นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)
ประมวลธรรม
จากการสนทนาธรรมที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕
☺ ขณะนี้ เป็นโอกาสที่มีค่าที่สุดที่จะทำให้ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จากการได้ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ที่ใครๆ ก็คิดเอาเองไม่ได้ จะเข้าใจได้ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
☺ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่มีใครบันดาลหรือเปลี่ยนแปลงบังคับบัญชาได้ เกิดขึ้นแล้วเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้
☺ พระโพธิสัตว์ทรงเห็นว่า สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ จึงทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะได้ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ และทรงแสดงให้ผู้อื่นรู้ตาม ซึ่งสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
☺ ก่อนที่จะเกิด ไม่มีคนนี้เลยที่จะเข้าใจว่าเป็นเรา แต่เมื่อเกิดแล้ว ก็เหมือนกับว่ามีเราอยู่ในโลก สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งแต่ละขณะนี้ ต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัย แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการที่เกิดมา ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้
☺ บุคคลที่ได้ฟังพระธรรม ย่อมได้ลาภที่ประเสริฐที่จะทำให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งก็คือได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เมื่อฟังต่อไป ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เกิดในภพหนึ่งชาติใด เพราะเคยได้ฟังพระธรรมมาแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้ได้ฟังต่อได้ อบรมเจริญปัญญาต่อไปอีก
☺ ชาวพุทธ ไม่ควรลืมคำว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ที่มีจริงในขณะนี้ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้
☺ อยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากจะหมดกิเลส แต่ก็ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ความจริงแม้สิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย
☺ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ง่ายที่จะรู้ แต่ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจได้ โดยจะต้องเป็นผู้ตรง ว่า ศึกษาเพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น คือ ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง
☺ เพราะความไม่รู้ จึงทำให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความไม่รู้ แต่ถ้ามีความรู้ คือ ปัญญา เพิ่มขึ้น จากที่ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ถูกที่ควร คล้อยตามปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ทำให้พ้นจากความประพฤติที่จะเป็นเหตุนำความทุกข์มาให้
☺ การฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่ออยากจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากจะหมดกิเลสโดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
☺ ขณะนี้เป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะมีธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ซึ่งมีต้นเหตุมาจาก อวิชชา ความไม่รู้ จึงทำให้มีการเกิดในภพภูมิต่างๆ มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังไม่พ้นไปจากทุกข์
☺ การที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่การรู้ชื่อ แต่ต้องเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด ที่จะไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิด ย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องยินดีพอใจ ก็ต้องมาจากการเห็น การได้ยินสิ่งที่น่าพอใจ ถ้าเป็นความขุ่นเคืองใจ ก็ต้องมีเหตุที่ทำให้ความขุ่นเคืองใจเกิดขึ้น
☺ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังปรากฏ เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เมื่อปรากฏขึ้นแล้ว รู้อะไรหรือเข้าใจอะไรในสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะแม้จะมีสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง เช่น ขณะนี้ที่เห็น เห็นได้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่สามารถเห็นสิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏให้เห็นได้เลย
☺ การฟังพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ถ้าเข้าใจจริงๆ ตามลำดับก็จะไม่สับสน
☺ ขณะนี้ธรรม เกิดปรากฏต้องมีเหตุปัจจัย แล้วก็ยังไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ย่อมจะกล่าวได้ว่า อวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น เพราะว่าขณะนี้ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แล้วจะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไรว่า เป็นบุคคลผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงตามความเป็นจริง
