ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและเป็นที่พึ่งอันสูงสุด
การเจริญสมถกรรมฐาน จริงๆ แล้วมี ๔๐ อารมณ์ในองค์บริกรรมภาวนา ที่ผมได้ศึกษาจากอาจารย์สำนักหนึ่งคือ กายคตานุสติ (องค์บริกรรมภาวนาคือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ) และท่านอาจารย์บอกว่าเป็นการฝึกรูปฌาน ๔ หากเป็นอรูปฌานจะเป็นการฝึกวิปัสนากรรมฐานเหตุที่ต้องฝึกสมถกรรมฐานก่อนเพราะว่าเป็นบาทฐานในการฝึกวิปัสนาต่อไปครับ เป็นสายทางหลวงพ่อสรวง หลวงปู่ขาว ครับ
๑. ผมเห็นปัจจุบันมีการฝึกสมาธิบ้าง ฝึกกรรมฐานบ้างหลายสำนัก เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมได้รับรู้นี้ เป็นสัมมาสมาธิ หรือมิจฉาสมาธิครับ?
๒. บางคนที่ยังไม่เชื่อพระธรรมของพระองค์ ท่านอาจารย์บอกว่าพิสูจน์ก่อนแล้วค่อยเชื่อยัง ไม่สายไป โดย อ. ผมบอกว่าหากตั้งใจจริง หมั่นปฏิบัติรูปฌานบ่อยๆ สามารถที่จะพิสูจน์ ชีวิตหลังความตายได้ภายในไม่ช้าคือ สามารถถอดกายในออกจากกายหยาบได้ อาจารย์ ผมใช้เวลา ๒ เดือน กับอีก ๒๐ วัน ครับ (แต่ก่อนหน้านี้สามารถที่จะถึงฌาน ๔ ได้ทุกครั้ง และดับทุกข์ได้ทุกครั้ง) การพิสูจน์เช่นนี้ผมเห็นหลายสำนักเช่นของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ สำนักนี้ฝึกปุ๊บได้ปั๊บ เคยได้ยินมาว่าพากันไปดูสวรรค์ นรก กันเป็นคณะก็ได้
๓. ฌานคือ การเพ่ง การฝึกฌานดังกล่าว อาการฌาน ๑ เรียกว่าวิตก วิจารณ์ ฌาน ๒ เรียกว่า ปิติ ฌาน ๓ เรียกว่า สุข ฌาน ๔ เรียกว่าเอกคัคตา มีในพระไตรปิฏกหน้าไหนครับ ที่สอนการนั่งฌาน สมถกรรมฐานครับ วิธีทางนี้เป็นสัมมาสมาธิใช่มั๊ยครับ? เพราะผมเห็นหลายที่นั่งสมาธิ ๑๐ นาที ๑ ชมบ้าง แต่ไม่ได้สอนกรรมวิธีอะไรมาก ให้นั่งนิ่งๆ บริกรรมพุทโธ สัมมาอรหังบ้าง
๔. ที่มูลนิธิฯ มีการสอนนั่งสมถกรรมฐานหรือไม่ครับ? ที่ผมทราบยังไม่เคยได้ข่าว แต่มักจะได้ ข้อมูลจากที่นี่ว่าให้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจก่อน แล้วต้องเข้าใจระดับไหนครับ? แล้วเราเรียน รู้ควบคู่กันไปไม่ได้หรือครับ เป็นการสร้างบุญใหญ่ไปในตัว ผมว่าเราควรที่จะสั่งสมบุญทุกทาง หากไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ ชาติต่อไปหากได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะได้มีโภคทรัพย์ที่ไม่ขาดแคลน เป็นบาทฐานให้ศึกษาธรรมได้โดยสะดวก ซึ่งผมเห็นว่ามนุษย์ต้องมีโภคทรัพย์ หากไม่มีก็ไม่สามารถที่จะมาสั่งสมบุญเพิ่มได้ครับ แค่จะกินก็เดือดร้อนในแต่ละวันแล้วครับ แล้วจะเอาเวลาไหนมาศึกษาพระธรรม จริงไหมครับ
๕. ถึงเวลาแล้วครับที่ผมต้องการจะศึกษาเพราะอาจารย์ผมบอกว่า การไม่เจริญภาวนา ถือเป็นการทิ้งบุญใหญ่ไป และก็การไปสู่นิพพานไปด้วยมรรค ๗ ตัวไม่ได้ ต้องมีมรรคตัวที่ ๘ ด้วย คือสัมมาสมาธิ
