วนภิกษุผู้ลักจีวรนอกนี้ เมื่อถูกภิกษุเจ้าของจีวร ถามว่า จีวร ของผม ใครลักไป? จึงได้ให้คำปฏิญญา โดยเสมอกับคำถามว่า ผมลักไป. จริงอยู่ ถ้าภิกษุเจ้าของจีวรนอกนี้จักกล่าวว่า จีวรของผม ใครถือเอา ใคร นำไป ใครเก็บไว้?, แม้ภิกษุนี้ ก็จะพึงตอบว่า ผมถือเอา หรือว่า ผมนำไป หรือว่า ผมเก็บไว้ แน่นอน. ธรรมดาว่าปาก อันธรรมดาแต่งไว้ เพื่อประโยชน์ แก่การบริโภค และเพื่อประโยชน์แก่การพูด แต่เว้นไถยจิตเสีย ก็ไม่เป็นอวหาร เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ! เธอ ไม่เป็นอาบัติ เพราะตอบตามคำถามนำ ดังนี้. อธิบายว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะเพียงแต่กล่าวโดยสำนวนโวหาร. เรื่องที่ถัดจากเรื่องตอบตามคำถามนำ๓ นั้นไป ซึ่งมีเรื่องผ้าโพกเป็นที่สุด ทั้งหมดมีเนื้อความตื้นแล้วทั้งนั้น.


๑. วิ. มหา. ๑/๑๐๕

๒. วิ. มหา. ๑/๑๐๗ ๓. วิ. มหา. ๑/๑๐๗.


ความคิดเห็น 149    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 225

ในเรื่องศพที่ยังสด มีวินิจฉัยดังนี้ :-

บทว่า อธิวตฺโถ ความว่า เปรตเกิดขึ้นในศพนั้นนั่นเอง เพราะ ความอยากในผ้าสาฎก.

บทว่า อนาทิยนฺโต ความว่า ภิกษุไม่เชื่อคำของเปรตนั้น หรือ ไม่ทำความเอื้อเฟื้อ.

หลายบทว่า ตํ สรีรํ อุฏฺหิตฺวา ความว่า เปรตบังคับให้ศพ นั้นลุกขึ้น ด้วยอานุภาพของตน. เพราะเหตุนั้น พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ศพนั้นลุกขึ้น (เดินตามหลังภิกษุนั้นไป * )

สองบทว่า ทฺวารํ ณกสิ ความว่า วิหารของภิกษุมีอยู่ในที่ใกล้ ป่าช้านั้นเอง เพราะเหตุนั้น ภิกษุเป็นผู้กลัวอยู่โดยปกติ จึงรีบเข้าไปในวิหาร นั้นนั่นเอง แล้วปิดประตู.

สองบทว่า ตตฺเถว ปริปติ ความว่า เมื่อภิกษุปิดประตูแล้วเปรต เป็นผู้หมดความอาลัยในผ้าสาฎก จึงละทิ้งศพนั้นไว้ แล้วไปตามยถากรรม. เพราะเหตุนั้น ร่างศพนั้นก็ล้มลง. มีคำอธิบายว่า ตกไปในที่นั้นนั่นแล.

สองบทว่า อภินฺเน สรีเร ความว่า อันผ้าบังสุกุลที่ศพสดซึ่งยัง อุ่นอยู่ ภิกษุไม่ควรถือเอา. เมื่อภิกษุถือเอา อุปัทวะเห็นปานนี้ย่อมมี และ ภิกษุย่อมต้องทุกกฏ แต่จะถือเอาที่ศพแตกแล้ว ควรอยู่.

ถามว่า ก็ศพจะจัดว่า แตกแล้ว ด้วยเหตุเพียงไร?

แก้ว่า แม้ด้วยเหตุเพียงถูกจะงอยปากหรือเขี้ยว อันสัตว์ทั้งหลาย มี กา พังพอน สุนัข และสุนัขจิ้งจอกเป็นต้น กัดแล้วนิดหน่อย. ส่วนอวัยวะ ของศพใดที่ล้มลง เพียงผิวหนังถลอกไปด้วยการครูดสี. หนังยังไม่ขาดออก, ศพนั้น นับว่ายังสดทีเดียว, แต่เมื่อหนังขาดออกแล้วจัดว่าแตกแล้ว. แม้ศพใด


* วิ. มหา. ๑/๑๐๙


ความคิดเห็น 150    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 226

ในเวลายังมีชีวิตนั่นเอง มีฝีโรคเรื้อนและต่อม หรือแผลแตกพรุนทั่วไป, แม้ ศพนี้ชื่อว่า แตกแล้ว. ตั้งแต่วันที่ ๓ ไป แม้สรีระที่ถึงความเป็นซากศพ โดย เป็นศพที่ขึ้นพองเป็นต้น จัดว่าเป็นศพที่แตกแล้วโดยแท้.

อนึ่ง แม้ในศพที่ยังไม่แตกโดยประการทั้งปวง แต่คนผู้ดูแลป่าช้า หรือมนุษย์เหล่าอื่นให้ถือเอา ควรอยู่ ถ้าไม่ได้มนุษย์อื่น, ควรจะเอาศัสตรา หรือวัตถุอะไรทำให้เป็นแผลแล้ว จึงถือเอา. แต่ในศพเพศตรงกันข้าม ภิกษุ ควรตั้งสติไว้ ประคองสมณสัญญาให้เกิดขึ้น ทำให้เป็นแผลที่ศีรษะ หรือที่ หลังมือและหลังเท้าแล้วถือเอาสมควรอยู่.

ในเรื่องอัน เป็นลำดับแห่งสรีระยังไม่แตกนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:-

หลายบทว่า กุสํ สงฺกาเมตฺวา จีวรํ อคฺคเหสิ มีความว่า ภิกษุ ลักด้วยกุสาวหาร ในบรรดาเถยยาวหาร ปสัยหาวหาร ปริกัปปาวหาร ปฏิจ- ฉันนาวหารและกุสาวหาร ซึ่งได้แสดงไว้แล้วแต่เพียงชื่อ ในการพรรณนาเนื้อ ความแห่งบทนี้ว่า อาทิเยยฺย ในเบื้องต้น. และพึงทราบความต่างกันแห่ง อวหารเหล่านี้ ดังจะกล่าวต่อไปนี้:-

[อรรถาธิบายอวหาร ๕ อย่าง]

จริงอยู่ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง แอบทำโจรกรรมมีการตัดที่ต่อเป็นต้น ลักทรัพย์ซึ่งมีเจ้าของ ในเวลากลางคืนหรือกลางวัน หรือหลอกลวงฉ้อเอา ด้วยเครื่องตวงโกง และกหาปณะปลอมเป็นต้น, อวหารของภิกษุรูปนั้นนั่นแล ผู้ถือเอาทรัพย์นั้น พึงทราบว่า เป็นเถยยาวหาร, ฝ่ายภิกษุใด ข่มเหงผู้อื่น คือ กดขี่เอาด้วยกำลัง, ก็หรือขู่กรรโซก คือ แสดงภัย ถือเอาทรัพย์เป็นของ ชนเหล่านั้น เหมือนพวกโจรผู้ฆ่าเชลย ทำประทุษกรรม มีฆ่าคนเดินทาง และฆ่าชาวบ้านเป็นต้น (และ) เหมือนอิสรชน มีพระราชาและมหาอำมาตย์


ความคิดเห็น 151    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 227

ของพระราชาเป็นต้น ซึ่งทำการริบเอาเรือนของผู้อื่น ด้วยอำนาจความโกรธ และใช้พลการเก็บพลี เกินกว่าพลีที่ถึงแก่ตน, อวหารของภิกษุนั้น ผู้ถือเอา อย่างนั้น พึงทราบว่า เป็นปสัยหาวหาร ส่วนอวหารของภิกษุผู้กำหนดหมาย ไว้แล้วถือเอา ท่านเรียกว่า ปริกัปปาวหาร. ปริกัปปาวหารนั้น มี ๒ อย่าง เนื่องด้วยกำหนดหมายสิ่งของ และกำหนดหมายโอกาส.

[อรรถาธิบายภัณฑปริกัป]

ใน ๒ อย่างนั้น ภัณฑปริกัป พึงทราบอย่างนี้:- ภิกษุบางรูปใน ศาสนานี้ มีความต้องการด้วยผ้าสาฎก จึงเข้าไปยังห้อง หมายใจไว้ว่า ถ้า จักเป็นผ้าสาฎก, เราจักถือเอา, ถ้าจักเป็นด้าย, เราจักไม่ถือเอา แล้วถือเอา กระสอบไปในเวลากลางคืน. ถ้าในกระสอบนั้น มีผ้าสาฎก, เป็นปาราชิก ในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง ถ้ามีด้าย ยังรักษาอยู่. เธอนำออกไปข้างนอก แก้ออก รู้ว่า เป็นด้าย นำมาวางไว้ยังที่เติมอีก, ยังรักษาอยู่เหมือนกัน, แม้รู้ว่า เป็น ด้าย แล้วเดินไปด้วยคิดว่า ได้สิ่งใด ก็ต้องถือเอาสิ่งนั้น พึงปรับอาบัติด้วย ย่างเท้า วางไว้บนภาคพื้นแล้ว ถือเอา, ต้องปาราชิก ในขณะที่ยกขึ้น. เธอ ถูกพวกเจ้าของเขาร้องเอะอะขึ้นว่า ขโมย ขโมย แล้วทั้งหนีไป ยังรักษาอยู่. พวกเจ้าของพบแล้วถือเอาไป อย่างนั้นนั่นเป็นการดี ถ้าคนอื่นบางคนถือเอา เป็นภัณฑไทยแก่เธอ. ภายหลังเมื่อพวกเจ้าของกลับไปแล้ว เธอเห็นของนั้น เข้าเองจึงถือเอา ด้วยคิดว่า ของนี้ เรานำออกมาก่อน บัดนี้ เป็นของๆ เราละดังนี้ ยังรักษาอยู่ แต่เป็นภัณฑไทย. แม้เมื่อภิกษุกำหนดหมายไว้แล้ว ถือเอา โดยนัยเป็นต้นว่า ถ้าจักเป็นด้าย เราจักถือเอา ถ้าจักเป็นผ้าสาฎก เราจักไม่ถือเอา ถ้าจักเป็นเนยใส เราจักถือเอา ถ้าจักเป็นน้ำมัน เราจักไม่ ถือเอา ดังนี้ มีนัยเหมือนกันนั่นแล.


