[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 273
สุตตนิบาต
จูฬวรรคที่ ๒
กิงสีลสูตรที่ ๙
ว่าด้วยบรรลุประโยชน์สูงสุดด้วยปกติอย่างไร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 273
กิงสีลสูตรที่ ๙
ว่าด้วยบรรลุประโยชน์สูงสุดด้วยปกติอย่างไร
ท่านพระสารีบุตรทูลถามด้วยคาถาว่า
[๓๒๖] นรชนพึงมีปกติอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร พึงพอกพูนกรรมเป็นไฉน จึงจะเป็นผู้ดำรงอยู่โดยชอบ และพึงบรรลุถึงประโยชน์อันสูงสุดได้ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
นรชนพึงเป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญ ไม่ริษยา และเมื่อไปหาครูก็พึงรู้จักกาล พึงรู้จักขณะ ฟังธรรมมีกถาที่ครูกล่าวแล้ว พึงฟังสุภาษิตโดยเคารพ.
พึงไปหาครูผู้นั่งอยู่ในเสนาสนะของตนตามกาล ทำมานะดุจเสาให้พินาศ พึงประพฤติอ่อนน้อม พึงระลึกถึงเนื้อความแห่งภาษิต ธรรมคือบาลี ศีล พรหมจรรย์ และพึงประพฤติโดยเอื้อเฟื้อด้วยดี.
นรชนมีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม ตั้งอยู่ในธรรม รู้จักวินิจฉัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 274
ธรรม ไม่พึงประพฤติถ้อยคำที่ประทุษร้ายธรรมเลย พึงให้กาลสิ้นไปด้วยภาษิตที่แท้.
นรชนละความรื่นเริง การพูดกระซิบ ความร่ำไร ความประทุษร้าย ความหลอกลวงที่ทำด้วยมารยา ความยินดี ความถือตัว ความแข่งดี ความหยาบคาย และความหมกมุ่นด้วยกิเลสดุจน้ำฝาด พึงเป็นผู้ปราศจากความมัวเมา ดำรงตนมั่น เที่ยวไป.
นรชนเช่นนี้ รู้แจ้งสุภาษิตที่เป็นสาระ รู้แจ้งสูตรและสมาธิที่เป็นสาระ ปัญญาและสุตะ ย่อมไม่เจริญแก่นรชนผู้เป็นคนผลุนผลัน เป็นคนประมาท.
ส่วนนรชนเหล่าใด ยินดีแล้วในธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว นรชนเหล่านั้น เป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ที่เหลือด้วยวาจา ด้วยใจ และการงาน นรชนเหล่านั้น ดำรงอยู่ด้วยดีแล้วในสันติ โสรัจจะ และสมาธิ ได้บรรลุถึงธรรมอันเป็นสาระแห่งสติ และปัญญา.
จบกิงสีลสูตรที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 275
อรรถกถากิงสีลสูตรที่ ๙
กิงสีลสูตร มีคำเริ่มต้นว่า กึสีโล ดังนี้.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเถิดขึ้นเป็นอย่างไร?
ตอบว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นดังต่อไปนี้ : -
สหายฆราวาสของพระสารีบุตรผู้มีอายุคนหนึ่ง เป็นบุตรของพราหมณ์ ซึ่งเป็นสหายของวังคันตพราหมณ์ ผู้เป็นบิดาของพระเถระนั้นเอง บริจาคทรัพย์ ๕๖๐ โกฏิ แล้วบวชในสำนักของพระสารีบุตรเถระผู้มีอายุ เรียนแล้วซึ่งพุทธวจนะทั้งสิ้น พระเถระได้โอวาทแล้ว ได้ให้กรรมฐานแก่ท่านโดยมาก พระภิกษุนั้นก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษด้วยกรรมฐานนั้นได้ ต่อจากนั้นพระเถระทราบว่า ภิกษุรูปนี้เป็นพุทธเวไนย ดังนี้แล้ว จึงได้พาพระภิกษุนั้นมายังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามว่า นรชนเป็นผู้มีศีลเช่นไรเป็นต้น ไม่เจาะจงบุคคล ปรารภภิกษุนั้น ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงเรื่องอื่น จากเรื่องที่พระสารีบุตรถามนั้น แก่พระสารีบุตรนั้น.
คำว่า กึสีโล ในพระคาถานั้น ความว่า ประกอบแล้วด้วยจารีตศีลเช่นไร หรือว่าเป็นผู้มีปกติเช่นไร.