ขอรบกวนผู้รู้ธรรมและเจ้าหน้าที่ช่วยชี้ทางกระจ่างด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
๑. เป็นสัมมาหรือมิจฉาสมาธิ อยู่ที่จิตครับ ถ้าจิตเป็นอกุศลเป็นมิจฉา
๒.,๓. ฌานที่ ๑ ปฐมฌานต้องมีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จิตต้องสงบถึงระดับอัปนาสมาธิ
๔. ที่มูลนิธิ สอนให้เข้าใจธรรมะครับ ขณะที่ค่อยๆ เข้าใจชื่อว่าอบรมเจริญปัญญา ส่วนกุศลอื่นๆ ทาน ศีล ภาวนา ก็สะสมควบคู่กันไป
๕. บุญใหญ่จริงๆ ต้องหมายถึงวิปัสสนาครับ ไม่ใช่สมถะ
ทุกอย่างต้องเริ่มที่สัมมาทิฏฐิก่อนครับ มีความเห็นถูกไม่ว่าจะทำหรือปฏิบัติในเรื่องอะไร เริ่มจากการฟังให้เข้าใจก่อน ไม่ต้องรีบครับ ช้าๆ แต่ถูกดีกว่า..ขออนุโมทนา
ค่อยๆ อบรมสะสมกันไปนะคะ ไม่ต้องรีบร้อน
ธรรมมีปรากฎอยู่ตลอดเวลาทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เข้าใจสิ่งที่มีอยู่นั้นให้ถูกต้องเถอะค่ะ
การอบรมเจริญปัญญามีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน
เพราะฉะนั้นจึงควรเริ่มสะสมความเห็นถูกก่อนเป็นอันดับแรก
และความเห็นถูกนี้เอง จะปูทางให้ท่านเจริญกุศลทุกอย่างยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย
1. ที่ไหนสอนให้เข้าใจธรรมะตามความเป็นจริง ที่นั่นแหละสอนให้เกิดสัมมาทิฏฐิ รู้ได้อย่างไร รู้ได้ด้วยการพิจารณา ไต่สวน สอบถาม ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ แล้วเทียบเคียงกับหลักฐาน หลักฐานแรก คือพระไตรปิฎก หลักฐานต่อไป คือ สิ่งที่มีปรากฏจริงในชีวิตประจำวันที่พอ จะพิสูจน์ให้รู้ได้ อันไหนรู้ไม่ได้ ไม่ควรตื่นเต้น รู้ในสิ่งที่รู้ได้โดยความเป็นธรรมะก่อนครับ
2. สมัยนี้ การที่จะได้ฌานถึงขั้นรูปฌาน ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ กว่าจะไปถึงอัปปนาสมาธิ ก็ต้องได้อุปจารสมาธิก่อน ซึ่งจะต้องมีปฏิภาคนิมิตที่สมาธิมีความแนบแน่นมากกว่าบริกรรมสมาธิ ที่มีบริกรรมจนเกิดอุคคหนิมิตร้อยเท่าพันทวี ซึ่งก่อนหน้านั้น ก็จะต้องเกิดอุคคหนิมิตอย่าง ที่นึกถึงอารมณ์นั้นทางมโนทวารได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว แม้จะมองเห็นสิ่งอื่นก็ตามและ ก่อนหน้านั้นอีก ก็จะต้องรู้ว่านิมิตใดที่ทำให้จิตสงบจากอกุศล และก่อนหน้านั้นอีก ก็จะต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของโลภะซึ่งติดข้องในสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และก่อนหน้านั้นอีก