ความคิดเห็น 152    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 228

ส่วนในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวไว้ว่า แม้ภิกษุมีความ ต้องการด้วยผ้าสาฎก ถือเอากระสอบผ้าสาฎกนั่นแหละออกไปวางไว้ข้างนอก แก้ออกแล้ว เห็นว่า นี้ เป็นผ้าสาฎก แล้วไปพึงปรับด้วยการยกเท้าเหมือนกัน. แต่ในอรรถมหาปัจจรีเป็นต้นนี้ ปริกัปชื่อว่า ย่อมปรากฏ เพราะเธอได้กำหนด หมาย สิ่งของไว้ว่า ถ้าจักเป็นผ้าสาฎก เราจักถือเอา ปริกัปปาวหาร ชื่อว่า ไม่ปรากฏ เพราะเห็นแล้วจึงลัก. แต่ในมหาอรรถกถา ท่านปรับอวหารแก่ภิกษุ ผู้ยกขึ้นซึ่งสิ่งของที่ตนกำหนดหมายไว้ ที่ตนมองไม่เห็น แต่คงตั้งอยู่ในความ เป็นสิ่งของที่ตนกำหนดหมายไว้แล้วนั่นเอง. เพราะเหตุนั้นปริกัปปาวหาร จึงชื่อว่าปรากฏในมหาอรรถกถานั้น. อวหารที่กล่าวไว้ในมหาอรรถกถานั้น สมด้วยพระบาลีว่า ตํ มญฺมาโน ตํ อวหริ * สำคัญว่า เป็นสิ่งนั้น ลักสิ่งนั้น ฉะนั้นแล. บรรดาปริกัปทั้ง ๒ นั้น ปริกัปนี้ใดที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้น ว่า ถ้าจักเป็นผ้าสาฎก เราจักถือเอา ดังนี้ ปริกัปนี้ชื่อว่า ภัณฑปริกัป.

[อรรถาธิบายโอกาสปริกัป]

ส่วนโอกาสปริกัป พึงทราบอย่างนี้ :- ภิกษุโลเลบางรูปในศาสนานี้ เข้าไปยังบริเวณของผู้อื่น หรือเรือนของตระกูล หรือโรงซึ่งเป็นที่ทำการงาน ในป่าก็ดี แล้วนั่งในที่นั้น ด้วยการสนทนาปราศรัย ชำเลืองดูบริขารอันเป็น ที่ตั้งแห่งความโลภบางอย่าง. ก็แล เมื่อชำเลืองดู พบเห็นแล้ว จึงได้ทำความ กำหนดหมายไว้ ด้วยอำนาจสถานที่มีประตู หน้ามุข ภายใต้ปราสาท บริเวณ ซุ้มประตู และโคนไม้เป็นต้น แล้วกำหนดหมายไว้ว่า ถ้าพวกชนจักเห็นเรา ในระหว่างนี้ เราจักคืนให้แก่ชนเหล่านั้นนั่นแหละ ทำทีเป็นหยิบ เพื่อต้อง การจะดูเที่ยวไป ถ้าพวกเขาจักไม่เห็นไซร้ เราก็จักลักเอา ดังนี้. พอเมื่อ


* บาลีเป็น อวหรติฯ


ความคิดเห็น 153    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 229

ภิกษุนั้นถือเอาทรัพย์นั้นล่วงเลยแดนกำหนดที่หมายไว้ไป เป็นปาราชิก. ถ้า เธอกำหนดหมายแดนอุปจารไว้ เดินมุ่งหน้าไปทางนั่นเอง มนสิการกรรมฐานเป็นต้นอยู่ก็ดี ส่งใจไปทางอื่นก็ดี ก้าวล่วงแดนอุปจารไป ด้วยทั้งไม่มีสติ เป็นภัณฑไทย. แม้ถ้าเมื่อเธอไปถึงที่นั้นแล้ว มีโจร ช้าง เนื้อร้าย หรือ มหาเมฆตั้งขึ้น และเธอก้าวล่วงสถานที่นั้นไปโดยเร็ว เพราะใคร่จะพ้นจาก อุปัทวะนั้น เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. ก็ในคำนี้ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะในเบื้องต้นนั่นเอง เธอถือเอาด้วยไถยจิต; ฉะนั้น จึงรักษาไว้ไม่ได้ เป็นอวหารทีเดียว. นี้เป็นนัยในมหาอรรถกถาก่อน. ส่วนในมหาปัจจรี ท่าน กล่าวไว้ว่า แม้ถ้าเธอรูปนั้น ขึ้นขี่ช้างหรือม้าอยู่ภายในแดนกำหนดไม่ขับช้าง หรือม้านั้นไปเอง ท่านไม่ให้ผู้อื่นขับไป แม้เมื่อล่วงเลยแดนกำหนดไป ย่อม ไม่เป็นปาราชิก เป็นเพียงภัณฑไทยเท่านั้น. ในปริกัป ๒ อย่างนั้น ปริกัป ที่เป็นไปว่า ถ้าพวกชนจักเห็นเราในระหว่างนี้ เราจักคืนแก่ชนเหล่านั้นนั่นแหละ ทำทีเป็นหยิบ เพื่อต้องการจะดูเที่ยวไป นี้ ชื่อว่าโอกาสปริกัป. อวหารของ ภิกษุผู้กำหนดไว้แล้วถือเอา ด้วยอำนาจแห่งปริกัป แม้ทั้ง ๒ เหล่านี้ ดัง พรรณนามาอย่างนี้ พึงทราบว่า เป็นปริกัปปาวหาร.

[อรรถาธิบายปฏิจฉันนาวหาร]

ส่วนการปกปิดไว้แล้วจึงลัก ชื่อว่าปฏิจฉันนาวหาร. ปฏิจฉันนาวหาร นั้น พึงทราบอย่างนี้ :- ก็ภิกษุรูปใด เมื่อพวกมนุษย์กำลังเล่นอยู่ หรือ กำลังเข้าไปในสวนเป็นต้น เห็นสิ่งของ คือ เครื่องอลังการซึ่งเขาถอดวางไว้ จึงเอาฝุ่นหรือใบไม้ปกปิดไว้ ด้วยคิดในใจว่า ถ้าเราจักก้มลงถือเอา, พวก มนุษย์จักรู้เราว่า สมณะถือเอาอะไร? แล้วจะพึงเบียดเบียนเรา จึงคิดว่า ภายหลัง เราจักถือเอา ดังนี้, การยกสิ่งของขึ้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ยังไม่มี


ความคิดเห็น 154    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 230

แก่ภิกษุรูปนั้น; เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นอวหารก่อน. แต่เวลาใด พวก มนุษย์เหล่านั้นประสงค์จะเข้าไปภายในบ้าน แม้เมื่อค้นหาสิ่งของนั้น ก็ไม่เห็น จึงคิดว่า บัดนี้ ค่ำมืดแล้ว, พรุ่งนี้ก่อนเถิด พวกเราจึงจักรู้ แล้วก็ไปทั้งที่ ยังมีความอาลัยอยู่นั่น เอง, เวลานั้น เมื่อภิกษุนั้น ยกสิ่งของนั้นขึ้น เป็น ปาราชิกในขณะที่ยกขึ้น. แต่เมื่อภิกษุถือเอาในเวลาที่ปกปิดไว้แล้ว นั่นเอง ด้วยสกสัญญาว่า เป็นของเรา หรือด้วยบังสุกุลสัญญาว่า บัดนี้ มนุษย์เหล่านั้น ไปแล้ว พวกเขาได้ทั้งสิ่งของนี้แล้ว เป็นภัณฑไทย. เมื่อมนุษย์เหล่านั้น กลับมาในวันที่ ๒ แม้ตรวจค้นดูแล้วก็ไม่เห็น จึงได้ทอดธุระกลับไป สิ่งของ ที่เธอถือเอาเป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่าพวกเขา ไม่เห็นสิ่งของด้วยความพยายามของภิกษุนั้น. ส่วนภิกษุใด พบเห็นสิ่งของ เห็นปานนั้น ซึ่งยังคงตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง ไม่ได้ปกปิดไว้ แต่มีไถยจิต เอาเท้าเหยียบกดให้จมลงในเปือกตม หรือในทราย, พอเธอกดให้จมลงเท่านั้น เป็นปาราชิก.

[อรรถาธิบายกุสาวหาร]

การสับเปลี่ยนสลากแล้ว ลัก ท่านเรียกว่า กุสาวหาร. แม้กุสาวหาร นั้น. พึงทราบดังนี้:- ภิกษุรูปใด เมื่อภิกษุจีวรภาชกะกำลังจัดวางสลากแจก จีวร ใคร่จะนำเอาส่วนของภิกษุรูปอื่น ซึ่งมีราคามากกว่า * ที่ตั้งอยู่ใกล้ส่วน ของตนไป ใคร่จะวางไม้สลากที่จีวรภาชกภิกษุวางไว้ในส่วนของตน ลงไว้ ในส่วนของภิกษุรูปอื่น จึงยกขึ้น ยังรักษาอยู่ก่อน. เธอวางลงไว้ในส่วนของ


* ประโยควรรคนี้ ตามเชิงอรรถไว้ก็ดี ในอรรถโยชนาก็ดี และสารัตถทีปนีก็ดี มีตกหล่นอยู่ หลายศัพท์ แปลตามเชิงอรรถดังนี้ :- ภิกษุรูปใด ใคร่จะนำเอาส่วนของภิกษุรูปอื่น ซึ่งมีราคา น้อยกว่าหรือมากกว่า หรือเท่าๆ กัน โดยราคาแห่งส่วนของตน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ส่วนของตนไป ดังนี้. สามนต์ฉบับที่เราใช้อยู่นี้ จะลอกคัดตกไปกระมัง เพราะในอรรถโยชนาและสารัตถทีปนี ก็มีแก้ไว้.


ความคิดเห็น 155    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 231

ภิกษุรูปอื่น ก็ยังรักษาอยู่เหมือนกัน. แต่ในเวลาใด เมื่อเธอวางไม้สลากลงไว้ แล้ว ยกไม้สลากของภิกษุรูปอื่นขึ้นจากส่วนของภิกษุรูปอื่น, เวลานั้น พอเธอ สักว่ายกขึ้น ก็เป็นปาราชิก. ถ้าเธอยกไม้สลากขึ้นจากส่วนของภิกษุรูปอื่นเสีย ก่อน, เพราะใคร่จะวางลงไว้ในส่วนของตน ในขณะที่ยกขึ้นยังรักษาอยู่, ใน ขณะที่วางลงไว้ ก็ยังรักษาอยู่ และยกไม้สลากของตนขึ้นจากส่วนของตน ในขณะที่ยกขึ้นนั่นเอง ยังรักษาอยู่, เมื่อยกไม้สลากนั้นขึ้นแล้ว วางลงไว้ใน ส่วนของภิกษุรูปอื่น พอพ้นจากมือก็เป็นปาราชิก. แต่ถ้าไม้สลากที่วางไว้ ในส่วนทั้งสองมองไม่เห็น. ภายหลัง เมื่อภิกษุที่เหลือไปแล้ว นวกภิกษุรูป นอกนี้ ถามว่า ท่านขอรับ! ไม้สลากของผม ย่อมไม่ปรากฏ. ภิกษุผู้เฒ่า จึงพูดว่า คุณ! แม้ของข้าพเจ้า ก็ไม่ปรากฏ. นวกภิกษุถามว่า ท่านขอรับ ก็ส่วนของผมเป็นไฉน? ภิกษุผู้เฒ่า จึงแสดงส่วนของตนว่า ในส่วนของคุณ เมื่อนวกภิกษุรูปนั้น โต้แย้ง หรือไม่โต้แย้งก็ตาม รับเอาส่วนนั้นไป, ภิกษุ นอกนี้ ยกส่วนของนวกภิกษุนั้นขึ้น ต้องปาราชิกในขณะที่ยกขึ้น. แม้หากว่า เมื่อนวกภิกษุนั้น ถึงจะเรียนว่า ผมจะไม่ยอมให้ส่วนของผมแก่ท่าน, และ ท่านรู้ส่วนของตนแล้ว จงถือเอาเถิด, ภิกษุผู้เฒ่า ถึงแม้รู้อยู่ว่า นี้ไม่ใช่ส่วน ของเรา ได้ถือเอาส่วนของนวกภิกษุรูปนั้นนั่นเอง เป็นปาราชิกในขณะที่ยกขึ้น. แต่ถ้าภิกษุนอกนี้คิดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยการวิวาทนี้ว่า นี้ส่วนของท่าน, นี้ส่วนของผม จึงพูดว่า จะเป็นส่วนที่ถึงแก่ผมก็ตาม ถึงแก่ท่านก็ตาม, ส่วนใดดี ท่านจงถือเอาส่วนนั้นเถิด ดังนี้, เธอชื่อว่าถือเอาส่วนที่เขาให้แล้ว จึงไม่มีอวหารในการถือเอานี้. ถ้าภิกษุนั้นกลัวต่อความถกเถียงกัน อันพวก ภิกษุเตือนว่า คุณจงรับเอาส่วนตามที่คุณชอบใจเถิด ก็เว้นส่วนที่ดีซึ่งถึงแก่ ตนเสีย ถือเอาส่วนที่เลวนั้นแลไป, ภายหลัง แม้เมื่อภิกษุนอกนี้ ถือเอาส่วน ที่ยังเหลือจากที่เลือกแล้ว ก็ไม่เป็นอวหารเหมือนกัน ฉะนี้แล.

