เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
โดย papon  24 เม.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 24761

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้อรรถาธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ

ขออนุโมทนาครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 24 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้ หมายถึง ลักษณะสภาพธรรมที่ จิตเห็น เห็น คือ สี เท่านั้น ไม่ใช่เสียง กลิ่น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ สี จึงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้ และ เป็นเพียงรูปธรรมที่ไม่ใข่สัตว์ บุคคล แต่ เมื่อเห็นสี เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว ก็นึกคิดเป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ ครับ


ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ในประเด็นนี้ ครับ

ข้อความบางตอนจากการสนทนาธรรมที่ อุทยานแห่งชาติเขาเขียว

ถ้ายังไม่คุ้นเคยกับลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ก็เป็นการสะสมการฟัง เพื่อที่จะไม่หลงผิดว่าธรรมเป็นที่อื่น อย่างอื่น แต่จะมีความเข้าใจว่า มีแต่ธรรมะที่เรายังไม่รู้จัก อย่างขณะนี้ ใครรู้บ้าง ถ้าไม่ฟังธรรมะว่ามีเห็น ก็กลายเป็นคนนั้น คนนี้ แต่ จริงๆ แล้วไม่ได้เห็นคน ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นอย่างหนึ่ง เมื่อเห็นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มีเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง แค่นั้นเอง แล้วจะเป็นอย่างนี้ได้ไหมความเข้าใจของเรา จากการที่เห็นเป็นคนนั้นคนนี้ ก็เริ่มมีความเห็น ถูกต้องว่า เห็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง แล้วก็ดับไป


สุ. ก็เวลานี้จะเรียกว่า สี หรือไม่เรียกว่า สี ก็ตาม สิ่งที่ปรากฏทางตา ใช้คำนี้ดีที่สุด สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นของจริง ปรากฏแล้ว ไม่ต้องนึกถึงรูปร่างสัณฐานเลย สิ่งนั้นก็ปรากฏ ไม่ต้องนึกถึงรูปร่างสัณฐานเลย สิ่งนั้นก็ปรากฏ ห้ามการปรากฏของรูปารมณ์ไม่ได้ ขณะที่กำลังเห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่เวลาถามว่า เห็นอะไร แล้วก็นึกถึงรูปร่างสัณฐานของแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง ซึ่งดูเหมือนว่าห้องนี้มีมาก แต่ยังไม่ครบค่ะ สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็เป็นรูปารมณ์ด้วย เพียงแต่ว่าไม่ได้นึกถึงรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้น การที่จะให้เห็นสภาพธรรมเป็นแต่เพียงรูปารมณ์ ถอดความเป็นสัตว์บุคคล วัตถุสิ่งต่างๆ ออก ก็ต้องนึกถึงสิ่งที่มีในห้องนี้ โดยไม่มีนึกถึงรูปร่างสัณฐานว่าเป็นเพียงรูปารมณ์ฉันใด รูปร่างสัณฐานซึ่งเคยเห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็เหมือนสิ่งที่ปรากฏฉันนั้น คือ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา จึงจะไม่มีใครในห้องนี้ มีแต่รูปารมณ์ที่ปรากฏกับจักขุวิญญาณ

ผู้ถาม ถ้าอย่างนั้น ความหมายของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เป็นรูปร่างสัณฐานใช่ไหมคะ

สุ. หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาค่ะ

ผู้ถาม สิ่งที่ปรากฏทางตาหมายความถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา

สุ. ค่ะ จนกว่าจะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น เมื่อไร นั่นคืออนัตตา เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าถึงความหมายของอนัตตาจริงๆ ก็คือรู้ว่ารูปารมณ์คืออย่างไร ทางตาที่กำลังเห็น ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมโดยวิธีอื่น ที่จะไปเพียรนั่งจ้องที่จะให้รูปารมณ์ดับ เสียงดับ กลิ่นดับ ได้ยินดับ คิดนึกดับ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับ แต่อวิชชาไม่สามารถที่จะรู้การเกิดดับของสภาพธรรมนั้นได้ เพราะเหตุว่าแม้แต่เพียงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นของจริงอย่างหนึ่ง เสมอเหมือนกันหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะกล่าวถึงหรือไม่กล่าวถึง จะนึกถึงรูปร่าง หรือไม่นึกถึงรูปร่าง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นเพียงของจริงอย่างหนึ่ง เมื่อไรที่ระลึก แล้วก็ไถ่ถอนการที่เคยยึดถือรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ จึงจะรู้ว่า อนัตตา คือ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนในสิ่งที่ปรากฏเลย ขณะนั้นจึงไม่มีเรา