ก็จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญารู้ลักษณะของจิตที่สงบและจิตที่ไม่สงบอย่างแม่นยำ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เพียงต้องการจะชี้ให้เห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่ปฏิสนธิจิตประกอบไปด้วยปัญญาที่มีกำลังแก่กล้าจริงๆ ไม่ใช่ใครจะเจริญ ก็จะเจริญตามกันได้ง่ายๆ เลยครับ หากปัญญาไม่แก่กล้าพอก็ไม่สามารถจะเจริญฌานได้ หากเจริญได้ ก็ยังไม่แน่ว่าจะถึงความแนบแน่นแห่งสมาธิจนถึงขั้นฌานได้หรือไม่ พระภิกษุในสมัยพุทธกาล ท่านไปฟังธรรมะจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่ทราบถึงอัธยาศัยที่จะบรรลุธรรมได้โดยการเจริญกรรมฐานที่เหมาะกับอินทรีย์ที่สั่งสมมาของภิกษุนั้นครับ
3. มีอธิบายไว้ในวิสุทธิมรรคครับ แต่ชื่อหนังสือก็บอกแล้วว่าเป็น หนทางแห่งความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่เพื่อการไปเกิดในพรหมภูมิแล้ว ก็ไม่ได้ดับกิเลสอะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่แค่เพียงสัมมาสมาธิที่เป็นไปกับความสงบของจิต ที่รู้เพียงความสงบที่เป็นกุศล แต่กลับไม่รู้ว่า แม้ความสงบที่เกิดก็ไม่ใช่ "ตัวตน" อย่างไร
4. เราต้องถามตัวเอง ว่าเราอยากรู้มากๆ รู้เร็วๆ หรือว่า มีความจริงใจที่ต้องการจะเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันที่เป็นปกติครับ เพราะที่ผิดปกติ และที่เขาพูดต่อๆ กันมา ด้วยความวิจิตรพิสดารมีเยอะมากแล้ว แต่การจะรู้ธรรมะจริงๆ ในขณะที่เป็นปกติ จะมีใครพูดอธิบายให้เราเข้าใจได้ละเอียดจริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรมะหรือเป็นเรา เป็นจิตหรือเป็นเรา เป็นกุศลหรือเป็นเรา เป็นอกุศลหรือเป็นเรา นอกจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
5. ถึงเวลาที่ควรจะรู้ความจริงที่ปรากฏเป็นปกติในชีวิตประจำวันที่ไม่เคยรู้ ...ดีกว่าไหมครับ
ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ... " ไม่พัก ไม่เพียร "
ขออนุโมทนาครับ
ค่อยๆ อบรมสะสมกันไปนะคะ ไม่ต้องรีบร้อน
ธรรมมีปรากฎอยู่ตลอดเวลาทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เข้าใจสิ่งที่มีอยู่นั้นให้ถูกต้องเถอะค่ะ
การอบรมเจริญปัญญามีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน
เพราะฉะนั้นจึงควรเริ่มสะสมความเห็นถูกก่อนเป็นอันดับแรก
และความเห็นถูกนี้เอง จะปูทางให้ท่านเจริญกุศลทุกอย่างยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย
5555555555555555
คุณเจริญ ครับ
ผมตอบกระทู้คุณไม่จบมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งนี้ ผมจะมาแนวใหม่ คือ
ถ้าตอบไม่จบ ก็จะไม่โพสต์ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นอันนี้แล้ว ก็แปลว่าจบแน่ๆ
ผมขอตอบกระทู้นี้ ว่า
...................................