จบกถาว่าด้วยการสับเปลี่ยนสลาก


ความคิดเห็น 156    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 232

กถาปรารภเรื่องทั่วไป

ก็พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย กล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า การ แจกจีวรอย่างเดียวเท่านั้น มาแล้วด้วยอำนาจการสับเปลี่ยนสลากในที่นี้, แต่ ควรนำความเกิดขึ้นแห่งปัจจัยทั้ง ๔ และการแจกมาแสดงไว้ด้วย. ก็แล ครั้น กล่าวไว้อย่างนั้นแล้ว จึงกล่าวกถาปรารภจีวรที่เกิดขึ้น เริ่มต้นแต่เรื่องหมอ ชีวกนี้ว่า พระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับคู่ผ้าที่ทอในแคว้นสีพี ของข้าพระองค์เถิด, และขอทรงอนุญาตคฤหบดีจีวร แก่ภิกษุสงฆ์ด้วยเถิด๑ ดังนี้ โดยพิสดารในจีวรขันธกะ, กล่าวบิณฑบาตกถา เริ่มต้นแต่สูตรนี้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล กรุงราชคฤห์มีภิกษาฝืดเคือง มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจทำ สังฆภัต นิมันตนภัต สลากภัต ปีกขิกภัต อุโปสถิกภัต ปาฏิปทิกภัต๒ ดังนี้ โดยพิสดารในเสนาสนขันธกะ กล่าวอาคตเสนาสกถา เริ่มต้นแต่เรื่องภิกษุ ฉัพพัคคีย์นี้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ ซ่อมแซมวิหารซึ่ง ตั้งอยู่ปลายแดนหลังใดหลังหนึ่ง ด้วยหมายใจว่า พวกเราจักอยู่จำพรรษาใน วิหารนี้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ได้เห็นพวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ กำลังซ่อมแซม วิหารแล๓ ดังนี้ โดยพิสดารในเสนาสนขันธกะนั่นเอง, และกล่าวกถาปรารภ เภสัชมีเนยใสเป็นต้น ในที่สุดแห่งเสนาสนกถานั้น โดยพิสดาร. ส่วนข้าพเจ้า จักกล่าวกถานั้นทั้งหมด ในอาคตสถานแห่งกถานั่นๆ นั่นแล. เมื่อข้าพเจ้า กล่าวอย่างนั้น เหตุเป็นอันข้าพเจ้ากล่าวไว้เสร็จแล้วในเบื้องต้นทีเดียว.

เรื่องเรือนไฟถัดจากเรื่องนี้ไป มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.


๑. วิ. มหา. ๕/๑๙๑. ๒. วิ. จุลฺล. ๗/๑๔๖. ๓. วิ. จุลฺล. ๗/๑๒๔


ความคิดเห็น 157    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 233

ในวิฆาสวัตถุ ๕ เรื่อง มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ให้อนุปสัมบันทำให้เป็นของควร แล้วฉัน. แต่เมื่อภิกษุจะถือเอาเนื้อซึ่งเป็น เดน พึงถือเอาเนื้อที่สัตว์เหล่านั้นกินเหลือทิ้งแล้ว. ถ้าอาจจะให้สัตว์เหล่านั้น ซึ่งกำลังกินอยู่ให้ทั้งไปแล้วถือเอา, แม้เนื้อที่เป็นเดนนั้น ก็ควร. แต่ไม่ควร ถือเอา เพื่อประโยชน์แก่การคุ้มครองตน และเพื่อความเป็นผู้มีความเอ็นดูใน สัตว์อื่น.

ในเรื่องแจกข้าวสุก ของควรเคี้ยว ขนม อ้อย และผลมะพลับ มี วินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุอ้างบุกดลซึ่งไม่มีตัวว่า ท่านจงให้ส่วนแก่ภิกษุรูปอื่นอีก.

สองบทว่า อมูลกํ อคฺคเหสิ ความว่า เธอได้กล่าวมุสาวาท ถือ เอาส่วนที่ไม่มีตัวบุคคลเป็นมูลอย่างเดียว. เธอหาได้ถือเอาส่วนนั้นด้วยไถยจิต ไม่. เพราะเหตุนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่ตรัสถามว่า เธอมีจิตอย่างไร? ตรัสว่า เป็นปาจิตตีย์ จริงอยู่ เมื่อเธอกล่าวว่า ท่านจงให้ส่วนแก่ภิกษุอีกรูป หนึ่ง วัตถุแห่งปาราชิก ย่อมไม่ปรากฏ และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ ตรัสถามในฐานะเช่นนี้. แต่ถ้าคำนั้น จะพึงเป็นวัตถุแห่งปาราชิกไซร้, พึง ทราบว่า พึงเป็นทุกกฏเท่านั้น เหมือนเป็นทุกกฏ เพราะการตู่เอาสวน ฉะนั้น. ความสังเขป เรื่องนี้ มีเท่านี้.

ส่วนความพิสดาร พึงทราบดังนี้;- ก็สิ่งใดเป็นของมีอยู่แห่งสงฆ์ เท่านั้น เมื่อสิ่งนั้น อันภิกษุซึ่งสงฆ์สมมติ หรือมิได้สมมติก็ตาม แจกอยู่, เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้ส่วนแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง คืออ้างบุคคลที่ไม่มีตัว อย่างนั้น ถือเอาด้วยการกล่าวเท็จอย่างเดียว เป็นปาจิตตีย์ด้วย เป็นภัณฑไทย ด้วย. เมื่อภิกษุถือเอาด้วยไถยจิต ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ภิกษุรูปใด ไม่ได้อ้าง บุคคล กล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่ง แล้วถือเอาก็ดี นับพรรษาโกงถือ


ความคิดเห็น 158    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 234

เอาก็ดี ภิกษุรูปนั้น พึงปรับตามราคาของ. ส่วนสิ่งใด เป็นของพวกคฤหัสถ์ ที่เขาแจกถวายสงฆ์ในเรือน หรือในอาคารของคฤหัสถ์เหล่านั้น ครั้นเมื่อสิ่ง ของนั้น อันเจ้าของก็ดี ชนอื่นซึ่งเจ้าของวาน อย่างนี้ว่า ท่านจงถวายแก่ ภิกษุนี้ ก็ดี ถวายอยู่ แม้เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่ง แล้วถือ เอาด้วยไถยจิต ไม่เป็นทั้งปาราชิก ไม่เป็นทั้งภัณฑไทย. แต่เป็นภัณฑไทย แก่ภิกษุผู้ถือเอา ด้วยโกงพรรษา. เมื่อสิ่งของนั้น อันชนอื่นซึ่งเจ้าของมิได้ วาน อย่างนี้ว่า ท่านจงถวายแก่ภิกษุนี้ ถวายอยู่ เมื่อภิกษุอ้างบุคคลถือเอา ตามนัยก่อนนั่นแล เป็นปาจิตตีย์ด้วย เป็นภัณฑไทยด้วย เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่ง แล้วถือเอาด้วยไถยจิตก็ดี ถือเอาด้วยนับพรรษาโกง ก็ดี พึงปรับความราคาของ ก็วินิจฉัยนี้ใครๆ ก็อาจรู้ได้ในอรรถกถา ชื่อ กุรุนที, แต่ในอรรถกถาอื่นๆ รู้ได้ยาก ทั้งมีพิรุธด้วย.

สองบทว่า อมูลกํ อคฺคเหสิ ความว่า เมื่อพวกเจ้าของถวายภิกษุ ถือเอาได้.

หลายบทว่า อนาปตฺติ ภิกฺขุ ปาราชิกสฺส ความว่า สิ่งของที่ พวกเจ้าของถวายแล้ว ภิกษุถือเอาได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสไว้ว่า ภิกษุนั้น ไม่เป็นอาบัติ.

หลายบทว่า อาปตฺติ สมฺปชานมุสาวาเท ปาจิตฺติยสฺส ความว่า เพราะสัมปชานมุสาวาทที่ภิกษุรูปนั้นกล่าว พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงปรับเป็น ปาจิตตีย์ ดุจในเรื่องข้าวยาคูที่ปรุงด้วยของ ๓ อย่างข้างหน้า.

ส่วนในการถือเอา พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- อาหารมีข้าวสุกเป็นต้น ของสงฆ์ อันภิกษุซึ่งสงฆ์สมมติ หรือชนทั้งหลายมีอารามิกะเป็นต้น ซึ่งสงฆ์ สั่งไว้ กำลังถวาย และอาหารมีข้าวสุกเป็นต้น เป็นของพวกคฤหัสถ์ อัน


ความคิดเห็น 159    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 235

เจ้าของหรือชนอื่น ซึ่งเจ้าของวาน กำลังถวาย เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงให้ ส่วนแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง แล้วถือเอาเป็นภัณฑไทย. เมื่อภิกษุถือเอาอาหารมี ข้าวสุกเป็นต้นที่ชนอื่นกำลังถวาย พึงปรับตามราคาสิ่งของ เมื่ออาหารมีข้าวสุก เป็นต้นอันภิกษุซึ่งสงฆ์มิได้สมมติ หรือคนที่เจ้าของมิได้วาน ถวายอยู่ ภิกษุ เมื่อกล่าวว่า ท่านจงให้อีกส่วนหนึ่ง แล้วถือเอาก็ดี นับพรรษาโกง ถือเอาก็ดี พึงปรับตามราคาสิ่งของ ในขณะที่ยกส่วนนั้นขึ้นทีเดียว ดุจในปัตตจตุกกะ ฉะนั้น. อาหารมีข้าวสุกเป็นต้น ที่เหล่าชนนอกนี้ถวายอยู่ เมื่อภิกษุถือเอา ด้วยอาการอย่างนั้น เป็นภัณฑไทย. ส่วนสิ่งของๆ คฤหัสถ์ที่เจ้าของเขาวาน ไว้ว่า ท่านจงถวายแก่ภิกษุนี้ ก็ดี เจ้าของเขาถวายเองก็ดี ก็เป็นอันถวาย แล้ว ฉะนี้แล. ในอธิการว่าด้วยวัตถุมีข้าวสุกเป็นต้นนี้ มีสาระจากคำวินิจฉัย ใน อรรถกถาทั้งปวงเพียงเท่านี้.

