[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 278
วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์
วินัยวรรคที่ ๓
วินัยวรรค (วินัยธรวรรค) 278
ปฐม-ทุติยวินัยธรสูตร 72/278
วินัยธรสูตร 74/279
วินัยธรสูตร 77/280
สัตถุสาสนสูตร 80/281
อธิกรณสมถสูตร 81/282
อรรถกถาวินัยธรสูตร 72/283
อรรถกถาสัตถุสาสนสูตร 284
อรรถกถาอธิกรณสมถสูตร 285
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 37]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 278
วินัยวรรคที่ ๓
[๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นวินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑ เป็นผู้มีศีลสำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและ โคจร มีปกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้.
[๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นวินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการนี้เป็นไฉน คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้แม่นยำโดยพิสดาร จำแนกดีแล้ว ขยายดีแล้ว วินิจฉัยดีแล้ว ทั้งโดยสูตรและโดยอนุพยัญชนะ ๑ มีปกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 279
[๗๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นวินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑ หนักอยู่ในพระวินัยไม่ง่อนแง่น ๑ มีปกติได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้.
[๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นวินัยธรได้ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทส ด้วยประการฉะนี้ ๑ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรได้.
[๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นพระวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 280
เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ๑ มีปกติได้ตามปรารถนา ฯลฯ เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นวินัยธรงาม.
[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้แม่นยำโดยพิสดาร จำแนกดีแล้ว ขยายดีแล้ว วินิจฉัยดีแล้ว ทั้งโดยสูตรและโดยอนุพยัญชนะ ๑ มีปกติได้ตามความปรารถนา ฯลฯ เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นพระวินัยธรงาม.
[๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นพระวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑ หนักอยู่ในพระวินัยไม่ง่อนแง่น ๑ มีปกติได้ตามความปรารถนา ฯลฯ เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นพระวินัยธรงาม.
[๗๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการเป็นพระวินัยธรงาม ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ รู้จัก
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 281
อาบัติ ๑ รู้จักอนาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบา ๑ รู้จักอาบัติหนัก ๑ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทส ด้วยประการฉะนี้ ย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่ กำลังจุติ กำลังอุปบัติ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยประการฉะนี้ ๑ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ฯลฯ เข้าถึงอยู่ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการนี้แล เป็นพระวินัยธรงาม.
[๘๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ได้สดับแล้วจะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุบาลี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า ธรรมเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดยส่วนเดียว เธอพึงทรงธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่ธรรม นี้ไม่ใช่วินัย นี้ไม่เป็นคำสั่งสอนของศาสดา อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 282
ระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โดยส่วนเดียว เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านี้ไว้โดยส่วนหนึ่งว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของศาสดา.
[๘๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์ ๗ ประการนี้ เพื่อสงบระงับอธิกรณ์ที่เกิดแล้วๆ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ สงฆ์พึงให้สัมมุขาวินัย (สำหรับระงับต่อหน้า) ๑ พึงให้สติวินัย (สำหรับพระอรหันต์ผู้มีสติไพบูลย์) ๑ พึงให้อมูฬหวินัย (สำหรับภิกษุบ้า) ๑ ปฏิญญาตกรณะ (ได้ทำการปรับโทษตามคำปฏิญาณ) ๑ เยภุยยสิกา (ปรับโทษถือข้างมากเป็นประมาณ) ๑ ตัสสปาปิยสิกา (ปรับโทษสมกับความผิดแก่ภิกษุจำเลยนั้น) ๑ ติณวัตถารกะ (ตัดสินทำนองกลบหญ้า คือ ทำการประนีประนอม) ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์ ๗ ประการนี้แล เพื่อสงบระงับอธิกรณ์ที่เกิดแล้วๆ.
จบ วินัยวรรคที่ ๓
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 283
วินัยธรวรรคที่ ๘
อรรถกถาปฐมวินัยธรรมสูตรที่ ๑
วรรค ๘ ปฐมวินัยธรสูตรที่ ๑ (ข้อ ๗๒) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาปตฺติํ ชานาติ ความว่า ย่อมรู้อาบัตินั่นแหละว่าเป็นอาบัติ. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
จบ อรรถกถาปฐมวินัยธรสูตรที่ ๑
อรรถกถาทุติยวินัยธรสูตรที่ ๒
ทุติยวินยธรสูตรที่ ๒ (ข้อ ๗๓) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สฺวาคตานิ แปลว่า มาดีแล้ว คือ คล่องดีแล้ว.