คุณเจริญ น่าจะพูดคุยกับน้องชายแท้ๆ ของคุณ คนที่คุณเล่า ไว้ในอดีต
กระทู้ที่ 07947 คห.ที่ 36 (ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์)
ว่า เมื่อกลางปีที่แล้ว เค้าเป็นคนแนะนำให้คุณฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์
ลองพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันนะครับ คุณทั้งสองคงเข้าใจ
อีกฝ่ายได้ดี และคงได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์
และแล้วผมก็ตอบกระทู้ของคุณจบได้เป็นครั้งแรก ยินดีกับตัวเองจังเลย
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของคุณเบิกบานครับ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม คือสิ่งที่มีจริง และทรงแสดงสิ่งเหล่านั้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง สิ่งที่ทรงแสดงเป็นสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นไปเพื่อการละ เริ่มตั้งแต่ละความเข้าใจผิดที่มีตัวตนจะไปทำ สร้าง บังคับสิ่งใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการ ซึ่งก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็มีผู้ที่สะสมความเห็นผิดความเข้าใจผิดมานานมากก็ยังมีความเข้าใจว่ามี "วิธี" ใดๆ ที่จะทำให้ "ได้" หรือบรรลุ สำเร็จ อะไรก็แล้วแต่คำที่จะใช้ แต่จริงๆ แล้วถูกต้องตรงตามหลักฐาน หรือตามความเป็นจริงที่พอจะพิสูจน์ได้ในชีวิตประจำวันนั้นมักไม่กล่าวถึง ถึงกล่าวก็ยกมาอ้างเฉพาะจุดที่เข้าได้กับความเห็นของตนเอง เมื่อมีผู้สงสัย มักสยบด้วยทำนองที่ว่า "ไม่ปฏิบัติ จะรู้ได้ยังไง" หรือ "ปฏิบัติยังไม่ถึงขั้น จึงไม่รู้" เป็นต้น แต่ถ้าท่านเป็นผู้สะสมความเป็นผู้มีเหตุผลมาบ้างก็มักจะมีคำถามในใจ และสำนึกถึงความที่ไม่สอดคล้องกันของคำสอน ที่แสดงถึงความเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ให้ไปทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่เข้าใจกันว่าถูกและโดยมากเท่าที่ประสบมากับตนเองก็จะเป็นการคิดไปเองซะมากกว่าทั้งฝ่ายอาจารย์และลูกศิษย์ อย่างนี้ก็ขัดแย้งกันในตัวแล้วเป็นต้น เริ่มแรกต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนว่า ธรรม คืออะไร รูปธรรม นามธรรม มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ในชีวิตประจำวันจริงๆ พอที่จะเข้าใจแยกแยะความต่างเหล่านี้ได้ถูกต้องหรือไม่ โดยไม่ต้องรีบร้อน เพราะความรีบร้อนไม่ได้เป็นปัจจัยให้ปัญญา หรือความเข้าใจถูกความเห็นถูกตามความเป็นจริงเจริญขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องค่อยๆ ศึกษาให้เข้าใจทีละขั้น ตามลำดับ ด้วยความอดทนอย่างแท้จริง ความอยากเข้าใจก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งคือโลภะ เป็นสิ่งที่มีจริงฝ่ายไม่ดี (อกุศล) ที่เป็นตัวฉุดรั้งดึงไว้ให้เข้าใจช้าไปอีก เพราะไม่ได้เป็นเหตุปัจจัยหรืออาหารของปัญญาเลย เหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาก็เริ่มตั้งแต่การคบผู้รู้จริง ก็คือพระพุทธเจ้า หรือผู้ที่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกต่อ อันนี้ก็ต้องพิจารณาว่าท่านเหล่านั้นนำคำสอนมาจากคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริงหรือไม่ หรือท่านเองก็เข้าใจผิด ก็เลยพลอยบอกผิดเราซึ่งเป็นผู้ได้รับฟังจริงต้องพิจารณา ไตร่ตรอง สอบทานกับหลักฐาน และจากสภาพที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันที่พอจะทราบได้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส หรือกระทบสัมผัสทางกาย หรือคิดนึก เป็นต้น ส่วนที่เกินเลยความสามารถไปก็เหลือวิสัยที่พิสูจน์ เอาแค่พิสูจน์ตามนี้ก็ยากพออยู่แล้ว นอกเหนือไปจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ เอาแค่สิ่งที่มีอยู่จริงๆ ขณะนี้ ให้ถ่องแท้ก่อนเถอะ คุณเจริญในธรรมก็ได้สะสมความเห็นถูกมามากจึงได้พบเจอกับเหล่าเพื่อนที่ต้องการแสดงความจริงให้คุณได้ค่อยๆ เข้าใจ อันนี้ก็ขออนุโมทนา ยินดีด้วย ส่วนการที่คุณจะเข้าใจเพิ่มขึ้น หรือเตลิดไปที่อื่นเลยเพราะที่นี่ไม่ได้สอนให้ทำแบบนั้นแบบนี้แต่เน้นให้ศึกษาเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องก่อน ก็แล้วแต่การสะสมของคุณเองไม่มีใครช่วยได้ คำแนะนำจากสมาชิกทั้งหลายก็เพื่อจะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันในทางที่ดีขึ้น ทำไมถึงจะดีขึ้น ก็เพราะความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเป็นเหตุให้เห็นโทษของการกระทำสิ่งที่ไม่ดีจึงค่อยๆ คิดที่จะขัดเกลาตนเองทางกาย ทางวาจา เป็นศีลที่งดเว้นที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพราะเริ่มรู้และเข้าใจว่าทุกสัตว์ก็รักสุขเกลียดทุกข์และการที่สัตว์ได้รับทุกข์ก็เพราะผลของกรรมของตนเอง จึงไม่อยากที่จะทำกรรมชั่วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะดีวันดีคืนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะสะสมความไม่ดีมานานจึงขัดเกลายาก ไม่ง่ายหรอกครับ ตั้งใจคิดไว้ดิบดีว่าจะไม่ทำไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเอาเข้าจริงก็ล่วงศีลได้ถ้าอกุศลที่สะสมมามีกำลังมากพอ เพราะผู้ที่จะไม่ล่วงศีลห้าได้อย่างเด็ดขาดต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันไปแล้ว ปุถุชนเช่นเราท่านยังเป็นผู้มากด้วยกิเลส แม้คราวนี้ ชาตินี้รักษาศีลได้ดี แต่ชาติต่อๆ ไปไม่มีใครรับประกันได้แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ล่วงศีล แต่พูดให้เข้าใจความจริงของการสะสมของกิเลส คำถามของท่าน ความจริงได้คำตอบชัดเจนแล้วจากผู้มีความปราถนาดีข้างต้นและที่จะช่วยเกื้อกูลตามมาอีกมาก หากมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจนี้จะช่วยในการตอบคำถามของท่านเอง ท่านจะมีข้อมูลในการพินิจพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาไม่ว่าจากใครๆ ว่าถูกต้องหรือไม่ แล้วจะตกใจ เมื่อพบว่าบุคคลที่บางทีอาจเป็นผู้ที่ท่านเคารพนับถือมาก อาจไม่ได้มีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องเลยก็ได้ แต่การศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูก ความเห็นถูกของตัวเอง ไม่ใช่ของคนอื่น และจะไปบังคับให้คนอื่นเข้าใจถูกด้วยก็ไม่ได้ แต่อาจจะได้ประโยชน์เมื่อท่านถูกถามก็จะแนะนำชี้แจงสิ่งที่ถูกต้องได้ ถ้าเข้าใจผิดก็แนะนำไปผิดๆ พาให้คนอื่นหลงผิดเสียเวลาในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ เกิดตายอีกยาวนานขึ้น จึงเป็นโทษมาก เมื่อไม่รู้อยู่เฉยๆ ยังจะดีกว่า ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่สนใจ สอบถาม ใคร่ที่จะเป็นผู้เข้าใจพระธรรมด้วยดีของท่านผู้มีนามว่า "เจริญในธรรม" อีกครั้งนะครับ
กระทู้ที่ 07947 คห.ที่ 36 (ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์)
ว่า เมื่อกลางปีที่แล้ว เค้าเป็นคนแนะนำให้คุณฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์
ลองพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันนะครับ คุณทั้งสองคงเข้าใจ
อีกฝ่ายได้ดี และคงได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์
............................................................................................................