ในเรื่องทั้งหลายทีเรื่องร้านขายข้าวสุกเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:- เรือน สำหรับหุงข้าวสวยขาย ชื่อโอทนิยฆระ (คือร้านขายข้าวสุก) เรือนสำหรับ แกงเนื้อขาย ชื่อสูนาฆระ * (คือร้านขายแกงเนื้อ). เรือนสำหรับเจียวทอด ของขบเคี้ยวขาย ชื่อปูวฆระ (คือร้านขายขนม). คำที่เหลือในเรื่องร้านขาย ข้าวสุกเป็นต้น มีปรากฏชัดแล้วในเรื่องบริขารนั่นแล ในเรื่องตั่ง มีวินิจฉัยดังนี้ ภิกษุรูปนั้น กำหนดหมายถุงไว้ แล้ว จึงให้ตั่งเลื่อน ป ด้วยคิดว่า เราจัก ถือเอาถุง ซึ่งมาถึงที่นี้. เพราะเหตุนั้น ในการเลื่อนตั่งไป อวหารจึงไม่มีแก่ภิกษุรูปนั้น แต่ท่านปรับเป็นปาราชิก ในการให้เลือนไปแล้วถือเอา จากโอกาสที่กำหนดหมายไว้ ก็ภิกษุเมื่อนำไป อย่างนั้น ถ้าไม่มีไถยจิตในตั่ง พระวินัยธรพึงให้ตีราคาถุง ปรับอาบัติ. ถ้ามี แม้ในตัวตั่ง ควรให้ราคาทั้ง ๒ อย่าง ปรับอาบัติ.


* บาลีเดิมเป็น สูนฆรํ.


ความคิดเห็น 160    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 236

๓ เรื่อง มีเรื่องฟูกเป็นต้น ปรากฏชัดแล้วทีเดียว.

ใน ๓ เรื่อง มีเรื่องการถือเอาด้วยวิสาสะเป็นต้น ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอา, เมื่อพวกเจ้าของให้นำมาคืน เป็นภัณฑไทย ส่วนของภิกษุ ผู้เข้าไปบิณฑบาต ภิกษุรูปที่ยังอยู่ภายในอุปจารสีมาเท่านั้นรับเอา จึงควร แต่ถ้าพวกทายก เผดียงแม้แก่พวกภิกษุผู้อยู่ภายนอกอุปจารว่า พวกท่านรับ เอาเถิด ขอรับ ภิกษุทั้งหลายมาแล้ว จักฉัน ด้วยคำเผดียงอย่างนั้น แม้ พวกภิกษุผู้อยู่ภายในบ้านจะรับเอา ก็ควร. คำที่เหลือในเรื่องทั้ง ๓ นี้ มีเนื้อ ความตื้นทั้งนั้น.

ใน ๗ เรื่อง มีเรื่องขโมยมะม่วงเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:- ไม่เป็น อาบัติ เพราะถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญา, เมื่อพวกเจ้าของให้นำมาคืน เป็น ภัณฑไทย, เพราะบริโภคด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก.

ในเรื่องทั้งหลาย มีเรื่องพวกขโมยลักมะม่วงเป็นต้นนั้น มีวินิจฉัย ดังต่อไป:- ทั้งพวกเจ้าของก็มีความอาลัย, ทั้งพวกโจรก็มีความอาลัย, เมื่อภิกษุฉัน ด้วยบังสุกุลสัญญา เป็นภัณฑไทย, เมื่อถือเอาด้วยไถยจิต เป็น อวหารในขณะที่ยกขึ้นนั้นเอง, ภิกษุนั้น อันพระวินัยธร พึงให้ตีราคาสิ่งของ ปรับอาบัติ. พวกเจ้าของยังมีความอาลัย แต่พวกโจรหมดความอาลัย ก็มีนัย เหมือนกันนี้. พวกเจ้าของหมดความอาลัย พวกโจรยังมีความอาลัย ซ่อนไว้ ในที่รกชัฏ แห่งใดแห่งหนึ่งด้วยคิดว่า จักถือเอาอีก ดังนี้ แล้วไป มีนัยเหมือน กันนี้. ทั้ง ๒ ฝ่าย หมดความอาลัย, เมื่อภิกษุขบฉันด้วยบังสุกุลสัญญา ไม่ เป็นอาบัติ, เมื่อขบฉันด้วยไถยจิต เป็นทุกกฏ.

ส่วนในมะม่วงเป็นต้น ของสงฆ์ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ผลไม้มีมะม่วง เป็นต้น ซึ่งเกิดอยู่ในสังฆาราม หรือที่เขานำมาถวายก็ตามที ซึ่งมีราคา ๕


ความคิดเห็น 161    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 237

มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก เมื่อภิกษุลักไป เป็นปาราชิก. ในปัจจันตชนบท เมื่อพวกชาวบ้านอพยพหนีไป เพราะอุปัทวะ คือโจร, พวกภิกษุ ก็ละทิ้งวิหารไป ทั้งที่ยังมีความอุตสาหะอยู่นั่นเอง ด้วยคิดว่า เมื่อชนบทสงบ ลงแล้ว พวกเราจักกลับมา. พวกภิกษุไปถึงวิหารเช่นนั้น คิดว่า ผลไม้ ทั้งหลายมีมะม่วงสุกเป็นต้น เป็นของที่เขาละทิ้งแล้ว จึงฉันด้วยบังสุกุลสัญญา ไม่เป็นอาบัติ, เมื่อฉันด้วยไถยจิต เป็นอวหาร. ภิกษุรูปนั้น อันพระวินัยธร พึงให้ตีราคาของ ปรับอาบัติ.

ส่วนในมหาปัจจรีและในสังเขปอรรถกถา ท่านกล่าวไว้โดยไม่แปลก กันว่า เมื่อภิกษุฉันผลไม้ น้อยใหญ่ในวัดร้าง ด้วยไถยจิต ไม่เป็นปาราชิก เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า ผลไม้ทั้งหลายในวัดร้าง เป็นของๆ พวกภิกษุ ที่มาแล้วๆ. ก็เหตุสักว่ามีความอุตสาหะเท่านั้น เป็นประมาณในผลไม้ที่เป็น ของๆ คณะ และที่เป็นของจำเพาะบุคคล. แต่ถ้าภิกษุให้ผลมะม่วงสุกเป็นต้น จากผลไม้ที่เป็นของคณะ หรือของบุคคลนั้น เพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์ ตระกูล ย่อมต้องทุกกฏ เพราะกุลทูสกสิกขาบท ภิกษุเมื่อให้ด้วยไถยจิต พึงปรับอาบัติตามราคา (สิ่งของ). แม้ในผลไม้ที่เป็นของสงฆ์ ก็มีนัยเหมือน ก้นนี้. เมื่อภิกษุให้ผลมะม่วงสุกเป็นต้น ที่เขากำหนดไว้ เพื่อประโยชน์แก่ เสนาสนะ เพื่อต้องการแก่การสงเคราะห์ตระกูล เป็นทุกกฏ, เมื่อให้เพราะ ความที่คนมีอิสระ เป็นถุลลัจจัย เมื่อให้ด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. ถ้าวัตถุ แห่งปาราชิกยังไม้พอ, พึงปรับอาบัติตามราคา (สิ่งของ). เมื่อภิกษุนั่งฉันอยู่ ภายนอกอุปจารสีมา เพราะความที่คนมีอิสระ ก็เป็นสินใช้. ผลไม้ที่ภิกษุเคาะ ระฆังประกาศเวลา แล้วขบฉันด้วยทำใน ใจว่า ของนี้ถึงแก่เรา ดังนี้ ก็เป็น อันขบฉันดีแล้ว. ผลไม้ที่ภิกษุไม่เคาะระฆัง เป็นแต่ประกาศเวลาอย่างเดียว


ความคิดเห็น 162    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 238

แล้ว ฉันก็ดี เคาะระฆังอย่างเดียว แต่ไม่ประกาศเวลา ฉันก็ดี ไม่เคาะทั้ง ระฆัง ไม่ประกาศทั้งเวลา ฉัน ก็ดี รู้ว่าไม่มีภิกษุเหล่าอื่นแล้ว ฉันด้วยคิดว่า ผลไม้นี้ถึงแก่เรา ดังนี้ก็ดี เป็นอันฉันดีแล้วเหมือนกัน.

เรื่องสวนดอกไม้ ๒ เรื่อง ปรากฏชัดแล้วทีเดียว.

ใน ๓ เรื่องของภิกษุผู้พูดตามคำบอก มีวินิจฉัยดังนี้:-

สองบทว่า วุตฺโต วชฺเชมิ ความว่า ผมเป็นผู้อันท่านบอกแล้ว จะบอกตามคำของท่าน.

หลายบทว่า อนาปตฺติ ภิกฺขุ ปาราชิกสฺส ความว่า ผ้าสาฎก อันพวกเจ้าของถวายแล้ว จึงไม่เป็นอาบัติ.

หลายบทว่า น จ ภิกฺขเว วุตฺโต วชฺเชมีติ วตฺตพฺโพ ความว่า ภิกษุรูปอื่น อันภิกษุอีกรูปหนึ่ง ไม่พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผมเป็นผู้อันท่านบอก แล้ว จะบอกตามคำของท่าน. ก็ภิกษุจะทำความกำหนดพูดว่า ผมจักถือเอา ผ้าสาฎกอันนี้ ตามคำของท่าน ควรอยู่.

สองบทว่า วุตฺโต วชฺเชหิ ความว่า ท่านเป็นผู้อันผมบอกแล้ว จงบอกตามคำของผม. คำที่เหลือออมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ภิกษุจะทำความ กำหนดพูดใน ๒ เรื่องแม้นี้ ก็ควร. จริงอยู่ ภิกษุย่อมเป็นผู้พ้นจากการข้อน ขอด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.

ในเรื่องซึ่งมีอยู่ท่ามกลาง แห่งเรื่องแก้วมณี ๓ เรื่อง มีวินิจฉัยดังนี้ :-

สองบทว่า นาหํ อกลฺลโก ความว่า ผมหาได้เป็นผู้อาพาธไม่ คำที่เหลือปรากฏชัดแล้วทีเดียว.