บทว่า กึสมาจาโร ได้แก่ ประกอบด้วยความประพฤติเช่นไร.
บาทคาถาว่า กานิ กมฺมานิ พฺรูหยํ ความว่า กระทำกรรมทั้งหลาย มีกายกรรมเป็นต้นอย่างไร ให้เจริญอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 276
บาทพระคาถาว่า นโร สมฺมา นิวิฏฺสฺส ความว่า นระเป็นผู้ยินดีแล้ว คือว่า พึงเป็นผู้ดำรงอยู่แล้วโดยชอบในพระศาสนา.
บาทพระคาถาว่า อุตฺตมตฺถญฺจ ปาปุเณ มีคำอธิบายว่า และพึงบรรลุพระอรหัต อันเป็นประโยชน์สูงสุดกว่าประโยชน์ทั้งปวง.
ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรำพึงอยู่ว่า สารีบุตรบวชแล้วได้กึ่งเดือน ก็บรรลุสาวกบารมีญาณ เพราะเหตุไรจึงถามปุถุชนปัญหาอันเป็นอาทิกัมมิกะจึงทรงทราบว่า พระสารีบุตรทูลถามปรารภ สัทธิวิหาริก จึงไม่ได้ ทรงจำแนกจารีตศีล ที่พระสารีบุตรกล่าวด้วยคำถามเลย เมื่อจะทรงแสดงธรรมด้วยสามารถสัปปายะแก่ภิกษุนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า วุฑฺฒาปจายี ดังนี้เป็นต้น วุฑฒบุคคล ทั้งหลายในคำว่า วุฑฺฒาปจายี นั้นมี ๔ จำพวก คือ ปัญญาวุฑฒบุคคล ๑ คุณวุฑฒบุคคล ๑ ชาติวุฑบุคคล ๑ วัยวุฑฒบุคคล ๑.
จริงอยู่ ภิกษุที่เป็นพหูสูต แม้โดยกำเนิดจะเป็นคนหนุ่มก็ตาม ก็ชื่อว่า ปัญญาวุฑฒะได้ เพราะเป็นผู้เจริญแล้ว ด้วยปัญญา คือ พาหุสัจจะในสำนัก (ในระหว่าง) แห่งภิกษุแก่ผู้มีการศึกษาน้อยทั้งหลาย ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ทั้งหลายเรียนอยู่ซึ่งพุทธวจนะ ในสำนักของภิกษุหนุ่มนั้น และหวังอยู่ซึ่งโอวาท การวินิจฉัยความ และการแก้ปัญหาทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุหนึ่งที่ถึงพร้อมด้วยอธิคม (บรรลุคุณวิเศษมีฌานและมรรคผลเป็นต้น) ชื่อว่า คุณวุฑฒะ ผู้เจริญโดยคุณ ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ทั้งหลาย ดำรงอยู่ในโอวาทของภิกษุหนุ่มนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมบรรลุอรหัตตผลได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 277
อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ แม้ทรงพระเยาว์ เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับมุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ ชื่อว่า ชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ.
ส่วนคนที่เกิดก่อนทุกจำพวก ชื่อว่า วัยวุฑฒะ ผู้เจริญโดยวัย.
ในบรรดาวุฑฒบุคคล ๔ จำพวกเหล่านั้น เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียแล้ว ใครๆ ผู้จะเสมอด้วยพระสารีบุตรเถระในทั้งปัญญาย่อมไม่มี เพราะเหตุที่ท่านได้บรรลุสาวกบารมีญาณทั้งปวง พร้อมด้วยคุณทั้งหลายในเวลาครึ่ง เดือน พระสารีบุตรนั้น แม้โดยชาติสกุล ก็อุบัติแล้วในสกุลพราหมณ์มหาศาล พระสารีบุตรนั้น แม้จะเสมอกันโดยวัยกับภิกษุนั้น (ผู้เป็นสหายของท่าน) ก็ชื่อว่าเจริญแล้ว ด้วยเหตุทั้ง ๓ ประการเหล่านี้ ส่วนในพระคาถานี้พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า วุฑฺฒาปจายี ทรงหมายเอาการที่พระสารีบุตรนั้น เป็นผู้เจริญแล้ว ด้วยปัญญาวุฒิและคุณวุฒิทั้งหลายนั่นเอง บุคคลจึงควรกระทำความยำเกรงต่อวุฑฒบุคคลทั้งหลายเช่นนั้น บุคคลพึงเป็นผู้ชื่อว่าไม่ริษยา เพราะปราศจากความริษยาในอิฏฐผลทั้งหลายมีลาภเป็นต้น ของวุฑฒบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแล เพราะฉะนั้น เนื้อความนี้จึงเป็นการอธิบายบทต้น.