ขอตอบคุณSuwit02นิดนึงครับเพื่อคุณจะได้ข้อมูลสิ่งที่ผมได้ถามครับพอดีน้องชายผมไม่ได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติบ้างไม่บ้าง ไม่อาจจะปรึกษาได้ มีแต่ผมจะให้คำปรึกษามากกว่าและก็ไม่จริงจังเท่ากับผม (ที่บอกว่าไม่จริงจริงก็คือ ไม่รักษาศีล5 ศีลอุโบสถ ฟังธรรม อ่านพระไตรปิฏก และสอบถามธรรมจากท่านผู้รู้ และทำทาน ทำบุญเท่ากับผม ซึ่งปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา และเจริญมรณานุสติอยู่ตลอดครับ เพื่อความไม่ประมาท)
หากถามว่าใครศึกษาธรรมมาก่อนระหว่างน้องชายกับผม คำตอบคือผม แต่ที่ได้มาศึกษาร่วมกับสหายธรรมในที่นี้ ก็มาจาก การได้ยินผ่านๆ แว่วเดียวที่น้องชายผมคุยให้ฟังว่าได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งบรรยายธรรมดีมาก ผมก็เลยเสาะแสวงหาจนมาพบครับ ก่อนหน้านั้นผมก็ศึกษาธรรมมาเรื่อยแต่อาจเป็นเพราะเป็นคนที่เรียนจบมาทางสายวิทยาศาสตร์ เลยต้องพินิจพิเคราะห์ว่าแต่ละสำนักเป็นอย่างไร แต่ผมก็เจอแต่สำนักที่นำข้อมูลมาจากพระไตรปิฏกทั้งนั้น นะครับ ถือว่าผมโชคดีจริงๆ อาจเคยทำบุญมากระมังในอดีต พอเริ่มที่จะศึกษาก็ได้อาจารย์ที่มีภูมิความรู้และนำข้อมูลมาจากพระธรรมของพระไตรปิฏก
หากจะบอกได้ว่าที่นี่เป็นแห่งที่ 3 ที่ผมได้มาศึกษา ก่อนหน้านั้นที่ที่ 1เป็นฆราวาสโดยส่วนใหญ่ก็ศึกษาพระธรรม และเน้นการทำบุญ หวังในบุญ มีการทำสังฆทานกกันเป็นประจำ และเน้นการนั่งฌาน รูปฌาน4 เพราะต้นสายในการปฏิบัติธรรมมาจากหลวงปู่ขาว และหลวงปู่สรวง ที่จ.ชุมพร ท่านบอกว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์จะให้คำว่า เกศา โลมา แก่ผู้บวชใหม่ไปท่อง และท่านบอกว่าในกรรมฐานมีทั้งหมด 40 กองนั้น กองนี้กองเดียวที่ให้ผลที่ดีที่สุด และท่านก็บอกอีกว่า การไปสู่นิพพานไปด้วยมรรค7 ตัวไม่ได้ ต้องมีมรรคตัวที่8ด้วย คือสัมมาสมาธิ คือรูปฌาน 4 นั่นเอง ท่านก็บอกอีกว่าหากจะทำสมาธิแต่ไม่รู้จักรูปฌาน 4 ก็ไม่สามารถที่จะเจริญมรรคตัวที่ 8 ได้ สรุปที่นี่มีอาจารย์และท่านอื่นๆ ทำรูปฌานได้ มีอาจารย์ที่สามารถถอดกายในได้ ได้พิสูจน์ชีวิตหลังความตายว่ามีจริง มีสวรรค์ มีนรก , และท่านก็บอกอีกว่าต้องทำบุญให้ได้บุญมากๆ หากชาตินี้ไม่สามารถที่จะไปสู่นิพพานได้ การเกิดมาเป็นมนุษย์อีกก็จะมีโภคสมบัติที่จะทำบุญ สร้างบุญและอบรมเจริญปัญญาได้ต่อไปอีก ที่ที่ 2 เป็นพระทางเหนือแถวๆ เพชรบูรณ์ แต่ผมเห็นว่าท่านเคร่งไปเลยไม่ได้อยู่ในอัธยาศัยเลยปฏิบัติได้เพียงบางอย่างครับ เช่นการอุทิศบุญ
ก็เลยศึกษามาจนเจอที่แห่งนี้ ก็เห็นว่ามีสหายธรรมที่มีภูมิความรู้ดี และสามารถให้คำแนะนำได้ เหตุก็เพราะต้องการจะศึกษาให้ถ่องแท้ว่าสิ่งใดถูกผิด จะได้ร่วมกันแก้-ไข และช่วยบอกแก่ผู้ที่อาจจะหลงผิด ครับ ยังงัยก็ขอขอบคุณคุณsuwit02 ในกุศลจิต ครับ หวังว่าท่านคงจะคลายสงสัยในคำถามผมนะครับ และร่วมกันสนทนาต่อไปในทางที่ถูกครับ ขออนุโมทนา
อยากแสดงความคิดเห็น อยากตอบข้อถามของคุณ
แต่พออ่านไปๆ เจอคำถามแต่ละข้อ ก็หมดแรงตอบ
(ได้ถึง ฌาน ๔ แล้ว ใครจะแนะนำคุณได้ น่ากลัวจริงๆ )
ขอให้ "เจริญในธรรม" ต่อไปก็แล้วกัน
คุณเจริญ ครับ
ผมรับทราบตามที่คุณบอกว่า คุณไม่คิดว่าน้องชายคุณจะช่วยคุณได้ คุณ
ต่างหากที่จะช่วยเขา เขาเพียงแต่แนะนำให้คุณฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์
เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผมอยากขอให้คุณลองคุยกับเขาดูว่า เขามีความเห็นเกี่ยว
กับ สติปัฏฐานอย่างไรบ้าง ก็แค่คุยกันเล่นๆ เท่านั้น ไม่เสียหายใช่ไหมครับ
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของคุณเบิกบาน
อยากแสดงความคิดเห็น อยากตอบข้อถามของคุณ
แต่พออ่านไปๆ เจอคำถามแต่ละข้อ ก็หมดแรงตอบ
(ได้ถึง ฌาน ๔ แล้ว ใครจะแนะนำคุณได้ น่ากลัวจริงๆ )
......................................................................................................................
