ในช่วงที่ไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๑๐ วันนั้น ได้อะไรกลับมา ได้เห็นกิเลสตัวเองชัดเจน ที่มีความโลภอยากไปปฏิบัติเพื่อจะได้ลดกิเลสตัวเอง แต่สิ่งที่ได้กลายเป็นเพิ่มกิเลสมากขึ้น ได้เห็นความไม่เที่ยงของจิตที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เมื่ออยู่ในวัดนานๆ ใจก็อยากออกมานอกวัด พออยู่นอกวัดก็เบื่ออยากไปอยู่วัดอีก กิเลสคนเรานี่มันมากมายจริงๆ เพราะมุ่งหวังว่าสถานที่ปฏิบัติธรรมสัมปายะ จะทำให้การปฏิบัติเจริญก้าวหน้า แต่เปล่าเลย กิเลสก็มาก ยังฟุ้งซ่านเหมือนอยู่บ้าน ได้เห็นจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลชัดเจนจริงๆ ตามที่ อจ.สุจินต์เคยสอนว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เกิดให้มีได้ มันต้องพร้อมด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ เหมือนที่ดิฉันไปเพียรพยายามจดจ้องตามระลึกรู้เพื่อให้เกิดสติตลอด แต่เปล่าเลยเวลาที่สติจะเกิดไม่เห็นต้องไปจดจ้องหรือคอยระมัดระวังให้เกิด
สรุปอยู่บ้านหรืออยู่วัดก็ปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลา ไม่เกี่ยวกับสถานที่ แตกต่างกันตรงเรื่องศีลที่อยู่บ้านศีลอาจไม่บริสุทธิเหมือนอยู่วัด การมีสติระลึกรู้ในชีวิตประจำวันในแต่ละขณะนั้นสำคัญที่สุด ตามที่อจ.สุจินต์สอน แต่ก็ได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ที่มาสอนนั้น สอนได้ดีเข้าใจ
การอบรมเจริญปัญญาที่ตรงและถูกต้อง ควรอยู่ที่ความเข้าใจพระธรรม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดถ้าเข้าใจไม่ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็คิดว่ามีเราจัดการได้ นั่นไม่ใช่ปัญญาที่รู้ความจริงผู้ที่มีความเห็นที่ถูกต้อง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนสติปัญญาย่อมเกิดขึ้นได้ การเพียรพยายามด้วยความจดจ้องต้องการไม่ใช่กิจของปัญญา ดังนั้นควรศึกษาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อการเข้าใจที่ตรงและถูกต้องตามหลักธรรม
เชิญคลิกฟัง -->
ปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร
ปัญญาเกิดที่ไหนก็ได้ค่ะ
ปัญญาเกิดที่ไหนก็ได้ จริงด้วยค่ะ แต่ต้องพร้อมด้วยเหตุปัจจัย หรือการโยนิโสมนสิการ ดิฉันไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้ พยายามตั้งใจเพื่อให้สติเกิด แต่ก็ไม่ได้ตามใจหวัง เหมือนที่ อจ.สุจินต์สอนว่าจะไปบังคับให้สติเกิด จะบังคับได้อย่างไร ถ้าสติจะเกิดต้องพร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่สะสมมาต่างหาก
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