ส่วนในคำว่า กาลญฺญู จสฺส นี้มีอธิบายว่า บุคคลเมื่อราคะบังเกิดขึ้นแล้ว แม้ไปหาครูทั้งหลายอยู่ เพื่อจะบรรเทาราคะนั้น ก็ชื่อว่า กาลฺญู เมื่อโทสะบังเกิดขึ้น เมื่อโมหะบังเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อโกสัชชะบังเกิดขึ้น แม้ไปหาครูทั้งหลายเพื่อจะบรรเทาอกุศลธรรมนั้นๆ ก็ชื่อว่า กาลญฺญู ผู้รู้กาล เพราะบุคคลจะพึงเป็นกาลัญญูได้ ก็เพราะไปหาครูทั้งหลายอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 278
สองบทว่า ธมฺมึ กถํ ได้แก่ ประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนา
บทว่า เอรยิตํ คือ กล่าวแล้ว.
บทว่า ขณญฺญู ได้แก่ รู้อยู่ว่า บุคลลผู้รู้ขณะแห่งถ้อยคำนั้น เป็นบุคคลหาได้ยาก หรือว่า นี้เป็นขณะแห่งการฟังซึ่งถ้อยคำเช่นนี้.
สองบทว่า สุเณยฺย สกฺกจฺจํ ได้แก่ พึงฟังถ้อยคำนั้นโดยเคารพ. อธิบายว่าบุคคลจะพึงฟังถ้อยคำนั้นอย่างเดียวก็หามิได้ แม้ถ้อยคำอื่นเป็นสุภาษิต อันปฏิสังยุตด้วยพุทธคุณเป็นต้น บุคคลก็พึงฟังโดยเคารพเช่นกัน.
ในบาทคาถาว่า กาลญฺญู จสฺส ครูนํ ทสฺสนาย นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ภิกษุแม้ทราบนัยที่ท่านกล่าวไว้ในคำนี้ว่า กาลญฺญู จสฺส ครูนํ ทสฺสนาย และทราบการบรรเทาราคะเป็นต้น ที่บังเกิดขึ้นแล้วแก่ตน เมื่อไปสู่สำนักของครูทั้งหลาย ก็พึงไปสู่สำนักของครูทั้งหลายโดยกาลอันสมควร โดย กระทำไว้ในใจว่า เราจักบำเพ็ญกรรมฐาน และจักเป็นผู้รักษาธุดงค์ มิใช่เห็นอาจารย์ยืนอยู่แล้ว ณ ถามที่ใดที่หนึ่งในบรรดาที่ทั้งหลาย มีที่ไหว้พระเจดีย์ที่ลานต้นโพธิ์ ทางเที่ยวบิณฑบาต และเวลาเที่ยงตรงเป็นต้น แล้วพึงเข้าไป เพื่อถามปัญหา แต่พึงกำหนดอาจารย์ผู้นั่งอยู่แล้วบนอาสนะของตนในเสนาสนะของตน ซึ่งมีความกระวนกระวายอันสงบแล้ว เข้าไปหาเพื่อถามวิธีแห่งกรรมฐานเป็นต้น ก็ภิกษุแม้เมื่อเข้าไปหาอย่างนี้แล้ว ทำความหัวดื้อให้พินาศแล้ว เป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อม คือว่าทำมานะที่กระทำความแข็งกระด้างให้พินาศแล้ว มีความประพฤติถ่อมตน เป็นผู้เช่นกับผ้าเช็ดเท้า โคเขาขาด และ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 279
งูที่ถูกเขาถอนเขี้ยวออกเสียแล้ว พึงเข้าไปหา ลำดับนั้น ก็พึงอนุสรณ์ถึงอรรถ ธรรม ความสำรวม พรหมจรรย์ และพึงประพฤติโดยเอื้อเฟื้อ ซึ่ง (คำที่) ครูนั้นกล่าวแล้ว.
บทว่า อตฺถํ ได้แก่ เนื้อความแห่งภาษิต.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรมคือบาลี.
บทว่า สํยมํ ได้แก่ ศีล.
คำว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ ศาสนพรหมจรรย์ที่เหลือ.