ขอตอบ คุณปทปรม
หากนิพพานมี ผู้ที่จะศึกษาและปฏิบัติให้ถึงนิพพานย่อมมีและเมื่อฌาน 4 มีผู้ปฏิบัติได้ ผู้ที่ปฏิบัติตามก็สามารถที่จะเกิดฌาน 4 ได้เช่นกัน ไม่น่ากลัวตรงไหนเลย เป็นปุถุชนธรรมดานี่เอง แม้จะได้ฌาน 4 แล้วก็ตาม จริงมั๊ยครับ
อ้างอิงความเห็นที่ 13
ขอตอบ คุณปทปรม
หากนิพพานมี ผู้ที่จะศึกษาและปฏิบัติให้ถึงนิพพานย่อมมี
และเมื่อฌาน4มีผู้ปฏิบัติได้ ผู้ที่ปฏิบัติตามก็สามารถที่จะเกิดฌาน 4 ได้เช่นกัน
ไม่น่ากลัวตรงไหนเลย เป็นปุถุชนธรรมดานี่เอง แม้จะได้ฌาน 4 แล้วก็ตาม
จริงมั๊ยครับ
.............................................................................................................
คุณเจริญ ครับ
ผู้ได้อัปปนาสมาธิ ไม่ควรนับว่าเป็นปุถุชนธรรมดานะครับ ต้องนับเป็น
ปุถุชนพิเศษหาได้ยาก และบุคคลเช่นนี้ย่อมมีปัญญาแจ่มใส เข้าใจสภาวะแห่ง
กุศล และอกุศล ในชั้นทานและศีล ได้อย่างแจ่มแจ้งปราศจากข้อสงสัย เพราะ
กุศลธรรมชั้นพื้นฐาน มีอุปการะมากแก่ อุปจาร/อัปปนา สมาธิ
ผู้ที่ได้ฌาน 4 พึงมีลักษณะ จิตใจ/ปัญญา อย่างไร คุณสามารถสอบทาน
เทียบเคียงได้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของคุณเบิกบาน
คิดได้ไง???????????????555555555555555555555555555555555555555555
ขอเรียนถามคุณ"เจริญในธรรม"
ณานจิตของคุณ คืออะไร?
อารัมณูปณิชฌาน หรือ ลักขณูปนิชฌาน
สงสัยจริงๆ
ก็คงไม่มีใครตอบอะไรได้ดังใจคุณหรอกค่ะ
ป้าก็เริ่มคิดว่า ป้าจะไม่ตอบอะไร หรือสนทนาอะไรกับคุณอีกเหมือนกัน
ก็ป้าน่ะ แค่ปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ที่พยายามแก้ไขความเห็นผิดเท่านั้น
ปรับทิฏฐิให้ตรงเสียก่อน อย่างที่บุญกริยาวัตถุสิบ เรียกว่า ทิฏฐุชุกรรม
อันเป็นกุศลขั้นพื้นฐาน ไม่ได้หวังเกินฐานะในการเจริญฌานจิตแต่อย่างไร