กรณีของคนใกล้ตาย ถ้าเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ คือใช้ชีวิตอยู่เหมือนคนทั่วๆ ไป เวลา
ใกล้ตายเราควรจะช่วยเขาอย่างไรบ้าง เพราะบางคนบอกว่าให้บอกทางแก่ผู้ใกล้ตาย
ให้ระลึกถึงคุณงามความดี จะได้ไปสวรรค์
หรือว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอก แล้วแต่เหตุปัจจัยที่แต่ละคนได้ทำไว้
โดย คุณ devout สภาพธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามการสะสมนะคะ เลือกไม่ได้
บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าได้สะสมอกุศลไว้มาก เหตุปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตเกิดก่อนจุติ
ย่อมมีมาก ธรรมเป็นเรื่องของเหตุของผลนะคะ เมื่อหวังผลอย่างไรพึงเจริญเหตุอย่าง
นั้น ควรเริ่มจากการศึกษาพระธรรม แล้วจะทราบว่าเหตุที่ควรเจริญคืออย่างไร? เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่....การระลึกถึงสิ่งดีๆ ก่อนที่เราจะตาย
ได้เข้าไปอ่านในกระทู้แล้วค่ะ แต่ว่าการระลึกถึงสิ่งดีๆ ก่อนที่เราจะตายนั้น ถ้าเราไม่ได้
สะสมเหตุปัจจัยที่ดีเป็นประจำ ก็คงยาก เพราะขนาดดิฉันสนใจใฝ่ทางธรรม ยังระลึก
ไม่ค่อยได้ คิดว่าหนทางเดียวที่จะช่วยเราได้ คือ การศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และ
ค่อยๆ ขัดเกลากิเลสในตัวเราให้มากที่สุด
ผมคิดว่า กรรมนี้เขาวิจิตรนะครับ แล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องกรรมด้วย รู้ไม่ได้ ด้วย แต่การที่จะบอกคนใกล้ตายทั้งที่เรียนธรรม และไม่ได้เรียนธรรม ให้คิดแต่ เรื่องดีๆ นั้น ถูกก็ใช่ ไม่ถูกก็ใช่ แต่บอกยังดีกว่าไม่บอก หรืออยู่เฉยๆ แต่เมื่อ ศึกษาธรรม ใฝ่ทางธรรม ก็สนใจที่จะเอาตัวเองให้รอด ดีที่สุดครับ
ยิ่งปุถุชนมีโลภะเป็นอารมณ์ปรกติ ก็ไม่แปลกที่จะเกิดเป็นอสุรกายหรือเปรต อย่างที่คนเขาชอบเล่ากันว่า เห็นเป็นผีมาปรากฏ หลังจากที่ญาติตายไม่กี่วัน ก็เยอะ เพราะส่วนใหญ่ จะเป็นโลภะก่อนตาย เช่น ห่วงในบุตรธิดา ในทรัพย์สิน การงาน
แต่ก็เป็นอนัตตา ยังต้องเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัยค่ะ สำคัญที่ปัจจุบันนี้ สั่งสมความเข้าใจพระธรรมไว้ เจริญกุศลทุกประการ เห็นโทษของอกุศล เพื่อเป็นเหตุใกล้ให้ละอายและงดเว้นอกุศลนั้น
ผมคิดว่าคนเราทุกคนมิได้ใกล้ตายแต่เราตายกันทุกวันทุกเวลา เพียงแต่เราไม่ได้สังเกตหรือให้ความสำคัญ แม้แต่ขณะที่ผมพิมพ์ข้อความนี้ก็มีการตายเกิดขึ้นกับผม และเช่นเดียวกันขณะที่เพื่อนสมาชิกอ่านข้อความนี้ ท่านก็มีการตายเกิดขึ้นด้วย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอารมณ์ที่เดี๋ยวเกิดทุกข์ เกิดสุข เกิดไม่สุขไม่ทุกข์ เดี๋ยวทุกข์ตาย สุขตาย ไม่สุขไม่ทุกข์ตาย ในแต่ละวันแต่ละขณะนับแทบไม่ทัน แล้วถามว่าทำไมเราจึงรู้สึกว่าเรายังไม่ตาย (ร่างกาย) คิดว่าก็เพราะการเกิด การตายเป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนเป็นสายเดียวกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กันและกันอย่างไม่หยุด ดังนั้นหากเราทุกคนรู้ว่า "เราตายกันทุกขณะ" อยู่แล้ว เราจึงไม่ต้องมากังวลกับกรณี "ใกล้ตาย" สิ่งที่เราต้องคำนึงและต้องมีให้ได้ก็คือ "การไม่ตาย" หรือ "การตายก่อนตาย" อันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างยิ่งแห่งการเกิดเป็นมนุษย์
ธัมมะ เป็น ไปตามอัธยาศัยของแต่ละคน ถ้ารู้ว่า ผู้กำลังจะตาย มีอัธยาศัย อะไร ก็ เกื้อกูล ธรรมให้สอดคล้อง เท่าที่ทำได้ มีเจตนาดี มีเมตตา ต่อผู้ กำลังจะตาย ให้เกิดปัญญา เห็นธรรม ตามสมควร
ขออนุโมทนาค่ะ
ในพระไตรปิฏกมีแสดงไว้ เช่น โจรเคราแดง ฆ่าคนมา 55 ปี ตอนแก่พระราชาก็ปลด
เขาออกจากตำแหน่งเพชรฆาต ให้อาหารอย่างดีมีรสอร่อย ให้อาบน้ำ ให้นุ่งผ้าขาว
ท่านพระสารีบุตรก็ไปสงเคราะห์เขา เขาเห็นท่านพระสารีบุตรก็นิมนต์และถวายอาหาร
ท่านพระสารีบุตรก็แสดงธรรมให้เขาฟัง เขาได้วิปัสสนาญาณแต่ยังไม่บรรลุ เขาตาย
ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดีงส์ค่ะ
อีกเรื่องหนึ่ง มัฏฐกุณฑลี ไม่สบาย ไม่เคยทำบุญ ตอนใกล้จะตาย พระพุทธเจ้าไปโปรด
เขาเห็นพระพุทธเจ้าก็มีจิตเลื่อมใส ตายไปก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร ภายหลังได้มาฟัง
ธรรมจากพระพุทธเจ้าได้บรรลุเป็นพระโสดาบันค่ะ