☺ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมด้วยภาษาที่คนฟังจะสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าจะไปทรงประดิษฐ์คำใหม่มาใช้เรียกธรรม แต่ทรงใช้คำที่มีในภาษานั้นๆ แหละให้เข้าใจความจริง คนไทยก็ใช้ภาษาไทยตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมได้ ก็ต้องเข้าใจในภาษาของตนๆ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน
ดังข้อความจากอรรถกถาโอฆตรณสูตร ว่า เมื่อมีเสียงของธรรมกระทบหู ก็ควรที่จะได้ศึกษาให้เข้าใจด้วยภาษาของตนๆ
☺ วิชชา หมายถึง ความรู้ ส่วนอวิชชา เป็นความไม่รู้ ไม่รู้ในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร จึงแสดงให้เห็นว่า เต็มไปด้วยความไม่รู้ มากมายทีเดียว
☺ สังขาร มีความหมายหลายอย่าง หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น คือ สังขารธรรม ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา ที่เกิดแล้วจะไม่ดับนั้นไม่มีเลย
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่รู้เลยว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้ว เกิดดับสืบต่อกันจนกระทั่งปรากฏให้เห็นว่าไม่ได้ดับไปเลย
☺ สังขาร ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง เจตนาที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง เป็นเหตุทำให้เกิดผล เกิดในภพภูมิต่างๆ
☺ สติปัญญาของคนในยุคก่อนกับยุคนี้ต่างกัน บางคนอาจจะคิดว่าคนในยุคนี้น่าจะเก่งกว่าคนในยุคก่อน ที่สามารถคิดค้นประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งในสมัยก่อนนั้นไม่มีเลย แต่ตามความเป็นจริง ถ้าเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ต้องสามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้รู้จริงๆ
☺ พระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระสูตร พระวินัย หรือ พระอภิธรรม ก็เพื่อเข้าใจ แม้แต่เรื่องของปฏิจจสมุปบาท ก็เพื่อเข้าใจ ถ้าไม่มีปัญญา ซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็จะดับอวิชชา ไม่ได้
☺ ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ยังคงมีความไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง แต่ขณะใดที่เริ่มฟัง เริ่มพิจารณาไตร่ตรอง ว่าเป็นความจริงอย่างนั้นหรือไม่ เมื่อเป็นความจริงตรงตามที่ปรากฏ เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ก็เริ่มที่จะเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก มีปัญญาทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะสามารถดับกิเลสได้ ซึ่งจะต้องเป็นความรู้ที่ถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่ความไม่รู้
☺ พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนให้เข้าใจชีวิตทั้งชีวิต ถ้าไม่รู้เรื่องชีวิตของตนเอง ก็ยังไม่ชื่อว่าได้ศึกษาพระพุทธศาสนา แม้แต่ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ชีวิตของเรา ไม่ใช่เรื่องราว ไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นเรื่องของตัวเราเองจริงๆ ไม่พ้นไปจากกิเลส กรรม และวิบาก มีแต่ธรรมทั้งหมด
☺ เรื่องของสังขารในปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง นี้แหละคือ สังขาร ไม่ใช่สังขารในหนังสือในตำรา แต่เป็นชีวิตประจำวันขณะนี้ ควรที่จะได้พิจารณาว่า ทำดีมาก หรือ ทำชั่วมาก คิดดีมาก หรือ คิดชั่วมาก ต้องศึกษาที่ตัวเอง เวลาศึกษาพระพุทธศาสนา ต้องศึกษาตัวเอง
☺ เมตตา ควรเจริญให้มาก เมื่อมีเมตตา ก็จะไม่ทะเลาะกัน ก็จะเป็นเหตุให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งที่เราชอบคนอื่นเขาก็ชอบด้วย สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ คนอื่นเขาก็ไม่ชอบเช่นกัน สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่ควรเอาไปให้คนอื่น เราจะเป็นกันเองกับทุกคน เข้ากันได้กับทุกคน ไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องกลัวภัยอันตรายใดๆ เพราะเราไม่เคยคิดร้ายกับใคร
☺ พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมีประโยชน์ยิ่งกว่าประโยชน์ใดๆ ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด คือ ได้ตรัสรู้ตามพระองค์ ได้ละกิเลสทั้งปวงอย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก รองลงมา คือ บรรลุเป็นพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน หรือ ถ้าไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็จะได้สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นไปตามลำดับ ก็จะเป็นเหตุให้สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้นได้