บาทคาถาว่า อนุสฺสเร เจว สมาจเร จ ความว่า พึงระลึกถึงโอกาสที่อาจารย์นั้นกล่าวถึงธรรมะ ความสำรวม (และ) พรหมจรรย์ และไม่ใช่พอใจด้วยเหตุสักว่าระลึกถึงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พึงประพฤติเอื้อเฟื้อ คือประพฤติชอบ สมาทานวัตรปฏิบัติแม้ทั้งหมดนั้นให้เป็นไป อธิบายว่าพึงกระทำการขวนขวายในการทำให้กถาเหล่านั้นเป็นไปในตน ด้วยว่าบุคคลเมื่อกระทำอยู่อย่างนี้ ชื่อว่ากระทำสิ่งที่ควรทำ ก็เบื้องหน้าต่อแต่นั้นไป บุคคลนั้น ชื่อว่า มีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในธรรม ดำรงอยู่แล้วในธรรม พึงเป็นผู้วินิจฉัยธรรม.
ก็คำว่า ธรรม ในบททั้งปวงในคาถานี้ ได้แก่สมถะและวิปัสสนา
ก็คำว่า อาราโม และ คำว่า รติ มีเนื้อความอันเดียวกัน ความยินดี รื่นรมย์ในธรรมของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้นบุคคลนั้น ชื่อว่า ธมฺมาราโม ผู้มีธรรมเป็นที่มายินดี.
บุคคลยินดีแล้วในธรรม ชื่อว่า ธมฺมรโต หาใช่ยินดีสิ่งอื่นไม่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 280
บุคคลชื่อว่าตั้งอยู่แล้วในธรรม ก็เพราะปฏิบัติธรรม บุคคลย่อมรู้ซึ่งการวินิจฉัยธรรมว่านี้เป็นอุทยญาณ นี้เป็นวยญาณ เพราะเหตุนั้น บุคคลนี้จึงชื่อว่า ธมฺมวินิจฺฉยญฺญู ผู้รู้ซึ่งการวินิจฉัยธรรม. บุคคลพึงเป็นบุคคลเห็นปานนี้ เมื่อเป็นบุคคลเช่นนี้ได้แล้ว ดิรัจฉานกถามีการพูดถึงพระราชาเป็นต้น นี้ใด มีอยู่ คำที่เป็นดิรัจฉานกถานั้นย่อมประทุษร้ายต่อธรรม คือสมถะและวิปัสสนา เพราะให้เกิดความยินดีในรูปเป็นต้นในภายนอกแก่ตรุณวิปัสสกบุคคล ฉะนั้น ดิรัจฉานกถานั้นท่านจึงเรียกว่า วาทะที่เป็นอันตรายต่อธรรม บุคคลไม่พึงประพฤติวาทะที่ทำอันตรายต่อธรรมนั้นเลย โดยที่แท้เมื่อจะซ่องเสพสัปปายะทั้งหลาย มีอาวาสสัปปายะ และโคจรสัปปายะเป็นต้น ก็พึงแนะนำ ด้วยคำที่เป็นสุภาษิตที่แท้จริง วาจาทั้งหลายที่ปฏิสังยุตด้วยสมถะ และวิปัสสนา ชื่อว่า วาจาที่แท้จริงในพระคาถานี้. บุคคลพึงแน่ะนำคือว่า พึงชักนำ ได้แก่ พึงยังกาลเวลาให้สิ้นไป ด้วยคำที่เป็นสุภาษิตทั้งหลายเห็นปานนั้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงกระทำอุปกิเลสให้ปรากฏแก่ภิกษุผู้เจริญสมถะและวิปัสสนา ซึ่งพระองค์ตรัสไว้โดยย่ออย่างยิ่งในคำนี้ว่า ธมฺมสนฺโทสวาทํ ดังนี้ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า หสฺสํ จ ชปฺปํ พร้อมกับอุปกิเลส แม้อื่นจากนั้น.
พระบาลีว่า หาสํ ดังนี้ก็มี.
ก็ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา พึงกระทำสักว่าความยิ้มแย้มเท่านั้นในเรื่องที่ควรหรรษา ไม่พึงพูดคำกระซิบที่ไร้ประโยชน์ ไม่พึงกระทำการคร่ำครวญใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 281
การฉิบหายแห่งญาติเป็นต้น ไม่พึงกระทำความฉุนเฉียวให้เกิดขึ้นแม้ในเมื่อถูกตอและหนามตำเป็นต้น.