ผู้ถาม ถ้าเป็นขณะนี้ ซึ่งเป็นขณะที่ดิฉันเห็นสิ่งต่างๆ เช่น เห็นเก้าอี้ เห็นกระดานดำ หมายความว่า ในขณะที่ดิฉันเห็นขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ปรากฏกับสติ หมายความว่าสติยังไม่เกิด ใช่ไหมคะ

สุ. สิ่งที่ปรากฏทางตาตั้งแต่เกิดมาเลยนะคะ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะแล้วก็ นิจสัญญา ความทรงจำไม่เคยทิ้งเลยว่า นี่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ จนกว่าที่กล่าวเมื่อกี้นี้ ที่กำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดขณะนี้ แม้สิ่งอื่นซึ่งไม่ได้กล่าวถึง ก็เป็นรูปารมณ์ด้วย ฉันใด ไม่ต่างกันเลย เอาสิ่งอื่นไปไว้ที่ไหนหมดที่เป็นรูปารมณ์ที่ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ได้นึกถึงรูปร่างสัณฐาน ฉันใด การที่จะเห็นว่าเป็นแต่เพียงรูปารมณ์ ก็ฉันนั้น คือ ไม่ใช่ขณะที่ระลึกถึงรูปร่างสัณฐาน แล้วทรงจำว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือเป็นคนนั้นคนนี้ ต้องเสมอเหมือนกันนะคะ สิ่งซึ่งไม่ได้นึกถึงรูปร่างสัณฐานก็ปรากฏ ฉันใด สิ่งที่เคยทรงจำรูปร่างสัณฐานไว้ ก็จะต้องไถ่ถอนออก จนเหลือแต่สภาพที่เพียงปรากฏทางตา เช่น สิ่งที่ไม่ได้กล่าวถึงหรือนึกถึงรูปร่างสัณฐาน ฉันนั้น นั่นคือ ลักษณะของรูปารมณ์ เป็นประจำ เป็นปกติ การรู้สัจจธรรม ไม่ใช่รู้สภาพธรรมผิดปกติ แต่รู้ของจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่ต้องพร้อมสติที่เริ่มระลึกแล้วศึกษาจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น

ขออนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 24 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องฟังพระธรรมต่อไป ไม่มีหนทางอื่น ในเมื่อธรรมะความจริงก็คืออย่างนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเรียกว่าอย่างไรก็ตาม สี แสง รูปารมรณ์ เป็นต้นก็ ต้องเป็นรูปชนิดหนึ่งสามารถปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท (ตา) โดยมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีการเห็น เกิดขึ้น สิ่งที่ควรรู้ ก็รู้อย่างนี้ และกำลังปรากฏอย่างนี้ แต่เพราะความไม่รู้ที่สะสมมามีมากก็ต้องฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าสภาพที่ปรากฏก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ ไม่ใช่ใครอื่นใดเลย เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 24 เม.ย. 2557

เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นเท่านั้น ไม่มีเรา ไม่มีใคร ค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย mild  วันที่ 26 เม.ย. 2557

ลองพิจารณาดูสิ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ นะ รูปไม่ได้ปรากฏที่อื่น แต่ปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิด ที่ตาแล้วดับ ถ้าไม่มีมหาภูตรูป จิตเห็นก็ไม่เกิด รูปมากมายที่ปรากฏ ก็ไม่ปรากฏให้เห็น จึงชื่อว่าเพียงปรากฏให้เห็น ไม่ไช่ปรากฏให้ติดข้อง เมื่อไม่ติดข้อง ก็เพียงปรากฏให้เห็นแล้วดับเท่านั้น ไม่มีราคา ปรากฏแล้วดับเสมอกัน


ความคิดเห็น 5    โดย peem  วันที่ 28 เม.ย. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 6    โดย Thanapolb  วันที่ 1 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพียงสิ่งที่ปรากฎทางตาให้เห็นเท่านั้น ไม่มีเรา ไม่มีใคร สติ ปัญญาจะรู้และเข้าใจ (ถ้าเกิด) หลังการเห็นเกิดแล้ว ดับ แล้วเป็นชวนจิต ใช่ไหมครับจึงจะระลึกรู้และเข้าใจ ประจักษ์ความจริง

ขออนุโมทนา