บทว่า สุวิภตฺตานิ ความว่า แบ่งเป็นส่วนไว้ด้วยดีแล้ว.
บทว่า สุปฺปวตฺตินี ความว่า เป็นไปด้วยดี ในที่ๆ นึกได้ๆ คือ สวดได้คล่องแม่นยำ
บทว่า สุวินิจฺฉิตานิ แปลว่า วินิจฉัยดีแล้ว.
บทว่า สุตฺตโส ได้แก่ โดยวิภังค์.
บทว่า อนุพฺยญฺชนโส ได้แก่ โดยขันธกะและบริวาร.
จบ อรรถกถาทุติยวินัยธรสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 284
อรรถกถาตติยวินัยธรสูตรที่ ๓
ตติยวินยธรสูตรที่ ๓ (ข้อ ๗๔) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วินเย โข ปน ิโต โหติ ความว่า ตั้งอยู่แล้วในลักษณะแห่งวินัย.
บทว่า อสํหิโร ความว่า ไม่อาจจะให้สละความยึดมั่นสิ่งที่ยึดไว้แล้ว
จบ อรรถกถาตติยวินัยธรสูตรที่ ๓
อรรถกถาสัตถุสาสนสูตรที่ ๙
สัตถุสาสนสูตรที่ ๙ (ข้อ ๘๐) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เอโก ได้แก่ ไม่มีเพื่อนสอง.
บทว่า วูปกฏฺโ ความว่า หลีกออกไปแล้ว คือ สงัดแล้ว อยู่ไกลแล้ว ทางกายก็จากคณะ ทางจิตก็จากกิเลสทั้งหลาย.
บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ ตั้งอยู่แล้วในความไม่อยู่ปราศจากสติ.
บทว่า ปหิตตฺโต แปลว่า มีตนส่งไปแล้ว.
บทว่า นิพฺพิทาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่ความระอาในวัฏฏะ.
บทว่า วิราคาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่ความคลายกิเลส มีราคะเป็นต้น.
บทว่า นิโรธาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่อันกระทำไม่ให้เป็นไปได้.
บทว่า วูปสมาย ได้แก่ เพื่อความระงับกิเลส เพื่อเป็น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 285
ไม่ได้แห่งกิเลส.
บทว่า อภิญฺาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่ความรู้ยิ่ง การยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์.
บทว่า สมฺโพธาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ธรรม กล่าวคือมรรค.
บทว่า นิพฺพาทาย ความว่า เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน.
จบอรรถกถาสัตถุสาสนสูตรที่ ๙
อรรถกถาอธิการณสมถสูตรที่ ๑๐
อธิกรณสมถสูตรที่ ๑๐ (ข้อ ๘๑) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ธรรมชื่อว่าอธิกรณสมถะเพราะอรรถว่าระงับ คือ ยังอธิกรณ์ให้เข้าไปสงบระงับ.
บทว่า อุปฺปนฺนุปฺปนฺนานํ แปลว่า เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเล่า.
บทว่า อธิกรณานํ ความว่า อธิกรณ์ ๔ นี้ คือ วิวาทาธิกรณ์ ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ๑ กิจจาธิกรณ์ ๑ อาปัตตาธิกรณ์ ๑.
บทว่า สมถาย วูปสมาย ความว่า เพื่อสงบและเพื่อเข้าไประงับ. พึงใช้สมถะ ๗ เหล่านี้ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมุฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ เยภุยเยนสิกา ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกวินัย ๑.
นัยในการวินิจฉัยสมถะเหล่านั้นพึงถือเอาจากอรรถกถาพระวินัย. อีกอย่างหนึ่ง ในอรรถกถาแห่งสังคีติสูตรในทีฆนิกายก็ได้กล่าวไว้พิสดารแล้วนั่นแล. ในอรรถกถาสามคามสูตรในมัชฌิมนิกายก็ได้กล่าวไว้แล้วเหมือนกันแล.
จบ อรรถกถาอธิกรณสมถสูตรที่ ๑๐
จบ วินัยธรวรรคที่ ๘