บุคคลควรละโทษเหล่านี้ คือ มายาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคำว่า มายากตํ ๑ ความหลอกลวง ๓ อย่าง ๑ ความพอใจในปัจจัยทั้งหลาย ๑ การถือตัวด้วยชาติกำเนิดเป็นต้น ๑ ความแข่งดีกล่าวคือความยินดีที่เป็นข้าศึก ๑ ความหยาบคายอันมีการพูดหยาบเป็นลักษณะ ๑ ธรรมที่ประดุจน้ำย้อมฝาดทั้งหลายมีราคะเป็นต้น ๑ ความหมกมุ่น (ลุ่มหลง) อันมีความอยากเกินประมาณเป็นลักษณะ ๑ การทำให้เห็นว่าโทษเหล่านี้ (อันบุคคลพึงละเสีย) ประดุจผู้ต้องการความสุขละหลุมถ่านเพลิง ประดุจคนรักความสะอาด หลีกที่ๆ มีคูถเสียฉะนั้น และประดุจผู้รักชีวิต หลีกสัตว์ร้ายทั้งหลายมีอสรพิษเป็นต้นเสียฉะนั้น. ก็ครั้นละแล้วเป็นผู้บรรเทาความมัวเมาได้แล้ว เพราะขจัดความมัวเมาในความไม่มีโรคเป็นต้น ชื่อว่ามีตนดำรงมั่นแล้ว เพราะไม่มีความฟุ้งซ่านแห่งจิต พึงประพฤติ. ก็บุคคลนั้น ครั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ จะพึงบรรลุพระอรหัตด้วยภาวนาอันบริสุทธิ์จากอุปกิเลสทั้งปวงต่อกาลไม่นานเลย เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า หสฺสํ จ ชปฺปํ ฯเปฯ ิตตฺโต ดังนี้.
ภิกษุประกอบด้วยอุปกิเลสซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยว่า หสฺสํ ชปฺปํ เป็นต้น เพราะเป็นผู้ผลุนผลัน จึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่พิจารณาเสียก่อนแล้วกระทำ และกำหนัดแล้วด้วยอำนาจราคะ ประทุษร้ายแล้วด้วยอำนาจโทสะไปอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้ประมาทแล้ว. โอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยว่า บุคคลไม่กระทำให้ติดต่อในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย และบุคคลพึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 282
ฟังสุภาษิตทั้งหลายของบุคคลเห็นปานนั้นโดยเคารพ ดังนี้เป็นต้น จัดว่าเป็นโอวาทที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความที่บุคคลนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญ มีสุตะเป็นอัน แห่งสังกิเลสนี้ด้วยเทศนาอันเป็นบุคลาธิษฐาน จึงตรัสพระคาถานี้ว่า วิญฺาตสารานิ ดังนี้ เป็นต้น.
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ก็สาระจะพึงมีได้ ก็เพราะรู้แจ้งสุภาษิตทั้งหลายที่ปฏิสังยุตด้วยสมถะและวิปัสสนา ถ้าหากว่าสุภาษิตเหล่านั้น อันภิกษุรู้แจ้งได้ก็เป็นการดี (ถ้าหากไม่รู้แจ้งได้) เมื่อเป็นเช่นนั้น คำสักว่าเสียงเท่านั้น อันบุคคลนั้นถือเอาแล้ว เขาจะทำอะไรไม่ได้เลย ชนทั้งหลายย่อมรู้แจ้งซึ่งสุภาษิตเหล่านี้ด้วยญาณอันสำเร็จด้วยสุตะใด ญาณที่สำเร็จด้วยสุตะนั้น ชื่อว่าสุตญาณที่สำเร็จด้วยสุตะนี้แล ชื่อว่า วิญญาตสมาธิสาระ รู้แจ้งสมาธิสาระ.
ในบรรดาธรรมทั้งหลายที่บุคคลรู้แจ้งแล้วเหล่านั้นๆ สมาธิใด คือความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ก็เป็นข้อปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น นี่คือสาระของสมาธินั้น ก็ด้วยเหตุสักว่ารู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หาสำเร็จประโยชน์อะไรไม่ แต่ว่านระนี้ใดชื่อว่า เป็นคนผลุนผลัน เพราะความเป็นไปด้วยอำนาจราคะเป็นต้น และชื่อว่า ประมาท เพราะมีปกติทำไม่ติดต่อในการอบรมกุศลธรรมทั้งหลายเป็นต้น บุคคลนั้นเป็นผู้ถือเอาสักว่าเสียงเท่านั้น เพราะเหตุนั้น ปัญญา คือการรู้แจ้งสุภาษิตนั้น จะเจริญแก่บุคคลนั้นหาได้ไม่ เพราะเขาไม่รู้แจ้งซึ่งเนื้อความ ทั้งสุตะก็หามีแก่เขาไม่ เพราะไม่มีข้อปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 283
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความเสื่อมแห่งปัญญา และความเสื่อมแห่งสุตะของชนทั้งหลาย ผู้ประมาทอย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะแสดงการบรรลุสาระทั้งสองประการนั้น แห่งบุคคลผู้ไม่ประมาทแล้วทั้งหลายจึงตรัสว่า ธมฺเม จ เย ฯเปฯ สารมชฺฌคู ดังนี้.
