ข้อความต่อไปในพระสูตรมีว่า
ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
ทาน พวกพาลชน เมื่อให้ ให้ได้ยาก กุศลธรรม พวกพาลชนเมื่อทำ ทำได้ยาก พวกอสัตบุรุษ ย่อมไม่ทำตามธรรมของสัตบุรุษ อันพวกอสัตบุรุษดำเนินตามได้แสนยาก เพราะฉะนั้น การไปจากโลกนี้ของพวกสัตบุรุษและของพวกอสัตบุรุษจึงต่างกัน พวกอสัตบุรุษย่อมไปสู่นรก พวกสัตบุรุษย่อมเป็นผู้ดำเนินไปสู่สวรรค์
นี่เป็นทางที่ต่างกันตามเหตุ ถ้าในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นผู้ที่สะสม อกุศลธรรม ธรรมของสัตบุรุษแสนยาก แม้แต่การให้ก็ให้ยาก กุศลธรรมอื่นของสัตบุรุษที่สัตบุรุษอื่นทำได้ง่าย ผู้ที่เป็นอสัตบุรุษก็ทำได้ยาก เพราะฉะนั้น เมื่อชีวิตในโลกนี้ ดำเนินไปอย่างนี้ หนทางข้างหน้าซึ่งจะไปสู่ก็ต้องเป็นแนวเดียวกัน ถ้าเจริญอกุศลธรรม ก็ย่อมทำให้เกิดอกุศลวิบาก ถ้าเจริญอบรมกุศลธรรมมาก ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบาก
เพราะฉะนั้น หนทางของสัตบุรุษและอสัตบุรุษเมื่อไปจากโลกนี้จึงต่างกัน ไม่ควรจะลืมว่า ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แล้ววันไหนก็ไม่ทราบด้วย แต่โดยมากทุกท่านหลงชีวิต แล้วก็ลืมเสียจริงๆ ว่า จะต้องสิ้นชีวิต ไม่ได้คิดถึงเลยว่า จะต้องจากโลกนี้ไป เดี๋ยวก็หลงไปตามรูปชั่วครู่หนึ่ง เดี๋ยวก็หลงไปตามเสียง ยังไม่ทันไรก็หลงไปตามกลิ่น หลงไปตามรส หลงไปตามโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ลืมความจริงข้อนี้ คือไม่ลืมความจริงว่า จะต้องตาย และไม่ลืมความจริงว่า หลงชีวิตเสียเหลือเกิน ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านเจริญกุศลทุกประการ แม้ในทานด้วย ไม่ใช่ว่าท่านมุ่งที่จะเจริญวิปัสสนาโดยที่สะสมอกุศลไว้มาก ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้หลงลืมสติ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 200