เป็นการรอผลให้ประจักษ์นามรูปนั้น เป็นความต้องการติดข้องมีโลภะเกิดและขณะนั้นเป็นราวกับว่ามีตัวตนเป็นเราที่กระทำแต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเราที่จดจ้องในเวลานั้น จะกล่าวว่าขณะนั้นจิตมีความเห็นผิดว่ามีตัวตนมีเราเกิดร่วมด้วยได้ไหมครับ
ในทำนองเดียวกันในชีวิตปกติ มีการทำการงานต่างๆ แม้ไม่ได้คิดว่าเป็นเราเป็นเขาในขณะที่ทำนั้น แต่ถ้าถามว่าใครทำก็คงตอบว่ามีเรามีเขาที่ทำ เช่นนี้จิตในตอนนั้นมีความเห็นผิดเกิดด้วยหรือไม่ครับ ขอเรียนถามอาจารย์ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในขณะที่จดจ้องต้องการ อยากรู้สภาพธรรม ย่อมเป็นการไปทำอะไรที่ผิดปกติ ในขณะนั้นมีทั้งความติดข้อง มีทั้งความเห็นผิด ที่ลูบคลำยึดถือในข้อปฏิบัติที่ผิด และ มีความไม่รู้ ด้วย สำหรับประเด็นที่ ๒ ก็พิจารณาได้ว่า ความเป็นเรา เหนียวแน่นมาก เป็นเราด้วยความติดข้องต้องการ เป็นเราด้วยความเห็นผิด และเป็นเราด้วยมานะ ความสำคัญตน โดยเฉพาะความเป็นเราด้วยความเห็นผิด เป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อไม่ได้เข้าใจในความเป็นธรรม ก็ยากที่จะพ้นจากความเป็นไปด้วยความเห็นผิดว่าเป็นเรา ความเห็นผิดว่าเป็นเรา เกิดเป็นไป ไหลไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ตัวเลย แต่ในขณะอื่น เช่น ขณะที่ที่ติดข้องโดยไม่มีความเห็นผิด เกิดร่วมด้วย ในขณะที่เกิดความโกรธ ตลอดจนถึง ในขณะที่กุศลจิต เกิด นั้น ไม่ได้มีความเห็นผิด เกิดขึ้นเลย ดังนั้น จึงไม่ได้หมายถึงว่า ตลอดทั้งวันจะมีแต่ความเห็นผิดว่าเป็นเราเกิดตลอด และที่จะเข้าใจตรงตามความเป็นจริง ก็ต้องเป็นกิจหน้าที่ของปัญญา เท่านั้น ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
อ.คำปั่น อธิบายให้เข้าใจ ชัดเจนดีครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาในกุศลค่ะ
ต้องอาศัยความรู้ที่เกิดจากการฟังธรรม เพื่อละความไม่รู้ ละความเห็นผิด จนกว่าจะถึงลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ที่ไม่ใช่เราค่ะ