ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านผู้ฟัง ที่บอกว่าทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นทางกายนี้เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต ถ้าเป็นผลของกรรมแล้ว มีโรคภัยไข้เจ็บ ก็ไม่ต้องรักษา ปล่อยให้หมดกรรมไปเอง เช่นนี้ เป็นความเห็นผิด หรือ ความเห็นถูก
ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจถูก ต้องไม่มีเรา แต่มีจิต เจตสิก รูป เท่านั้น รูปนั้น ไม่เจ็บไม่ปวด เพราะฉะนั้น ความเจ็บปวดที่กายเป็นสภาพของจิต ที่รู้สิ่งที่ปรากฏ กระทบที่กาย ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ไม่สบาย จึงทำให้เกิดความเป็นทุกข์หนึ่งขณะจิตแล้วก็ยังมีจิตขณะต่อๆ ไป ที่คิดนึกถึงเรื่องโรคกายนั้นๆ ด้วยเพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ใครจะไม่รักษาโรคเพราะคิดว่าเป็น จิต เจตสิก รูป และ เป็นผลของกรรม.
ท่านผู้ฟัง ถ้าเผื่อเราขวนขวายในการรักษา จะถูกกล่าวหาว่าไม่เชื่อเรื่องกรรมไหนบอกว่าเป็นผลของของกรรม แล้วทำไมวุ่นวายไปหายามารักษาถ้าถูกต่อว่าอย่างนี้แล้ว จะว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ วันหนึ่งๆ ไม่ได้มีแต่วิบากจิต แต่จิตมี ๔ ชาติคือ จิตที่เป็น กุศล อกุศล วิบาก และ กิริยาจิตที่เป็นกุศล เป็นเหตุที่ดี จิตที่เป็นอกุศล เป็นเหตุที่ไม่ดีจิตที่เป็นกุศล และ อกุศล เป็นเหตุที่จะทำให้เกิด "จิตที่เป็นผล"
"จิตที่เป็นผล" คือผลของกรรม เกิดขึ้นเนื่องจากกรรม เป็นปัจจัย "จิตที่เป็นผล" คือ วิบากจิต ได้แก่กุศลวิบากจิต และอกุศลวิบากจิต"เนื่องจากกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม เป็นปัจจัยทำให้เกิดวิบากจิต ในขณะแรก ของชาติหนึ่งๆ เมื่อเกิดแล้วยังไม่ตาย ยังดำรงภพชาติอยู่ ยังมีผลของกรรม คือ ต้องเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสแต่เวลาที่เจ็บปวด ซึ่งเป็นผลของกรรม ก็ยังมีจิต ที่เป็นกุศล และ อกุศลเกิดอีกเวลาที่ไม่ชอบความเจ็บปวด ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตจิตที่คิดรักษาพยาบาลนั้นก็คือ โลภะ เป็นอกุศลจิตโลภะ คือ อกุศลจิตที่ต้องการหายจากความเจ็บปวดเป็น "จิต" ไม่ใช่เป็นเราเพราะฉะนั้นจะไปบังคับไม่ให้จิต คือ โลภะที่ต้องการรักษาความเจ็บปวด ไม่ให้เกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้เลยเจ้าค่ะ.
ท่านผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้น ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์การรักษาโรคทางกาย ก็ต้องเกิดขึ้นเพราะ "โลภะ" ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถูกต้องเจ้าค่ะ.ถ้าเป็นพระอรหันต์ การรักษาโรคกายก็เป็นกิริยาจิตปุถุชน กับ พระอริยบุคคลตามลำดับขั้นจะมีความต่างกันโดย "ปัญญา" เท่านั้นแต่ชีวิตการเป็นอยู่ก็เหมือนกัน.พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงต้องเสวยพระกระยาหารทรงยังปฏิบัติกิจ เช่นการอาบน้ำชำระร่างกาย เวลามีบาดแผล หมอชีวกฯ ก็ถวายการรักษาทั้งๆ ที่พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ทรงอนุเคราะห์ให้หมอชีวกฯรักษา เพื่อเป็นกุศลของหมอชีวกเอง
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าไม่มีความต่างกันในการดำรงชีวิตแต่ต่างกันที่ปัญญา ผู้ที่เป็นปุถุชน ส่วนใหญ่จิตเป็นอกุศลทันทีที่เห็น ก็เกิดโลภะคืออกุศลจิต ทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยฉะนั้น กว่าจะเปลี่ยนจากเห็น แล้วเป็นกุศลจิต จะยากไหมคะ กว่าจะเปลี่ยนจากเห็น แล้วเป็นกุศลจิต ไปเป็นเห็นแล้ว เป็นกิริยาจิตถึงความเป็นพระอรหันต์นั้น จะยากสักแค่ไหน.ฉะนั้นก็เป็นผู้ตรงจริงๆ ว่าขณะที่เห็นนี้ เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งและหลังจากเห็นแล้ว ก็เป็นสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่งไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะก็สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้แต่ต้องเป็นปัญญาตามลำดับขั้นจริงๆ ไม่ใช่ข้ามขั้น
ฉะนั้น กว่าจะรู้ว่านี้เป็นเพียงชื่อ (ปริยัติ) แล้วอบรมปัญญาที่จะรู้ตัวธรรมะจริงๆ (ปฏิบัติ) ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนกว่าจะเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน (ปฏิเวธ) ความเห็นผิดในวันหนึ่งๆ เกิดน้อยกว่า ความติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
พระโสดาบันดับความเห็นผิดเป็นสมุจเฉทเมื่อไม่มีความเห็นผิด ว่านามธรรมและรูปธรรมนั้นเป็นเราแต่ยังมีเหตุปัจจัยให้มีความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เพราะรู้ตามความเป็นจริงว่าสะสมอะไรมามากและจะดับโลภะได้หมดเป็นสมุจเฉทนั้น ต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะเห็นโทษของความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส การดำรงชีวิตเป็นเรื่องปกติธรรมดาแต่ว่า สิ่งที่เปลี่ยนไป ก็คือ "กิเลส" ดับแล้ว ไม่เกิดอีกเลย ด้วยมรรคจิต
สนทนาธรรมที่วัดฝายหิน อ.เมือง จ.เชียงใหม่โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พ.ศ. ๒๕๔๔
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์
เป็นโรคด้วยผลของอกุศลกรรมหายจากโรคด้วยผลของกุศลกรรมแต่ดับ (โรค) กิเลสด้วยปัญญา
...ขออนุโมทนาครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ . . .
ขออนุโมทนาครับ
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 3 โดย ajarnkruo
เป็นโรคด้วยผลของอกุศลกรรม หายจากโรคด้วยผลของกุศลกรรมแต่ดับ (โรค) กิเลสด้วยปัญญา
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ
อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