พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง ควรอธิบายอย่างไรให้เขาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิญญาตนว่า เป็นชาวพุทธก็คือผู้ที่ศรัทธา คือเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ พระธรรม เทศนาที่พระองค์ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ประกอบด้วยเหตุผลพิสูจน์ได้ พระ- ไตรปิฎกคือคัมภีร์ที่จารึกพระธรรมของพระพุทธองค์ และในพระไตรปิฎกมีกล่าวกรรม และผลของกรรม ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นที่เสวยผลของกรรมดี กรรมชั่ว การเกิดสืบต่อกัน ของขันธ์ อายตนะ เป็นต้น ชื่อว่าสังสารวัฏฏ์ ในชาตินี้ก็มีการเกิดสืบต่อกันอยู่จึงมี วันนี้ เมื่อวานนี้ สัปดาห์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ๑๐ ปีที่แล้ว ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ - ๑๐๐ ปีที่แล้ว ก็มี และถอยไปเรื่อยๆ อีกก็คือ ชาติที่แล้ว ส่วนอนาคตก็คือการเกิดสืบ ต่อของนามรูปที่เรียกว่า ขันธ์ เป็นต้น นั่นเอง ที่สืบต่อจากขณะนี้ก็คือ เย็นนี้ก็มี พรุ่งนี้ ก็มี สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ๑๐ ๒๐ ๓๐ ๔๐ ๕๐ - ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็มี เพราะยังมี เหตุและปัจจัยให้เกิดขันธ์ ขันธ์ก็ยังเกิดอีกต่อไป เป็น ๒๐๐ ๕๐๐ พันปี หมื่นปี แสนปี ล้านปีข้างหน้าก็มี นี่คือหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ประกอบด้วยเหตุและผล การ ที่เขาไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า นั่นหมายถึงการไม่เชื่อเหตุและผล ไม่เชื่อคำสอนของพระ- อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้
[เล่มที่ 22] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 342
มิจฉาทิฏฐิ ๑๐
[๒๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฏฐิเป็นไฉน? คือ
ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ๑ ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล ๑สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล ๑ ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี ๑ โลกนี้ไม่มี ๑ โลกหน้าไม่มี ๑ มารดาไม่มี (คุณ) ๑ บิดาไม่มี (คุณ) ๑ สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี ๑ สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินไปชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี ๑ นี้มิจฉาทิฏฐิ
[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 331
เชิญคลิกอ่านที่...
ระลึกชาติก่อนได้
[เล่มที่ 12] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 220
เชิญคลิกอ่านที่...
การจุติและการเกิดขึ้นของสัตว์ทั้งหลาย
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 152
เชิญคลิกอ่านที่...
การจองจำ ๕ ประการ
หนูว่า ถ้าคนที่ไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง ยกพระสูตรให้เขาดู เขาก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ ในยุคดิจิตอลแบบนี้ คนเชื่อแต่วิทยาศาสตร์ เชื่อแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ คนที่ไม่เคารพธรรม ไม่เชื่อเรื่องโลกนี้ โลกหน้า หนทางเดียวที่จะทำให้เขาเชื่อ คือ คนมีอภิญญาที่ทำนาย ช่วงชีวิตในอดีตของเขาให้ถูก แล้วย้อนไปว่า ชาติก่อนเคยทำกรรมอะไรไว้ จึงได้รับ วิบากแบบนี้ เมื่อเขาศรัทธาแล้ว เขาจะรู้เองว่าชาติก่อนมี ชาตินี้มี ชาติต่อไปต้องมี แน่นอน
ถ้าชาติหน้าไม่มี แล้วชาตินี้มาจากไหนค่ะ ต้องค่อยๆ พิจารณาด้วยเหตุผล ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุจึงเกิด
ผู้เป็นบัณฑิตเป็นผู้มีจิตอ่อนน้อมไปสู่ความเห็นถูก ไม่มีจิตแข็งกระด้าง มีเหตุมีผล ย่อมรับฟังด้วยดี โดยการค่อยๆ คิดพิจารณาในสิ่งที่ตนได้ยินได้ฟังนั้น หากพิสูจน์ใน เหตุผลนั้นได้ก็เชื่อฟัง ไม่คัดค้าน คนพาลย่อมคัดค้านในสิ่งที่เขายังไม่รู้ ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้ฟังมาก่อน ย่อมเป็นผู้ได้ชื่อว่า ไม่มีเหตุผล เมื่อไม่สามารถเกื้อกูลกันได้ ก็พึง เดินจากไปเสีย อย่าทำให้เขาเกิดอกุศลจิตคือความโกรธไม่พึงพอใจอีกเลย ที่ดีที่สุด ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเตือนไว้เสมอแม้ใน ปัจฉิมโอวาท ว่า "สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หมายถึง ให้เป็นผู้หมั่นเจริญสติ (ระลึกรู้สภาพ ธรรมที่กำลังปรากฎ) เพราะธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้นแล้ว ดับทันที (อย่างรวดเร็ว) อันเป็นทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ นี่คือของจริงในชาตินี้ เห็นอะไรใน ขณะนี้ ไม่ใช่เห็นในขณะที่ผ่านมา หรือเมื่อวาน เมื่อปีก่อน เมื่อ 10 ปีก่อน หรือเมื่อชาติ ก่อน เห็นขณะต่อไปจะเป็นอะไรก็ไม่มีใครทราบได้ วันพรุ่งนี้จะเห็นอะไรใครจะรู้ ปีหน้า หรือชาติหน้าจะได้เห็นอะไรอีก แล้วแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น อาจต้องเป็นคนตาบอด ไม่สามารถเห็นอะไรได้อีกเลยก็เป็นได้ ซึ่งเป็นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ผลของกรรม คือ ต้องมองไม่เห็น หากมีกรรมเพียงเล็กน้อยก็ไม่เห็นเพียงชั่วขณะ หรือไม่นานก็กลับมา เห็นอีกได้ เพราะกุศลกรรมเป็นปัจจัยอีกเช่นกัน ถ้ากรรมให้ผลไม่ได้ ทุกคนทั้งโลกต้องไม่มีความแตกต่างกันเลย แต่เพราะจิตที่มีสังขารขันธ์เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้ แตกต่างกัน ทำบุญกรรมไม่เหมือนกัน เกิดมาพ่อแม่ให้ทุกอย่างเท่าๆ กันหมด แต่ลูก ก็ยังมียังได้ไม่เหมือนกันอยู่ดี เพราะกรรมของเขาที่ทำมาแล้ว ทั้งชาตินี้และชาติที่แล้ว มาแสนโกฏิกัปป์นับไม่ถ้วน
ปุถุชน (คนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส) ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาด ในอริยธรรม ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม (ธรรมของสัตบุรุษ 7 ประการ) ย่อมไม่พ้นไปจาก ทุกข์ ไม่อาจปลดเปลื้องทุกข์ได้ ขออนุโมทนากับทุกท่านที่มีจิตมั่นคง เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพึงเป็นผู้ปฏิบัติธรรมะสมควรแก่ธรรมะเถิด
...สาธุ...
ขออนุโมทนาครับ