ในเรื่องสุกร ๒ เรื่อง พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- ชื่อว่า ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุรูปที่หนึ่ง เพราะค่าที่เธอเห็นว่า มันมีความหิวครอบงำ แล้วปล่อยไป


ความคิดเห็น 163    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 239

ด้วยความเป็นผู้มีกรุณา แม้โดยแท้, ถึงกระนั้น เมื่อพวกเจ้าของไม่ยินยอม ย่อมเป็นภัณฑไทย ควรจะนำสุกรที่คาย ที่ใหญ่เท่านั้นมาใช้ให้ หรือให้สิ่ง ของทีมีราคาเท่านั้นก็ได้. ถ้าเธอไม่เห็นพวกเจ้าของบ่วงแม้ในที่ไหนๆ พึง วางผ้ากาสาวะ หรือถาด ซึ่งมีราคาเท่านั้น ไว้ในที่ซึ่งพวกเจ้าของนั้นมาแล้ว จะเห็นได้โดยรอบแห่งบ่วง แล้วจึงไป. แต่เป็นปาราชิกแก่ภิกษุผู้ปล่อยไปถวาย ไถยจิตแท้. ก็บรรดาสุกรเหล่านั้น สุกรบางตัวเอาเท้าดึงบ่วง พอบ่วงขาดแล้ว ยืนอยู่ ด้วยกิริยายืน ซึ่งมีอันให้เคลื่อนจากฐานได้เป็นธรรมดา เหมือนเรือที่ ผูกไว้ที่กระแสน้ำเชี่ยวฉะนั้น บางตัวยืนอยู่ตามธรรมดาของตน บางตัวนอน. บางด้วยเป็นสัตว์อันบ่วงโกงมัดไว้แล้ว ที่ชื่อว่าบ่วงโกง ได้แก่ บ่วงที่มีไม้ คันธนู หรือขอ หรือท่อนไม้อื่นบางอย่าง ติดไว้ที่ปลาย, และเป็นบ่วงที่ คล้องไว้ที่ต้นไม้เป็นต้น ในที่ นั้นๆ กันมิให้สุกรเดินไปได้ ในสุกรเหล่านั้น สุกรที่ดึงบ่วงยืนอยู่ มีฐานเดียวเท่านั้น คือ ที่ผูกบ่วง จริงอยู่ สุกรนั้นเมื่อ บ่วงหลุด หรือพอบ่วงขาด ย่อมหนีไปได้ สุกรที่ยืนอยู่ตามธรรมคาของตน มีฐาน ๕ คือ ที่ผูก และเท้าทั้ง ๔ สุกรที่นอนอยู่ มีฐาน ๒ คือ ที่ผูก ๑ ที่นอน ๑. สุกรที่ติดบ่วง มันไปในที่ใดๆ ที่นั้นๆ แลเป็นฐาน, เพราะเหตุ นั้น ภิกษุ ๑๐ รูปก็ดี ๒๐ รูปก็ดี ๑๐๐ รูปก็ดี เมื่อปล่อยสุกรนั้นพ้นไปจาก ฐานนั้นๆ ย่อมต้องปาราชิก เหมือนภิกษุหลายรูป เห็นทาสคนเดียวเท่านั้น มาแล้วในที่นั้นๆ แล้วให้หนีไปเสีย ต้องปาราชิก ฉะนั้น. ส่วนการให้ สุกรทั้ง ๓ ข้างต้น ดิ้นรนไป และให้เคลื่อนจากฐาน พึงทราบตามนัยที่กล่าว ไวแล้ว ในกถาว่าด้วยสัตว์ ๔ เท้า. แม้เมื่อภิกษุให้ปล่อยสุกรที่สุนัขกัดไป ด้วยการุญญาธิบาย เป็นภัณฑไทย ด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. แต่ไม่เป็น อวหาร แก่ภิกษุผู้เดินสวนทางไป แล้วยังสุกรซึ่งยังไม่ทันถึงที่ตั้งบ่วง หรือที่


ความคิดเห็น 164    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 240

ใกล้สุนัข ให้หนีไปเสียก่อน. แม้ภิกษุรูปใด ให้เหยื่อและน้ำแก่สุกรที่ติดแล้ว ให้มันได้กำลังแล้ว ทำการตะเพิด ด้วยตั้งใจว่า มันจักตกใจ แล้วหนีไปเสีย, ถ้ามันหนีไป, ภิกษุนั้นต้องปาราชิก. แม้เมื่อภิกษุทำบ่วงให้ชำรุด แล้วไล่ให้ หนีไป ด้วยเสียงตะเพิด ก็มีนัยเหมือนกันนี้. ฝ่ายภิกษุใด ให้เหยื่อและน้ำ แล้วไปเสีย ด้วยทำในใจว่า มันจักได้กำลงแล้วหนีไปเสีย, ถ้ามันหนีไป, เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้น แม้เมื่อภิกษุทำบ่วงให้ชำรุดแล้วไปเสีย, ก็มีนัย เหมือนกันนี้. ภิกษุวางมีด หรือก่อไฟไว้ใกล้บ่วง ด้วยคิดว่า เมื่อบ่วงถูกมีด ตัดขาด หรือถูกไฟไหม้ มันจักหนีเอง. สุกรให้บ่วงเคลื่อนไปมา แล้วหนีไปได้ ในเมื่อบ่วงถูกตัดขาดหรือถูกไฟไหม้, เป็นภัณฑไทยแก่ภิกษุรูปนั้นโดยแท้. ภิกษุทำให้บ่วงพร้อมทั้งคันล้มลง, ภายหลังสุกรเหยียบย้ำบ่วงนั้นไปเสีย เป็น ภัณฑไทย. สุกรเป็นสัตว์ถูกหินฟ้าถล่มทั้งหลายทับแล้ว. เมื่อภิกษุใคร่จะให้ สุกรนั้นหนีไป จึงยกฟ้าถล่มขึ้นด้วยความกรุณา เป็นภัณฑไทย. ยกขึ้นด้วย ไถยจิต เป็นปาราชิก. ถ้าเมื่อฟ้าถล่มนั้น พอภิกษุยกขึ้นแล้ว สุกรยังไม่ไป ภายหลังจึงไป, เป็นภัณฑไทยเท่านั้น. ภิกษุยังฟ้าถล่มที่เขายกขึ้นค้างไว้ ให้ ตกลง, ภายหลังสุกรเหยียบฟ้าถล่มนั้น ไปเสีย เป็นภัณฑไทย. เมื่อภิกษุ ช่วยยกขึ้น แม้ซึ่งสุกรที่ตกหลุมพรางแล้ว ด้วยความกรุณา เป็นภัณฑไทย, ยกขึ้นด้วยไถยจิต เป็นปาราชิก. ภิกษุยังหลุมพรางให้เต็ม ให้ใช้ไม่ได้, ภายหลังสุกรเหยียบย้ำหลุมพรางนั้นไปเสีย เป็นภัณฑไทย, ภิกษุช่วยสุกรที่ ถูกหลาวแทงแล้ว ด้วยความกรุณา เป็นภัณฑไทย, ยกขึ้นด้วยไถยจิต เป็น ปาราชิก. ภิกษุซักหลาวทิ้งเสีย เป็นภัณฑไทย.

อนึ่ง เมื่อพวกชาวบ้านดักบ่วง หรือฟ้าถล่มไว้ในพื้นที่วัด ภิกษุควร ห้ามว่า ที่นี้เป็นสถานที่พึ่งอาศัยของพวกเนื้อ, พวกท่านอย่าทำอย่างนี้ในที่นี้


ความคิดเห็น 165    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 241

เลย ถ้าพวกชากล่าวว่า ท่านจงให้นำออกไปเสียขอรับ ภิกษุจะให้นำออก ไปเสีย ก็ควร. ถ้าเขานำออกไปเสียเอง เป็นความดีแท้. ถ้าเจ้าของเขาไม่นำ ออกไปเอง ทั้งไม่ยอมให้ผู้อื่นนำออก, จะขออารักขา แล้วให้นำออกเสีย ก็ควร. ในเวลารักษาข้าวกล้า พวกชาวบ้านย่อมทำบ่วง และเครื่องดักสัตว์ ทั้งหลาย มีฟ้าถล่มเป็นต้น ไว้ในนา ด้วยพูดว่า พวกเราจักรักษาข้าวกล้า กินเนื้อไปด้วย. ครั้นฤดูข้าวกล้าผ่านไปแล้ว เมื่อพวกเราไม่มีความอาลัย หลีกไป ภิกษุจะปล่อยสุกรที่ติด หรือที่ตกแล้ว ในบ่วงและฟ้าถล่มเป็นต้น นั้น ควรอยู่.

วินิจฉัยแม้ในเรื่องเนื้อ ๒ เรื่อง ก็เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในเรื่อง สุกรนั่นเอง. แม้ในเรื่องปลา ๒ เรื่อง ก็มีนัยเหมือนกันนี้.

ส่วนความแปลกกัน มีดังต่อไปนี้:- เมื่อภิกษุเปิดปากไซออก ภายหลังจึงแก้กระพุ้งออก หรือทำเป็นช่องไว้ที่ข้าง แล้วเคาะให้ปลาหนีออก ไปจากไซ เป็นปาราชิก เป็นปาราชิกแม้แก่ภิกษุผู้แสดงเมล็ดข้าวสุกนั่นแล ล่อปลาให้หนีไป. เมื่อยกปลาขึ้นพร้อมทั้งไซ ก็เป็นปาราชิ., ภิกษุเปิดปาก ไซออกอย่างเดียว ภายหลังจึงแก้กระพุ้งออก หรือทำเป็นช่องไว้, และปลา ทั้งหลายก็หนีไปตามธรรมดาของตน, เป็นภัณฑไทย. ภิกษุทำไว้อย่างนี้แล้ว จึงแสดงเมล็ดข้าวสุกล่อปลา ปลาทั้งหลายหนีออกไป เพื่อต้องการอาหาร, เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน ภิกษุเปิดปาก (ไซ) ออกแล้ว ภายหลังไม่ได้แก้ กระพุ้งออก ทั้งไม่ได้ทำเป็นช่องไว้ที่ข้าง เอาแต่เมล็ดข้าวสุกแสดงล่ออย่าง เดียว, ส่วนปลาทั้งหลาย เพราะถูกความหิวครอบงำ จึงเอาศีรษะกระแทก ทำช่องแล้ว หนีออกไป เพื่อต้องการอาหาร เป็นภัณฑไทยเหมือนกัน. ภิกษุเปิดปากไซเปล่าไว้ หรือภายหลังแก้กระพุ้งออก หรือทำเป็นช่องไว้,


ความคิดเห็น 166    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 242

ปลาทั้งหลายที่ว่ายมาแล้วๆ ถึงประตูแล้ว ก็หนีไปทางกระพุ้งและช่อง, เป็น ภัณฑไทยเหมือนกัน. ภิกษุจับไซเปล่าโยนไปไว้บนพุ่มไม้ เป็นภัณฑไทย เหมือนกัน ฉะนี้แล.

ภัณฑะบนยาน ก็เป็นเช่นกับภัณฑะในถุงที่วางไว้บนตั่ง.

ในเรื่องชิ้นเนื้อ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ถ้าภิกษุรับเอา (ชิ้นเนื้อ) ในอากาศ ที่ๆ ภิกษุรับเอานั่นเองเป็นฐาน. พึงกำหนดฐานนั้นด้วยอาการ ๖ แล้วทราบ การให้เคลื่อนจากฐาน. คำที่เหลือในเรืองชิ้นเนื้อนี้ และในเรื่องแพไม้ เรื่อง คนเลี้ยงโค กับเรื่องผ้าสาฎกของช่างย้อม พึงวินิจฉัยโดยนัยแห่งเรื่องมีเรื่อง พวกขโมยลักมะม่วงเป็นต้น.

ในเรื่องหม้อ มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุใดถือเอาเนยใสและน้ำมันเป็นต้น ซึ่งมีราคาไม่ถึงบาท ด้วยทำในใจว่า เราจักไม่ทำอย่างนี้อีก คงอยู่ในสังวร แม้ในวันที่สองเป็นต้น เมื่อเกิดความคิดขึ้นอีก ก็ทำการทอดธุระเหมือนอย่าง นั้นนั่นแล ขณะฉันก็ฉันเนยไสและน้ำมันเป็นต้นนั้นแม้ทั้งหมด ไม่เป็น ปาราชิกเลย, เธอย่อมต้องทุกกฏหรือถุลลัจจัย และเป็นภัณฑไทยด้วย. ภิกษุ แม้นี้ ก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก. ก็เมื่อภิกษุไม่ทำการทอดธุระ แต่ฉันเนยใสและน้ำมันเป็นต้นนั้น แม้ที่ละน้อยๆ ด้วยคงใจว่า เราจักฉัน ทุกวันๆ ดังนี้, ในวันใดมีราคาเต็มบาท, ในวันนั้นเป็นปาราชิก.