☺ ถ้าเข้าใจในความจริง ซึ่งเป็นอริยสัจจ์ อันเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา มีความเจริญในเบื้องหน้า เพราะได้สร้างเหตุแห่งความเจริญไว้แล้ว
☺ พระธรรม มีคุณค่ามีประโยชน์ยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ เป็นรัตนะที่มีค่าสูงสุด ทรัพย์สมบัติใดๆ ที่มีค่าในโลกนี้ทำให้ติดข้อง ทำให้หลง ทำให้กิเลสเกิดมากขึ้น แต่พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฟังแล้วทำให้ระงับกิเลส ทำให้ได้เข้าใจความจริง ทำให้รู้จักเว้นในสิ่งที่ควรเว้น ประพฤติในสิ่งที่ควรประพฤติ ย่อมจะเป็นเหตุให้ประสบกับความสุขและความเจริญตามระดับของปัญญาที่แต่ละคนได้สะสมมา
☺ กรรมที่ได้กระทำแล้ว สำเร็จไปแล้ว เกิดแล้วดับแล้ว จะไปแก้ จะไปลบล้างได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะความไม่รู้จึงทำให้มีการกระทำที่เป็นไปกับด้วยความไม่รู้ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครแก้กรรมหรือลบล้างกรรมได้ ก่อนอื่นจึงต้องเริ่มต้นที่การศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ
☺ การศึกษาพระธรรม ต้องตามลำดับ ไม่ใช่ข้ามไปข้ามมา พระธรรมตั้งต้นด้วยการพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม ภาษาไทย ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งมีจริงในขณะนี้
☺ ถ้าพูดถึงสิ่งที่ไม่มีจริง ย่อมไม่มีประโยชน์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจจริงๆ ย่อมเกิดประโยชน์ เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีจริง เห็นเป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม ขณะที่เห็นจะเป็นอื่นไม่ได้ ขณะที่ได้ยิน จะเป็นอื่นก็ไม่ได้ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้หลากหลายและต่างกันด้วย เป็นแต่ละหนึ่งโดยไม่ปะปนกัน
☺ ส่วนใหญ่แล้วมองข้ามและละเลยความเข้าใจ มัวแต่ไปหาอย่างอื่น ไปหาศัพท์ต่างๆ แต่ว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้แม้แต่ลักษณะที่ต่างกัน ก็ยังไม่ได้รู้ความจริง ซึ่งถ้าไม่รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถละความไม่รู้และความติดข้องได้
☺ ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ก็ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่หนทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพราะมรรค มีความละเอียด หมายความถึงความเข้าใจตามลำดับ จนกระทั่งสามารถจะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏจนประจักษ์แจ้งในทุกขอริยสัจจ์ ซึ่งหมายความถึงสิ่งที่เกิดในขณะนี้แล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ก็ไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้เลย
☺ เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงจนกว่าจะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป จึงจะเป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ เข้าใจธรรม ก็คือ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้จนกว่าจะรู้ความจริง ละความสงสัยและความไม่รู้ได้
☺ ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แม้แต่ลมหายใจก็ปรากฏไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ในขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ ลมหายใจไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็น ก็ควรที่จะเข้าใจความจริงของเห็น ในขณะที่มีลมหายใจ ก็ควรจะรู้ความจริงของลมหายใจ ซึ่งจะต้องมีความรู้ก่อน ในขณะที่ลมหายใจปรากฏ นั้น สภาพที่กำลังรู้ลมหายใจ ไม่ใช่ลมหายใจ ที่เข้าใจว่าเรามีลมหายใจ ก็คือลมหายใจ มีกับธาตุที่กำลังรู้ลมหายใจ
☺ ลมหายใจ เป็นรูปธรรม ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ขณะนี้ก็มีลมหายใจซึ่งเกิดจากจิต ถ้าไม่มีจิต จะไม่มีรูปลมหายใจเลย แต่ขณะใดก็ตามที่กำลังเห็น รูปลมหายใจไม่ได้ปรากฏ
☺ ถ้าขณะนี้มีลมหายใจปรากฏ ต้องปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้ลมหายใจ ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นธาตุรู้ กับ สภาพที่ไม่ใช่ธาตุรู้
☺ เข้าใจ ดีกว่าที่จะไปจำโดยไม่เข้าใจ
☺ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วดับทั้งหมดเป็นขันธ์ ความหมายของขันธ์ คือ สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ นิพพานไม่ใช่ขันธ์ เพราะไม่เกิดจึงไม่ดับ
☺ เข้าใจธรรม คือ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ จนกว่าจะรู้ความจริง ละความสงสัยและความไม่รู้
☺ ประโยชน์ของการฟัง ก็คือ สามารถที่จะเข้าใจได้ เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม เมื่อเกิดแล้วดับ เป็นขันธ์ทั้งนั้น ซึ่งสิ่งที่เกิดดับมีความหลากหลายมาก เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยสักขันธ์เดียว แต่เพราะไม่รู้จึงหลงยึดถือในสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป
☺ ที่ว่าคนเกิด ไม่ใช่เนื้องอก แต่ต้องมีธาตุรู้ ถ้าสัตว์เกิด ก็ต้องมีธาตุรู้ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดต้องมีธาตุรู้ คือ มีจิตและเจตสิก
☺ สิ่งที่มีจริงไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิก รูป และนิพพาน จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต รูป เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร และนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่เกิดไม่ดับ
☺ สิ่งที่มีจริงต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดใน ๔ ประเภท ถ้าไม่ใช่จิต ไม่ใช่ เจตสิก สิ่งนั้นก็เป็นรูป ถ้าสิ่งนั้นเป็นเจตสิก ก็ต้องไม่ใช่จิต ไม่ใช่รูป
☺ คำว่า เจตสิก ไม่มีในคำสอนอื่นเลย เป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงความละเอียดว่าในขณะนี้ที่เห็น ซึ่งถ้าไม่มีปัจจัย จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ ปัจจัยที่ว่านั้น คือ เจตสิก เป็นนามธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดพร้อมกับจิต ถ้าไม่มีเจตสิก จิตก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดไม่ได้เช่นเดียวกัน
☺ เจตสิก บางคนอาจจะคิดว่าเป็นคำใหม่ ไม่เคยรู้จัก แต่ถ้าจะถามว่า มีโกรธไหม เคยโกรธไหม โกรธนั่นแหละ เป็นเจตสิก นี้เป็นเพียงตัวอย่างเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน
☺ ขณะที่โกรธ ต้องโกรธสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ขณะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งนั้น จิตเพียงรู้ แต่โกรธเกิดร่วมกับจิต เป็นนามธรรม ไม่มีใครมองเห็นรูปร่างหน้าตาของโกรธเลย แต่โกรธก็มีลักษณะของความโกรธ หยาบกระด้าง ประทุษร้ายจิต ใครที่โกรธแล้วจะไม่มีความสุขเลย
☺ ถ้าไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง นั่นก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องศึกษาพระธรรมไปตามลำดับ เริ่มตั้งแต่รู้ว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่จำเป็นต้องใช้คำที่แสดงให้เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
☺ พระธรรมมีหลากหลายมาก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงตลอด ๔๕ พรรษา แล้วมีผู้ที่ทรงจำคำสอนสืบทอดกันมาจารึกเป็นตัวหนังสือ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับคนทุกยุคทุกสมัย สำหรับคนในยุคนี้ ไม่ได้ฟังพระธรรมโดยตรงจากพระโอษฐ์ แต่ก็สามารถที่จะรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร จากการที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จริงใจ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้นจริงๆ .
...ขอความเจริญมั่นคงในกุศลธรรมจงมีแด่ทุกท่าน...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณและขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณมากครับ ธรรมแบบนี้ไม่เคยได้อ่านเจอในที่อื่นเลย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
สาธุอนุโมทนาค่ะที่ได้ให้ความรู้
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณอย่างสูงในความเมตตาของท่านอาจารย์ในการแสดงธรรมขององค์สมเด็จสัมพุทธเจ้าและขอบคุณท่านผู้ดำเนินการเผยแผ่สู่โลกไร้พรมแดน ทำให้ผู้ไม่มีโอกาสฟังตรงได้รับรสพระธรรมด้วย
จากทักษพล-จริยา เจียมวิจิตร
ขอกราบเท้าท่าน อ.สุจินต์เป็นอย่างสูงที่ได้มีเมตตาได้แสดงธรรมให้ได้ทราบและเข้าใจสภาพความเป็นจริงของธรรมะ ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่รู้ว่าชาติหน้าหรือชาติไหนๆ จะมีโอกาสได้พบอัจฉริยบุคคลเช่นท่าน อ.สุจินต์ หรือไม่ แต่ที่ดีใจที่สุดก็คือชาตินี้ได้พบ และได้รู้ว่าไม่เสียชาติเกิดในชาตินี้ที่ได้ศึกษาธรรมะกับท่าน อ.สุจินต์ ก็จะฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์แสดง ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และขออุทิศส่วนกุศลที่ได้ทำมาแล้วให้แก่ท่าน อ.สุจินต์ มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อที่ท่านจะได้เกื้อกูลแก่ปุถุชนที่ยังมีปัญญาน้อยนิดต่อไปค่ะ
..กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ..
ขอบคุณและขออนุโมทนาผู้รวบรวมคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ทราบว่า ท่านคือ ทพญ. วิภากร พงษ์วรานนท์ และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
สาธุ กราบท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง
ขออนุโมทนา มศพ. บ้านธัมมะ และสหายธรรมทุกท่านค่ะ
"การฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่ออยากจะได้รู้แจ้ง
อริยสัจจธรรม อยากจะหมดกิเลสโดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้"
ขอบคุณและขออนุโมทนาผู้รวบรวมคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์