ผู้ที่ทำงานจนได้เงินบำนาญ และลาออกจากราชการ ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการทำงานเพื่อสาธารณกุศลให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยที่ตนเองไม่เดือดร้อน และมีจิตที่เป็นกุศลเพื่อบำเพ็ญบารมีนั้น ถือว่าบุคคลนี้มีความเห็นถูกใช่หรือไม่
การบำเพ็ญบารมี จุดประสงค์เพื่อสละกิเลส เพื่อให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน เป็นเรื่องของปัญญา แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์คือ ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เป็นการเจริญกุศลทั่วๆ ไปศาสนาอื่นก็มีค่ะ
สภาพธรรมะที่เห็นถูก คือปัญญา ที่ปัญญาจะเป็นบารมีได้ ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนา คือการอบรมให้เจริญขึ้น ขั้นเบื้องต้น คือ ขั้นฟังครับ ถ้าไม่เคยฟังพระธรรมเลย ก็อาจจะมีเพียงการคิดทำกุศลกรรมอื่นๆ เช่น ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล กุศลกรรมเหล่านี้ไม่ต้องประกอบด้วยปัญญาก็เกิดได้ กระทำได้ โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคลใดนับถือศาสนาอะไร อย่างที่คุณวรรณีกล่าวไว้ครับ แต่ถ้าเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาในขั้นของวิปัสสนาภาวนา มีเพียงในพระพุทธศาสนา และ ถ้าจะบำเพ็ญให้เป็นบารมีที่เป็นทานบารมีหรือศีลบารมีได้ ต้องมีปัญญา คือมีความเห็นถูกที่เป็นไปในการดับกิเลสเป็นหัวหน้า คือมีปัญญาบารมีก่อน จากนั้นกุศลบารมีอื่นๆ ที่เป็นบริวารอีก ๙ บารมี จึงจะสามารถเจริญขึ้นได้ครับ ...อนุโมทนาครับ
ผู้ที่มีปัญญา ย่อมคิดเป็น คิดถูก และ ทำถูก ทำงานแล้ว ได้บำนาญแล้ว แต่งานในสังสารวัฏฏ์ ยังไม่แล้ว ศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม เกื้อกูลความเห็นถูกแก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์ทั้งนั้น อนุโมทนาค่ะ
ดีค่ะ อนุโมทนาด้วยค่ะ
ไม่เกี่ยวกับเห็นถูก หรือเห็นผิด การลาออก เพราะอยากออก เพราะพอแล้ว เพราะอยากมีเวลาให้กับตัวเอง ทำในสิ่งที่ชอบ ไปในที่ๆ ชอบ เพราะตำแหน่งไม่ขึ้น โกรธไม่ต้องอ้างว่า ลาออกเพื่อทำงานสาธารณกุศล เพื่อบำเพ็ญบารมี เพราะกุศลเจริญได้ทุกเวลา แม้ไม่ต้องลาออกจากงาน ว่าแต่ที่พูดมา เข้าใจว่ากุศลคืออะไร? บารมีคืออะไร? ฟังดูเหมือนเป็น "ตัวตน" มากๆ แล้วตอนนี้แค่ อยากลาออก หรือลาออกแล้ว? เพราะถ้าแค่อยาก ก็อยากต่อไปเถอะ