เรื่องชักชวนกันลัก พึงทราบตมนัยแห่งการวินิจฉัยที่กล่าวแล้วใน สังวิธาวหาร, เรื่องกำมือ พึงทราบตามนัยแห่งการวินิจฉัยที่กล่าวแล้วในเรื่อง ทั้งหลาย มีเรื่องร้านขายข้าวสุกเป็นต้น, เรื่องเนื้อเดน ๒ เรื่อง พึงทราบ


ความคิดเห็น 167    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 243

ตามนัยแห่งการวินิจฉัยที่กล่าวแล้ว ในเรื่องทั้งหลายมีเรื่องขโมยลักมะม่วง เป็นต้น เรื่องหญ้า ๒ เรื่อง มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.

ในเรื่องทั้งหลาย มีเรื่องให้แบ่งมะม่วงเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุเหล่านั้น ได้ไปยังอาวาสใกล้หมู่บานแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกำหนดจำนวนภิกษุไว้. พวกภิกษุผู้อยู่ในอาวาสแห่งนั้นนั่นแหละ แม้เมื่อจะฉันผลไม้น้อยใหญ่ ใน เมื่อพระอาอันตุกะเหล่านั้นมาแล้ว ไม่ได้บอกกัปปิยการกว่า พวกเธอจงถวาย ผลไม้ แก่พระเถระทั้งหลาย คราวนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า มะม่วง ของสงฆ์ ไม่ถึงแก่พวกกระผมหรือ? จึงให้เกาะระฆังแจกกัน ได้ถวายส่วน แก่ภิกษุเจ้าถิ่นแม้เหล่านี้ ตามลำดับพรรษา แม้ตนเองก็ฉัน. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสแก่พระอาคันตุกะเหล่านั้นว่า ภิกษุทั้งหลาย! เพื่อ ต้องการฉัน ไม่เป็นอาบัติ เพราะเหตุนั้น บัดนี้ ในอาวาสใด ภิกษุเจ้าของถิ่น ไม่ถวายแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ และเมื่อถึงหน้าผลไม้ เห็นว่าภิกษุอาคันตุกะ เหล่าอื่นไม่มี ตน เองก็ฉันเสีย ด้วยกิริยาที่เป็นโจร, การที่พวกภิกษุอาคันตุกะ เคาะระฆังขึ้นแล้ว แจกกันฉันในอาวาสเช่นนั้น ย่อมควร ส่วนในต้นไม้ใด พวกภิกษุเจ้าของถิ่นรักษาค้นไม้ทั้ง หลาย เมื่อถึงหน้าผลไม้ ก็แจกกันฉัน ทั้ง นำไปใช้ในปัจจัย ๔ โดยชอบ, พวกภิกษุอากันคุกะ ไม่มีอิสระในต้นไม้นั้น ต้นไม้แม้เหล่า ค ที่ทายกกำหนดถวายไว้ เพื่อประโยชน์แก่จีวร พวกภิกษุ อาคันตุกะ ไม่มีอิสระในต้นไม้แม้เหล่านั้น. แม้ในต้นไม้ทั้งหลาย ที่ทายก กำหนดถวายไว้ เพื่อประโยชน์แก่ปัจจัยที่เหลือ ก็มีนัยเหมือนกันนี้ ส่วนต้นไม้ เหล่าใด ที่ทายกไม่ได้กำหนดไว้อย่างนั้น และพวกภิกษุเจ้าถิ่น ก็รักษาปกครอง ต้นไม้เหล่านั้น ไว้ ทั้งฉันอยู่ด้วยกิริยาที่เป็นโจร * , ในต้นไม้เหล่านั้น พระ-


* ประโยชน์นี้ อัตถโยชนา ๑/๓๕๔ ... เนว รกฺขิตฺวา น โคปิตฺวา โจรกาย ปริภุญฺชนฺติ แปลว่า ... ทั้งไม่ได้รักษาไม่ได้คุ้มครอง ฉันด้วยกิริยาโจร.


ความคิดเห็น 168    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 244

อาคันตุกะทั้งหลาย ไม่ควรทั้งอยู่ในข้อกติกา ของพวกภิกษุเจ้าถิ่น ต้นไม้ เหล่าใด ที่ทายกถวายไว้เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่การบริโภคผล และพวกภิกษุ เจ้าถิ่น ก็รักษาปกกรองต้นไม้เหล่านั้นไว้ นำไปใช้สอยโดยชอบ, ในต้นไม้ เหล่านั้นนั่นแหละ พระอาคันตุกะทั้งหลาย ควรตั้งอยู่ในข้อกติกา ของพวก ภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้น. ส่วนในมหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุเมื่อฉันผลไม้ ที่ทายกกำหนด ถวายไว้เพื่อปัจจัย ๔ ด้วยไถยจิต พึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติ, เมื่อแจกกัน ฉันด้วยอำนาจการบริโภค เป็นภัณฑไทย, ก็บรรดาผลไม้เหล่านั้น เมื่อภิกษุ แจกกันฉันผลไม้ที่ทายกกำหนดไว้ เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ ด้วยอำนาจ การบริโภค เป็นถุลลัจจัยด้วย เป็นภัณฑไทยด้วย. ผลไม้ที่ทายกอุทิศถวายไว้ เพื่อประโยชน์แก่จีวร ควรน้อมเข้าไปใน จีวรเท่านั้น ถ้าเป็นวัดที่มีภิกษาหาได้โดยยาก ภิกษุทั้งหลาย ย่อมลำบากด้วย บิณฑบาต ส่วนจีวรหาได้ง่าย จะทำอปโลกนกรรมเพื่อความเห็นชอบแห่งสงฆ์ แล้วน้อมเข้าไปโนบิณฑบาต ก็ควร. เมื่อลำบากอยู่ด้วยเสนาสนะ หรือคิลานปัจจัย จะทำอปโลกนกรรมเพื่อความเห็นชอบแห่งสงฆ์ แล้วน้อมเข้าไปเพื่อ ประโยชน์แก่เสนาสนะและคิลานปัจจัยนั้น ก็ควร. แม้ในผลไม้ที่ทายกอุทิศ ถวายไว้ เพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาต และเพื่อประโยชน์แก่คิลานปัจจัย ก็มีนัย เหมือนกันนี้. ส่วนสิ่งของที่ทายกอุทิศถวายไว้ เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ เป็นครุภัณฑ์, ควรรักษาปกกรองสิ่งนั้นไว้ แล้วน้อมเข้าไปเพื่อประโยชน์แก่ เสนาสนะนั้นเท่านั้น. ก็ถ้าเป็นวัดที่ภิกษาหาได้โดยยาก ภิกษุทั้งหลายจะเลี้ยง อัตภาพให้เป็นไปด้วยบิณฑบาตไม่ได้, ในวัดหรือรัฐนี้ วิหารของพวกภิกษุผู้ อพยพไปในที่อื่น เพราะราชภัย โรคภัย และโจรภัยเป็นต้น ย่อมชำรุไป ,


ความคิดเห็น 169    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 245

ชนเหล่าอื่นย่อมทำต้นตาลและต้นมะพร้าวเป็นต้น ให้เสียหายไป, ส่วนภิกษุ อาศัยเสนาสนปัจจัยแล้ว ย่อมอาจเลี้ยงอัตภาพให้เป็นไปได้, ในกาลเห็นปานนี้ แม้จำหน่ายเสนาสนะแล้วบริโภค เพื่อประโยชน์แก่การรักษาเสนาสนะ พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แล้ว. เพราะฉะนั้น เว้นเสนาสนะที่ดีไว้ หนึ่งหลัง หรือสองหลัง เสนาสนะนอกนี้ ตั้งต้น แต่เสนาสนะเลวที่สุด จะจำหน่ายเพื่อ ประโยชน์แก่บิณฑบาต ก็ควร, แต่ไม่ควรน้อมเข้าไปทำให้วัตถุที่เป็นมูลเดิม ขาด. ส่วนในสวนที่ทายกกำหนดถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่ปัจจัย ๔ ไม่ควรทำ อปโลกนกรรม, แต่จะน้อมเข้าไปเพื่อประโยชน์แก่ปัจจัยที่ยังพร่องอยู่ ย่อม สมควร. ควรรักษาสวนไว้, แม้จะจ่ายสินจ้างไปให้รักษาไว้ ก็ควร ส่วนชน เหล่าใดได้รับสินจ้าง สร้างเรือนอยู่รักษาในสวนนั่นเอง, ถ้าชนเหล่านั้นถวาย มะพร้าว หรือผลตาลสุกแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มาแล้ว, ชนผู้รักษาสวนเหล่านั้น ย่อมได้เพื่อถวายผลไม้ เฉพาะที่สงฆ์อนุญาตแก่พวกเขาว่า พวกเธอจะกินผลไม้ มีประมาณเท่านี้ ได้ทุกวัน ดังนี้ การที่ภิกษุจะรับเอาผลไม้ของชนเหล่านั้น แม้ผู้ถวายมากยิ่งขึ้นไป กว่าผลไม้ที่สงฆ์อนุญาตนั้น ย่อมไม่ควร ส่วนผู้ใด ได้รับเช่าสวนแล้ว ย่อมถวายเฉพาะกัปปิยภัณฑ์เท่านั้นแก่สงฆ์ เพื่อประโยชน์ แก่ปัจจัย ๔, ผู้นี้ย่อมได้เพื่อถวายผลไม้แม้มาก. แม้สวนที่ทายกถวายไว้แก่ พระเจดีย์ เพื่อประโยชน์แก่ประทีป หรือเพื่อต้องการปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุด หักพัง สงฆ์ควรรักษาไว้, ถึงจะจ่ายสินจ้างไปบ้าง ก็ควรให้รักษาไว้ ก็แล ในสวนที่ทายกถวายไว้แก่พระเจดีย์นี้ จะจ่ายสินจ้างที่เป็นของเจดีย์บ้าง ที่เป็น ของสงฆ์บ้าง ควรอยู่. การถวายผลไม้ที่เกิดขึ้นในสวนนั้น (แก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้มาแล้วๆ) ของพวกชนผู้พักอยู่ ในสวนนั้นนั่นเอง รักษาสวนแม้นั้นอยู่ ด้วยสินจ้าง และของพวกชนผู้รับเช่าสวน แล้วถวายแค่กัปปิยภัณฑ์ (แก่สงฆ์) พึงทราบโดยนัยดังที่กล่าวแล้วนั้นนั่นแล.


ความคิดเห็น 170    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 246

ใน * คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ไม่ต้องอาบัติ เพราะคนรักษา ถวาย ซึ่งมีอยู่ในเรื่องทั้งหลาย มีเรื่องคนรักษามะม่วงเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-

ถามว่า คนรักษาถวายเท่าไร จึงควร? ถวายเท่าไร ไม่ควร?

แก้ว่า พระมหาสุมัตเถระ กล่าวไว้ก่อนว่า ผลไม้ใด ซึ่งคนรักษา กำหนดถวายด้วยคำว่า พระคุณเจ้าจงถือเอาผลไม้มีประมาณเท่านี้ ทุกวันๆ ผลไม้นั้นนั่นแหละย่อมควร, เขาถวายเกินไปกว่านั้นไม่ควร. ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวไว้ว่า หนังสือที่พวกคนรักษาเขียนไว้ หรือทำสัญญาเครื่องหมาย ถวายไว้ จะมีประโยชน์อะไร? คนรักษาเหล่านั้น ก็เป็นอิสระแห่งผลไม้ที่ เขาสละแล้วในมือของพวกเขา; เพราะเหตุนั้น ผลไม้ซึ่งคนรักษาเหล่านั้นถวาย แม้มากก็ควร.

ส่วนในอรรถกถากุรุนที ท่านกล่าวว่า พวกเด็กหนุ่มของชาวบ้าน ย่อมรักษาสวน หรือผลไม้น้อยใหญ่อย่างอื่นไว้, ผลไม้น้อยใหญ่ที่เด็กหนุ่ม เหล่านั้นถวาย ย่อมควร, แต่ภิกษุไม่ควรใช้ให้พวกเด็กนำมาแล้ว จึงรับ การ ถวายผลไม้ของชนผู้รับเช่ารักษาสวนของสงฆ์และของเจ้าเจดีย์นั่นแหละ ย่อมควร, การถวายของชนผู้รักษาด้วยสินจ้างเพียงส่วนของตน จึงควร.

ในมหาปัจจรีท่านกล่าวว่า พวกลูกจ้างผู้รักษาสวนของคฤหัสถ์ถวาย ผลไม้ใดแก่ภิกษุทั้งหลาย, ผลไม้นั้นย่อมควร พวกคนผู้รักษาสวนของภิกษุสงฆ์ แบ่งผลไม้ใดจากค่าจ้างของตนถวาย, ผลไม้นั้นก็สมควร, แม้ผู้ใด ได้รับค่าจ้าง แล้ว จึงรักษาสวนเพียงกึ่งหนึ่ง หรือต้นไม้ บางชนิดเท่านั้น, การถวายผลไม้ จากต้นไม้ที่ถึงแก่ตนนั่นเอง แม้ของผู้นั้น ก็ควร, แต่สำหรับชนผู้รับเช่า รักษาสวน จะถวายผลไม้ทั้งหมด ก็ควร. ก็คำที่ท่านกล่าวมานั่นทั้งหมด


* แปลตามอัตถโยชนา ๑/๓๕๕ - ๖.


ความคิดเห็น 171    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 247

ต่างกันแค่โดยพยัญชนะ โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกันนั่นเอง, เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาควรทราบความอธิบายแล้ว จึงถือเอา.

ในเรื่องไม้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-

หลายบทว่า ตาวกาลิโก อหํ ภควา ความว่า ภิกษุนั้นใคร่จะ กราบทูลว่า ข้าพระองค์มีความติดจะขอยืม พระพุทธเจ้าข้า! ดังนี้ จึงได้ กราบทูลว่า. คำว่า ตาวกาลิกจิตฺโต นี้ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ข้าพระพุทธเจ้า มีความคิดอย่างนี้ว่า จักนำมาคืนให้อีก. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอไม่เป็นอาบัติ เพราะขอยืม.

ก็ในเรื่องไม้นี้ มีวินิจฉัยที่พ้นจากบาลี ดังต่อไปนี้ :- ถ้าสงฆ์ใช้ให้ ภิกษุทำการงานของสงฆ์ จะเป็นโรงอุโบสถหรือหอฉันก็ตาม, ภิกษุต้องถาม การกสงฆ์เสียก่อน จึงควรขอยืมไป จากไม้ที่เป็นทัพสัมภาระ ซึ่งเก็บไว้เพื่อ สร้างโรงอุโบสถเป็นต้นนั้น. ส่วนทัพสัมภาระที่เป็นของสงฆ์อันใด ไม่ได้ คุ้มครองไว้ ย่อมเปียกในเมื่อฝนตก, ทั้งแห้งเพราะแดดเผา, ภิกษุจะนำ ทัพสัมภาระแม้ทั้งหมดนั้นมาสร้างเป็นที่อยู่ของตน ก็ควร, เมื่อสงฆ์ให้นำ คืนมา ควรตกลงยินยอมกันด้วยทัพสัมภาระ หรือด้วยมูลค่าอย่างอื่น. ถ้า ไม่อาจตกลงยินยอมกันได้, เธอควรจะกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! เสนาสนะ ที่ผมสร้างด้วยทัพสัมภาระของสงฆ์, ขอท่านทั้งหลายจงใช้สอย โดยบริโภค เป็นของสงฆ์เถิด. แต่ภิกษุนี้ เท่านั้น เป็นอิสระแห่งเสนาสนะแล. แม้ถ้าเสาหิน ก็ดี เสาไม้ก็ดี บานประตูก็ดี หน้าต่างก็ดี ไม่เพียงพอไซร้, จะขอยืมของสงฆ์ ทำให้เป็นปกติ ก็ควร. ในทัพสัมภาระแม้อย่างอื่น ก็มีนัยเหมือนกันนี้.

ในเรื่องน้ำ มีวินิจฉัยดังนี้ :- ในกาลใด น้ำย่อมเป็นของหาได้ยาก ในกาลนั้น เขาย่อมนำน้ำมาไกลโยชน์หนึ่งบ้าง กึ่งโยชน์บ้าง, ในน้ำที่เขา


ความคิดเห็น 172    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 248

หวงแหนเห็นปานนั้น ย่อมเป็นอวหาร, พวกชนย่อมปรุงข้าวต้มและข้าวสวย ให้สำเร็จได้แม้ด้วยน้ำใดที่เขานำมา หรือที่ขังอยู่ในชลาลัยทั้งหลาย มีสระ โปกขรณีเป็นต้น ทั้งทำเป็นน้ำดื่มและนำใช้อย่างเดียว หาได้ทำเป็นน้ำสำหรับ ใช้สอย อย่างเหลือเพื่อย่างอื่นไม่ เมื่อภิกษุถือเอาน้ำแม้นั้น ด้วยไถยจิต ย่อมเป็นอวหาร ส่วนภิกษุถือเอาน้ำหนึ่งหม้อ หรือสองหม้อ จากน้ำใด ย่อม ได้เพื่อล้างอาสนะ รดต้นโพธิ์ ทำการบูชาด้วยน้ำ (และ) เพื่อต้มนำย้อม ควรปฏิบัติในน้ำนั้น ด้วยอำนาจแห่งข้อกติกาของสงฆ์ทีเดียว ภิกษุผู้รับเอา น้ำมากเกินไป หรือใส่วัตถุทั้งหลาย มีดินเหนียวเป็นต้นปนลงด้วยไถยจิต พระวินัยธรพึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าของถิ่น ทำข้อ กติกาวัตรไว้อย่างมั่นคง ไม่ยอมให้ภิกษุเหล่าอื่นใช้ล้างสิ่งของ หรือใช้ย้อมผ้า แต่ตนเองถือเอาทำกิจทุกอย่าง เมื่อภิกษุเหล่าอื่นไม่เห็น พวกภิกษุอาคันตุกะ ไม่ต้องตั้งอยู่ในข้อ กติกาของภิกษุเจ้าถิ่น แหล่านั้น พึงใช้ล้างสิ่งของมีประมาณแท่ากับที่ภิกษุเจ้าของถิ่นใช้ล้าง. ถ้าสงฆ์สระโปกขรณี หรือมีบ่อันนำอยู่สอง สามแห่งไซร้ และสงฆ์ก็ทำข้อกติกาไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ควรสรงน้ำในสระ โปกขรณี และบ่อน้ำนี้, ควรรับเอาน้ำดื่มจากที่นี้, ควรทำการใช้สอยกิจทุก อย่าง ในสระโปกขรณีและบ่อน้ำนี้, พวกภิกษุอาคันตุกะควรทำกิจทั้งหมดด้วย ข้อ กติกาวัตรนั่นแล. ในสระโบกขรณีเป็นต้นต้นใด ไม่มีข้อกติกา, การใช้สอย กิจทุกอย่าง ในสระโปกขรณีเป็นต้นนั้น ย่อมควร ฉะนี้แล.

ในเรื่องดินเหนียว มีวินิจฉัยดังนี้:- ในที่ใด ดินเหนียวเป็นของ หาได้ยาก หรือดินเหนียว มีสีมีประการต่างๆ อันพวกชนขนมากองไว้ , ในที่นั้นแม้ดินเหนียวนิดหน่อย ก็มีราคาถึง ๕ มาสก; เพราะเหตุนั้น จึง เป็นไปปาราชิก. อนึ่ง เมื่อการงานของสงฆ์ และการงานในพระเจดีย์สำเร็จแล้ว


ความคิดเห็น 173    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 249

การที่ภิกษุถามสงฆ์เสียก่อน จึงถือเอาหรือขอยืมเอา ควรอยู่. ในปูนขาวก็ดี ในจิตรกรรมและวรรณกรรมก็ดี ก็มีนัยเหมือนกัน.

ในเรื่องหญ้าทั้งหลาย มีวินิจฉัยดังนี้ :- ในหญ้าที่ภิกษุเอาไฟเผา เป็นทุกกฏ เพราะไม่มีการให้เคลื่อนจากฐาน, แต่เป็นภัณฑไทย. สงฆ์รักษา พื้นที่ที่ปลูกหญ้าไว้ แล้วใช้หญ้านั้นมุงที่อยู่ของสงฆ์, บางคราวสงฆ์ย่อมไม่ อาจรักษาได้อีก. ครั้งนั้น มีภิกษุอีกรูปหนึ่ง รักษาไว้ด้วยม่งวัตรเป็นใหญ่ หญ้านั่น เป็นของสงฆ์เหมือนกัน ถ้าไม่มีใครรักษา สงฆ์ควรสั่งภิกษุรูปหนึ่ง ว่า ท่านจงช่วยรักษาให้ที, ถ้าเธอรูปนั้น ปรารถนาส่วนแบ่งไซร้, สงฆ์แม้ จะต้องเสียส่วนแบ่งให้ ก็ควรให้เธอรูปนั้นรักษา. ถ้าเธอขอเพิ่มส่วนแบ่งไซร้, สงฆ์ควรให้โดยแท้. ภิกษุขอเพิ่ม เติมขึ้นอีก สงฆ์ควรพูดว่า ท่านจงไป รักษา แล้ว เอาหญ้าทั้งหมด มุงเสนาสนุของตนเถิด. เพราะเหตุไร ไม่ควรให้ พร้อมทั้งพื้นที่ ที่เป็นครุภัณฑ์ ควรให้เพียงหญ้าเท่านั้น. เมื่อภิกษุรูปนั้น รักษาไว้แล้ว ใช้มุงเสนาสนะของตน, ถ้าสงฆ์ยังจุสามารถจะรักษาได้อีก, สงฆ์ควรจะพูดกะภิกษุรูปนั้นว่า ท่านไม่ต้องรักษา, สงฆ์จักรักษาเอง ดังนี้.

๗ เรื่อง มีเรื่องเตียงเป็นต้น ปรากฏชัดแล้วแล. ก็เมื่อภิกษุลักเสาหินก็ดี เสาไม้ก็ดี หรือสิ่งของอะไรๆ อย่างอื่น แม้ที่ไม่ได้มาในพระบาลี ซึ่งมีราคาถึงบาท เป็นปาราชิกเหมือนกัน.

ในเรือนสำหรับทำความเพียรเป็นต้น มีวินิจฉันดังนี้ :- แม้เมื่อภิกษุ พังฝาก็ดี กำแพงก็ดี แห่งสถานที่มีบริเวณเป็นต้น ซึ่งถูกเจ้าของเขาทอดทิ้ง เรี่ยราดไว้ แล้วลักเอาทัพสัมภาระมีอิฐเป็นต้นไป ก็มีนัยนั่นเหมือนกัน เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ภิกษุทั้งหลาย บางคราวย่อมอยู่ครอบครอง


ความคิดเห็น 174    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 250

เสนาสนะ ที่ชื่อว่าเป็นของสงฆ์ บางคราวก็ไม่อยู่ครอบครอง. แม้เมื่อภิกษุ ลักเอาบริขารบางอย่าง ในสถานที่ทั้งหลาย มีวัดที่ถูกทอดทิ้งแล้วเป็นต้น ใน เมื่อชาวชนบทอพยพหนีไป เพราะโจรภัยในชายแดน ก็มีนัยนั่นเหมือนกัน. ส่วนภิกษุเหล่าใดนำทัพสัมภาระไปใช้ชั่วคราว จากวัดที่เขาทอดทิ้งแล้วนั้น และในเมื่อวัดมีภิกษุกลับมาอยู่ ภิกษุทั้งหลาย สั่งภิกษุเหล่านั้นให้นำมาคืน ควรให้คืน. แม้ถ้าเธอทั้งหลาย นำสัมภาระไม้เป็นต้น จากวัดที่เขาทอดทิ้ง แล้วนั้น มาสร้างเป็นเสนาสนะ, สิ่งของที่พวกเธอนำมานั้น หรือเสนาสนะที่ มีราคาเท่ากับสิ่งของนั้น ควรให้คืนเหมือนกัน. เมื่อชาวชนบท ยังไม่ตัด ความอาลัย อพยพไป ด้วยคิดว่า พวกเราจักกลับมาอยู่ ครอบครองอีก, เสนาสนะที่เป็นของคณะหรือเป็นของบุคคล เป็นอันเขายังถือกรรมสิทธิ์อยู่. ถ้าเขา เหล่านั้นอนุญาตให้, ไม่มีกิจด้วยการทำคืน. ส่วนทัพสัมภาระของสงฆ์ จัดเป็นกรุภัณฑ์ เพราะฉะนั้น ควรจัดการให้คืนเหมือนกัน เรื่องเครื่องใช้สอย ในวิหารมีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น

ในพระพุทธานุญาตนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นำไป ใช้ได้ชั่วคราว ดังนี้ มีวินิจฉัยดังนี้ ภิกษุใดยืมเตียงหรือตั่งของสงฆ์ไป ใช้สอยโดยการใช้สอยอย่างของสงฆ์ หนึ่งเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง ในสถาน ที่ผาสุกของตน เมื่อภิกษุทั้งหลายผู้แก่กว่ามาแล้วก็ถวาย, ไม่นำกลับคืน. เมื่อ เตียงและตั่งนั้น หายไปบ้าง ชำรุดไปบ้าง คนอื่นลักไปโดยความเป็นขโมย บ้าง ย่อมไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุรูปนั้น. แต่เมื่อเธออยู่แล้วจะไป ควรจะเก็บ ไว้ในที่เติม. ส่วนภิกษุใดใช้สอย โดยการใช้สอยเป็นของบุคคล ไม่ได้ถวาย แก่ภิกษุทั้งหลายผู้แก่กวา ซึ่งมาแล้วๆ (เมื่อเตียงและตั่งนั้นเสียหายไปบ้าง ชำรุดไปบ้าง คนอื่นลักไปเคยความเป็นขโมยบ้าง) ย่อมเป็นสินใช้แก่ภิกษุรูป


ความคิดเห็น 175    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 251

นั้น. ในสังเขปอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า ก็ภิกษุผู้นำไปสู่อาวาสอื่นแล้วใช้สอย ถ้าในอาวาสนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า มาบังกับให้ภิกษุนั้นออกไปเสีย ควรพูดว่า ผมนำเตียงและตั่งนี้ มาจากอาวาสชื่อโน้น, ผมจะไป ผมจ้าจัดเตียงและตั่ง นั้นให้เป็นปกติ. ถ้าภิกษุผู้แก่กว่านั้น พูดว่า ข้าพเจ้าจักจัดให้เป็นปกติเอง, แม้จะทำให้เป็นภาระของภิกษุผู้เฒ่านั้น ไปเสีย ก็ควร.

ในเรื่องเมืองจัมปา มีวินิจฉัยดังนี้ :- ข้าวยาคูที่พวกชนใส่อปรัณชาติชนิดเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมกับน้ำมันงา และข้าวสาร แล้วปรุงด้วย วัตถุ ๓ อย่าง คือ น้ำมันงา ข้าวสาร และถั่วเขียว, หรือน้ำมันงา ข้าวสาร และถั่ว ราชมาษ, หรือนำมันงา ข้าวสาร และเยื่อถั่วพู ชื่อว่า เตกฏุละ * (ข้าวยาคูปรุงด้วยวัตถุ ๓ อย่าง). ได้ยินว่า พวกชนย่อมประกอบปรุงข้าวยาคู ชื่อ เตกฏุละ นั่นด้วยวัตถุ ๓ อย่าง มีเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด เป็นต้นเหล่านี้ ในน้ำนมที่เดือดด้วยน้ำ ๔ ส่วน.

ในเรื่องเมืองราชคฤห์ มีวินิจฉัยดังนี้:- ขนมที่มีรสดียิ่ง ท่านเรียกว่า ขนมรวงผึ้ง อาจารย์บางพวกกล่าวว่า รวงผึ้ง บ้าง. คำที่เหลือ แม้ใน ๒ เรื่องนี้ ก็พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในเรื่องแจกข้าวสุกนั่นแล้ว.

ในเรื่องพระอัชชุกะ มีวินิจฉัยดังนี้ :-

บทว่า เอตทโวจ ความว่า คฤหบดีนั้นเป็นไข้ ได้สั่งไว้แล้ว.

หลายบทว่า อายสฺมา อุปาลิ อายสฺนโต อชฺชุกสฺส ปกฺโข ความว่า ท่านพระอุบาลี หาใช่เป็นฝักฝ่าย (ของท่านพระอัชชกะนั้น) ด้วย อำนาจถึงความลำเอียงไม่ โดยที่แท้ บัณฑิตพึงทราบว่า พระเถระเป็นฝักฝ่าย (ของท่านพระอัชชุกะนั้น) ด้วยความอนุเคราะห์ผู้เป็นลัชชี และอนุเคราะห์


* บาลีเดิมเป็น เตกฏุลฺล.


ความคิดเห็น 176    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 252

พระวินัย เพราะรู้ว่าท่านไม่เป็นอาบัติ. คำที่เหลือในเรื่องพระอัชชุกะนี้ มี เนื้อความตื้นทั้งนั้น.

ในเรื่องเมืองพาราณสี มีวินิจฉัยดังนี้:-.

สองบทว่า โจเรหิ อุปฺปทฺทุตํ ความว่า ถูกพวกโจรปล้น แล้ว.

หลายบทว่า อิทฺธิยา อาเนตฺวา ปาสาเท เปสิ ความว่า ได้ ยินว่า พระเถระได้เห็นสกุลนั้น เพียบพร้อมอยู่ด้วยลูกศรคือความโศก วนเวียน กลับไปกลับมาอยู่ จึงได้อธิษฐานปราสาทของตนเหล่านั้นแล ด้วยฤทธิ์ของ ตนว่า จงปรากฏมีในที่ใกล้เด็กทั้งหลาย โดยความอนุเคราะห์ธรรม เพื่อความ กรุณา เพื่อประโยชน์แก่การตามรักษาความเลื่อมใสแห่งสกุลนั้น. เด็กทั้ง ๒ ก็จำได้ว่า ปราสาทของพวกเรา จึงได้ขึ้นไป. ลำดับนั้นพระเถระได้คลายฤทธิ์ แล้ว. แม้ปราสาทก็ได้ตั้งอยู่ในที่ของตนตามเดิม. แต่พระธรรมสังคาหกาจารย์ ทั้งหลาย กล่าวไว้ด้วยอำนาจโวหารว่า พรเถระนำเด็ก ๒ นั้นมาด้วยฤทธิ์ แล้วพักไว้ในปราสาท.

บทว่า อิทฺธิวิสเย คือ ไม่เป็นอาบัติ เพราะอธิษฐานฤทธิ์เช่นนี้. ส่วนฤทธิ์ คือการแผลต่างๆ ย่อมไม่ควร ฉะนี้และ. ๒ เรื่องในที่สุด มีเนื้อ ความตื้นทั้งนั้นแล.

จบทุติยปาราชิกวรรณนา ในวินัยสังวรรณนา

ชื่อสมันตปาสาทิกา

[คาถาสรูปทุติยปาราชิกสิกขาบท]

ในทุติยปาราชิกสิกขาบทนี้ มีอนุศาสนี ดังต่อไปนี้

ทุติยปาราชิกสิกขาบทนี้ใด อันพระ ชินเจ้าผู้ไม่เป็นที่ ๒ มีกิเลสอันพ่ายแพ้แล้ว


ความคิดเห็น 177    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 253

ทรงประกาศแล้วในพระศาสนานี้, สิกขาบท อื่นไรๆ ที่มีนัยอันซับซ้อนมากมาย มีเนื้อ ความและวินิจฉัยลึกซึ่ง เสมอด้วยทุติยปาราชิกสิกขาบทนั้น ย่อมไม่มี. เพราะเหตุ นั้น เมื่อเรื่องหยั่งลงแล้ว ภิกษุผู้รู้ทั่วถึง พระวินัย จะทำการวินิจฉัยในเรื่องที่หยั่งลง แล้วนี้ ด้วยความอนุเคราะห์พระวินัย พึง พิจารณาพระบาลีและอรรถกถาพร้อมทั้ง อธิบาย โดยถ้วนถี่ อย่าเป็นผู้ประมาท ทำ การวินิจฉัยเถิด. ในกาลไหนๆ ไม่พึงทำ ความอาจหาญในการซื้ออาบัติ, ควรใส่ใจว่า เราจักเห็นอนาบัติ. อนึ่ง แม้เห็นอาบัติแล้ว อย่าเพ่อพูดเพรื่อไปก่อน พึงใคร่ครวญและ หารือกับท่านผู้รู้ทั้งหลายแล้ว จึงปรับอาบัติ นั้น. อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็น ปุถุชนในศาสนานี้ ย่อมเคลื่อนจากคุณ คือ ความเป็นสมณะ ด้วยอำนาจแห่งจิต ที่มัก กลับกลอกเร็ว ในเพราะเรื่องแม้ที่ควร. เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้เฉลียวฉลาด เมื่อเล็ง เห็นบริขารของผู้อื่น เป็นเหมือนงูมีพิษร้าย และเหมือนไฟ พึงจับต้องเถิด.