ในบรรดาคำเหล่านั้น ธรรมคือสมถะและวิปัสสนา ชื่อว่า ธรรม ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว จริงอยู่พระพุทธเจ้าแม้สักพระองค์หนึ่ง ไม่ทรงแสดงธรรม คือ สมถะและวิปัสสนาแล้ว ชื่อว่าปรินิพพานย่อมไม่มี. เพราะเหตุนั้นนรชนเหล่าใดยินดีแล้วในธรรมนี้แล ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว นรชนเหล่านั้นเป็นผู้มีความยินดีออกแล้ว จัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้มีความเพียรติดต่อจึงเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เหลือ ด้วยวาจา ด้วยใจ และด้วยกาย คือว่า นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่ไม่มีใครเสมอเหมือน คือเป็นผู้เลิศเป็นผู้ประเสริฐที่สุด กว่าสัตว์ที่เหลือทั้งหลาย ด้วยวาจา ด้วยใจ และด้วยกาย เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยวจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓ กายสุจริต ๓ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงศีล อันสัมปยุตด้วยอริยมรรค ซึ่งมีศีลเป็นเบื้องต้น นรชนเหล่านั้นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วอย่างนี้ ดำรงอยู่แล้วในสันติ โสรัจจะ และสมาธิ จึงชื่อว่าเป็นผู้บรรลุ สาระธรรมแห่งสุตะ และ ปัญญา นรชนเหล่าใดยินดีแล้วในธรรม ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว นรชนเหล่านั้นจะเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ที่เหลือทั้งหลาย ด้วยวาจาเป็นต้น อย่างเดียวก็หามิได้ แต่โดยที่แท้แล บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ดำรงอยู่แล้วในสันติและโสรัจจะ และในสมาธิ คือว่า เป็นผู้บรรลุแล้วซึ่งสารธรรม คือว่า เป็นผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 284
เข้าถึงแล้ว (ซึ่งสารธรรม) แห่งสุตะและปัญญา เท่านั้นเป็นคำที่ถูกต้อง ตามความประสงค์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺติ ได้แก่ นิพพาน.
บทว่า โสรจฺจํ หมายถึงปัญญาที่เป็นตัวแทงตลอดสภาวธรรมตามความเป็นจริง เพราะความเป็นผู้ยินดีในธรรมที่ดีงาม ความดีงามด้วยสันติมีอยู่ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า สันติโสรัจจะ คำว่า สันติโสรัจจะนี้ เป็นชื่อแห่งมรรคปัญญา อันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์.
คำว่า สมาธิ ได้แก่ มรรคสมาธิ ที่สัมปยุตด้วยนิพพานนั้น.
คำว่า สณฺิตา ได้แก่ ดำรงอยู่แล้วด้วยธรรมทั้งสองอย่างนั้น.
วิมุตติ คืออรหัตตผล ชื่อว่า สาระแห่งแห่งสุตะและปัญญา ด้วยว่าพรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นสาระ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น ด้วยธรรมะ และแสดงปฏิปทาอันเป็นส่วนอื่นด้วยขันธ์แม้ทั้ง ๓ เหล่านี้ คือ ศีลขันธ์ เป็นต้นว่า อนุตฺตรา วจสา ซึ่งปัญญาขันธ์ และสมาธิขันธ์ ด้วยปัญญาที่งาม ด้วยสันติ และด้วยสมาธิ ในคาถาสุดท้ายนี้อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงวิมุตติที่ไม่กำเริบด้วยสุตะ และปัญญาอันเป็นสาระ จึงให้พระเทศนาจบลงด้วยยอดคือพระอรหัต.
ก็ในที่สุดแห่งพระเทศนา ภิกษุรูปนั้น ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ต่อมาอีกไม่นานนัก ก็ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัต อันเป็นผลที่เลิศ ดังนี้แล.
จบการพรรณนากิงสีลสูตร แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา