ครั้งแรกที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะสอนสัตว์ หลังจากฟังมาหลายปี ก็ค่อยๆ เข้าใจในขั้นการฟัง ทุกคำที่ทรงแสดงลึกซึ้งมาก เช่นละชั่วเจริญกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตใจให้ผ่องใส นี่คือโอวาทปาฎิโมกข์ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ทั้งสองกรุณาขยายความให้เข้าอีกซักหน่อย กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ต้องทำอะไร เพราะ ไม่มีเราที่จะทำ มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป แม้การจะละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่ธรรมที่ทำหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องของสภาพธรรมฝ่ายดี มี สติ และ ปัญญา เป็นต้น ที่จะละชั่ว ทำดี และ ทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อธรรมเกิดตามเหตุปัจจัย บังคับไม่ได้ ก็อบรมเหตุ คือ การฟัง ศึกษาพระธรรม ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ย่อมค่อยๆ เข้าใจถูก และค่อยๆ ละชั่ว ชั่วที่ยึดถือว่าเป็นเรา ไปตามลำดับ จนถึง ความดีที่เป็นปัญญา และ ดับกิเลสหมดสิ้น ที่เป็นจิตที่บริสุทธิ์ ครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวในเรื่อง โอวาทปาฏิโมกข์ไว้น่าฟังดังนี้
โอวาทปาฏิโมกข์ การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็ต้องเข้าใจค่ะว่า ธรรมลึกซึ้งจริงๆ ไม่ใช่เพียงอ่านจะเข้าใจได้ เข้าใจเองผิดค่ะ เป็นเราที่จะไม่ทำบาป หรือว่าเป็นเราที่ทำกุศล เป็นเราที่พยายามทำจิตให้บริสุทธิ์ บางคนคิดว่า ขณะที่ไม่ทำบาป เขาก็เป็นคนดีแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องสนใจมากกว่านั้น เพราะเว้นบาปแล้ว แต่ขณะที่เว้นบาป ยังมีความดีมากกว่านั้นอีก ทำดีหรือเปล่า หรือว่าตลอดชีวิตก็แค่ไม่ทำบาป แต่ไม่ได้ทำดี นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าตลอดชีวิตเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถจะให้ความจริงได้
ถ้า..เพียงได้ยินว่า " ไม่ทำบาป " ลึกซึ้งไหมค่ะ ใครก็พูดได้ ใช่ไหมคะ แต่รู้ไหมว่าขณะที่ไม่ทำบาป ความจริงขณะนั้น คืออะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมจริงที่มีอยู่ตามปกติในชีวิตประจำวัน ให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่าขณะนั้นๆ เป็นอะไรไม่เพียงแต่ว่า ไม่ทำบาป ธรรมดาใครๆ ก็พูดได้ ใช่ไหมคะ
ไม่ทำบาป ความลึกซึ้งอยู่ที่ขณะนั้น ไม่ทำบาปน่ะ เป็นอะไรหรือแม้ขณะนี้ ขณะที่กำลังฟังธรรมนี้ ขณะนี้เป็นอะไร ทรงแสดงความจริงในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ธรรมมีอยู่ในชีวิตประจำวัน หรือจะกล่าวว่าชีวิตประจำวัน ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ตั้งแต่เช้ามานี้ก็ธรรมทั้งหมด หลากหลาย ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจในขณะที่ไม่ทำบาป แม้ในขณะนี้ หรือขณะไหนก็ตาม ที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจคำสอนของพระองค์ ว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ขณะนี้เกิดแล้วเป็นธรรม แต่ไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ก็คือว่า ขณะนี้เว้นบาปหรือเปล่า เห็นไหมคะ ทุกขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ขณะใดก็ตามที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือว่าอกุศลทั้งหลายเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เป็นบาป อกุศลก็ไม่ได้กระทำบาปด้วย แต่เป็นอะไร ถ้ายังคงเป็นเราอยู่ ก็หมายความว่า คนนั้น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้ฟังคำสอนจริงๆ ของพระผู้มีพระภาค เพราะว่าถ้าเป็นคำสอนจริงๆ ทรงแสดงให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตั้งแต่คำว่า " ธรรม "ไม่ใช่เผินๆ แล้วก็คิดว่า พอได้ยินทุกคนก็เข้าใจ มีใครบ้างที่จะไม่รู้จักธรรม ความจริงพูดอย่างนี้ คนนั้นน่ะรู้จักธรรมจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่ได้ยินธรรมก็คิดเอง อย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ก่อนฟังธรรม ท่านเข้าใจว่าธรรมคือ กุศลอย่างเดียว ไม่คิดเลยว่าอกุศลก็เป็นธรรมด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งใดที่มีจริง ปรากฏให้รู้ให้เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ปรากฏ ยังไม่เกิดขึ้น ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจได้ ห รือว่าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงข้อความที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งสิ้น แต่ว่าจะต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมก่อน เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลัง ไม่ทำบาป ก็เป็นธรรม ขณะที่ทำบาปก็เป็นธรรม ทุกอย่างในชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด
แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น (ละชั่ว มี ความติดข้องต้องการ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (ทำความดี) และการยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์ (คำสอนที่เป็นหลักสำคัญ) นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม และธรรมนั้นเองจะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส เพราะทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเองเป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อความพ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการตกไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะขาดปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไม่ได้เลย ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอย่างยิ่ง เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งจะได้เกื้อกูลสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก จึงทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา (เวลาพักผ่อนของพระองค์ในแต่ละวันๆ น้อยมากทีเดียว) ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงนั้นไม่มีความแตกต่างกันเลย เหมือนกันทั้งหมด และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และมีความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละอกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีตัวตนที่ไม่ทำอะไรได้ เพราะธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย อาศัยความเข้าใจพระธรรม ก็จะเกื้อกูลให้มีการเว้นในสิ่งที่ควรเว้น น้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามและชำระจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ดังนั้น จึงต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ไม่ต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติ เช่น เห็น เมื่อมีปัจจัยเห็นจึงเกิด ไม่ใช่สัตว์ บุคคล วัตถุสิ่งของ แต่ว่าเป็นธรรมะแต่ละลักษณะ และ ถ้าขณะใดที่กุศลเกิดขณะนั้นนิวรณ์ห้าก็ไม่เกิด ค่ะ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนา ครับ.
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